ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 393 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (1) ตอนที่ 394 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 393 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (1) ตอนที่ 394 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (2)
ตอนที่ 393 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (1) / ตอนที่ 394 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (2)
ตอนที่ 393 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (1)
หอพักของสำนักศึกษาเฟิงหัวจะจัดให้ศิษย์สองคนพักอยู่ร่วมกันในหนึ่งห้อง หลังจากที่ฟ่านจิ่นพาจวินอู๋เสียไปรับชุดเครื่องแบบของนาง เขาก็พานางไปที่ห้องพักของนาง
ภายในห้องพัก ชายหนุ่มผิวขาวซีดสีหน้ามืดมนกำลังนั่งก้มหน้าลงอ่านตำราอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างจดจ่อ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นและกวาดสายตาซึ่งทำให้ผู้มองรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนั้นไปทางจวินอู๋เสียพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นฟ่านจิ่นยืนอยู่ข้างหลังจวินอู๋เสีย สายตาของเขาก็หยุดลงชั่วคราว มีบางอย่างแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็หลบสายตาและก้มลงอ่านตำราในมือต่อไป ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
“อีกหน่อยเจ้าก็พักอยู่ในห้องนี้ ส่วนห้องของข้าอยู่ที่ชั้นเจ็ดด้านบน ห้องทางขวามือสุด หากมีปัญหาอะไรก็สามารถไปหาข้าที่นั่นได้ทุกเมื่อ” ฟ่านจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้มและตบไปที่ไหล่ของจวินอู๋เสียเบาๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนาง
จวินอู๋เสียพยักหน้า ฟ่านจิ่นก็กล่าวคำอำลาและจากไป
จวินอู๋เสียกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่ได้จับจ้องที่ตรงจุดไหนเป็นพิเศษ
หอพักของสำนักศึกษาเฟิงหัวจะแบ่งแยกที่พักของบุรุษและสตรีอย่างชัดเจน ศิษย์หญิงในสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้น นับรวมกันแล้วยังมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งในสิบของศิษย์ชายด้วยซ้ำ
เตียงของจวินอู๋เสียอยู่ทางด้านขวา ตั้งอยู่ในฝั่งตรงกันข้ามของชายหนุ่มผู้มีสีหน้าและดวงตามืดมน นางไม่ได้สนใจสักนิดว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างไร เพียงจัดของของตัวเองต่อไปเงียบๆ
นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ฟ่านจิ่นยังได้เตรียมของใช้ประจำวันไว้สำหรับนางด้วยซึ่งมันครอบคลุมมาก
ตั้งแต่ที่จวินอู๋เสียก้าวเข้ามาในห้องจนกระทั่งนางเก็บของทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย เพื่อนร่วมห้องของนางก็ไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงพลิกเปลี่ยนหน้าตำราเท่านั้นที่ดังขัดขึ้นมาบ้าง
ผ่านไปไม่นานนัก ชายหนุ่มที่ห้อยป้ายหยกรูปดวงดาวที่หน้าอกก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสียอยู่ในห้องพักด้วย เขาก็ดูจะผงะเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปหาชายหนุ่มผู้มีบรรยากาศมืดมนรอบตัวซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงใกล้กับหน้าต่าง
“อิ่นเหยียน เจ้าหนูนี่เป็นเพื่อนร่วมห้องพักคนใหม่ของเจ้าหรือ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาถามอิ่นเหยียน ซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านตำราอยู่
อิ่นเหยียนเงยหน้าขึ้นพยักหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาดูจะไม่พอใจและไม่ชอบใจเท่าไร
“เช่นนั้นวันหน้าเจ้าก็ลำบากแล้วล่ะ เจ้าพวกลูกนกที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในปีนี้ แต่ละคนดูจะเอาเรื่องน่าจะสร้างเรื่องน่าปวดหัวให้กับศิษย์พี่ที่ดูแลพวกเขาอยู่ได้ไม่น้อยเลย ให้ตายสิ น่าจะจับโยนไปที่ตึกรองให้หมดๆ ปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้อยู่ที่นั่นสักพักก่อนแล้วค่อยรับเข้ามา จะรีบรับตัวเข้ามายังตึกหลักทำไมนักหนา!” ชายหนุ่มพูดโพล่งออกไปโดยไม่สนใจสักนิดว่าศิษย์ใหม่อย่างจวินอู๋เสียที่เขาเพิ่งกล่าววาจากระทบกระทั่งถึงจะอยู่ที่นั่นด้วย
อิ่นเหยียนกระตุกริมฝีปากเล็กน้อยและพูดว่า “ในเมื่อเป็นปัญหา ก็น่าจะทำตัวให้ว่าง่ายเชื่อฟังสักหน่อย” คำพูดนี้ดูเหมือนชายหนุ่มต้องการจะส่งไปเพื่อตักเตือนจวินอู๋เสียมากกว่า
“จริงสิ! ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ศิษย์พี่ฟ่านไปรับตัวศิษย์ใหม่คนหนึ่งมาดูแลด้วย เจ้าว่าฟ่านจิ่นผู้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่เก็บตัวเพื่อเตรียมพร้อมกับงานไล่ล่าจิตวิญญาณที่กำลังใกล้เข้ามา ไปรับตัวเจ้าขวดน้ำมันน้อยไร้ประโยชน์ผู้นั้นมาเพื่อการใด”
นัยน์ตาของอิ่นเหยียนมืดครึ้มลงในทันที สายตาที่อันตรายกวาดมองไปที่ร่างของจวินอู๋เสียซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ ในเวลานี้จวินอู๋เสียได้เรียกเจ้าแมวดำตัวน้อยให้ออกมานั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน โดยที่ร่างเล็กของนางนั่งอิงไปกับหมอนบนหัวเตียง ส่วนเจ้าแมวดำตัวน้อยนอนเหยียดตัวบนอยู่บนขาทั้งสองข้างของเด็กสาว ภาพนั้นช่างดูสงบและกลมกลืนกันอย่างน่าประหลาด
อิ่นเหยียนลุกขึ้นยืนและเดินไปทางจวินอู๋เสีย
เงาสีดำขนาดใหญ่ทาบทับลงที่ปลายเตียงนอน จวินอู๋เสียค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เย็นยะเยือกของนางสบกับดวงตาคู่หนึ่งที่มืดครึ้มและอันตรายอย่างมาก
“สำนักศึกษาเฟิงหัวไม่อนุญาตให้ปลดปล่อยวงแหวนภูติวิญญาณของตัวเองออกมาภายในห้องพัก เจ้าตาบอดหรือ” เสียงของอิ่นเหยียนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและมืดมืดมนจนน่าขนลุก
ไม่มีความตื่นตระหนกใดในดวงตาของจวินอู๋เสีย นางเพียงจ้องตอบ ‘เพื่อนร่วมห้องพัก’ ที่กำลังมองมาที่นางอย่างเป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเมื่อสักครู่ผงะไป ความเกลียดชังและความเป็นศัตรูในน้ำเสียงของอิ่นเหยียนนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังฟังออก
พวกเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนยังตึกหลังจริงอยู่ที่เป็นที่รังเกียจสำหรับพวกเขา แต่ความก้าวร้าวในน้ำเสียงของอิ่นเหยียนและท่าทางที่เป็นศัตรูนั้น มันเกินไปหน่อยกระมัง
จวินอู๋เสียตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ต่ำกว่าสามฉื่อ”
ทันทีที่คำพูดนี้จบลง ดวงตาของนางก็หรี่ลง เพิกเฉยและไม่สนใจอิ่นเหยียนอีก
ตอนที่ 394 เพื่อนร่วมหอพักที่ไม่เป็นมิตร (2)
คิ้วของอิ่นเหยียนขมวดเป็นปมในทันที สำนักศึกษาเฟิงหัวมีกฎว่าห้ามไม่ให้เรียกภูติวิญญาณของตัวเองออกมาในห้องพักจริงๆ แต่ก็มีเงื่อนไขอื่นเสริมอยู่ว่า หากว่าภูติวิญญาณตนนั้นมีขนาดเทียบเท่ากับสามฉื่อหรือว่าสูงกว่าสามฉื่อขึ้นไป จะไม่สามารถเรียกออกมาได้ตามต้องการ แต่ที่ต่ำกว่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นข้อยกเว้น
จวินอู๋เสียเพิ่งจะเข้าร่วมกับสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการในวันนี้ กฎของสำนักศึกษาเล่มใหญ่ในมือของนางเพิ่งจะพลิกอ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้ากระดาษเท่านั้น เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าจวินอู๋เสียจะรู้เรื่องนี้ แต่จวินอู๋เสียก็รู้ แถมยังยกมันขึ้นมาเพื่อตอกหน้าเขากลับอีกด้วย ทัศนคติที่อวดดีและเย่อหยิ่งของจวินอู๋เสียนี้ ช่างหยาบคายได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ!
ตำราบันทึกกฎของสำนักศึกษาเล่มหนาในมือของจวินอู๋เสียเพิ่งเปิดอ่านไปได้เพียงไม่กี่หน้า แต่ที่อิ่นเหยียนไม่รู้คือ จวินอู๋เสียเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการจดจำทุกอย่างได้เพียงแค่ผ่านตา และหลังจากที่นางเข้ามาในห้องพัก นางก็พลิกอ่านมันทุกหน้าไปถึงสามรอบเต็มแล้ว กฎของสำนักศึกษาทั้งหมด นางจึงคุ้นเคยกับมันดีราวกับได้ถูกสลักลึกลงไปในหัวใจของนาง
ดังนั้นการที่อิ่นเหยียนต้องการใช้กฎของสำนักศึกษามาเพื่อกดดันและสร้างปัญหาให้กับจวินอู๋เสีย จึงเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์
“เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ!” นัยน์ตาของอิ่นเหยียนมืดสนิทราวกับจะมีน้ำหยดลงมา ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเฟิงหัว มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจและหวั่นเกรงยามที่ศิษย์พี่เข้ามาพูดคุยด้วย อย่าว่าแต่อิ่นเหยียนหาข้ออ้างมาเล่นงานจวินอู๋เสียเลย ต่อให้ไม่มีข้ออ้างและอิ่นเหยียนต้องการจะสั่งสอนให้บทเรียนแก่จวินอู๋เสียจริงๆ นางก็ควรทำเพียงก้มหน้ารับอย่างนอบน้อม ไหนเลยจะมีสิทธิ์โต้แย้งกลับมาเช่นนี้!
นี่เป็นครั้งแรกที่อิ่นเหยียนถูกศิษย์ใหม่ตอบโต้กลับมาอย่างโอหังไม่เห็นหัวเขาเลยแบบนี้
“เจ้าเสียงดังน่ารำคาญยิ่งนัก” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นและปรายตามองอิ่นเหยียนแวบหนึ่ง
ใบหน้าของอิ่นเหยียนเขียวคล้ำด้วยความโกรธ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าอิ่นเหยียนกำลังจะสูญเสียการควบคุมก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้าทันทีและดึงแขนของอิ่นเหยียนไว้ เรียกสติเขาไปว่า “ศิษย์พี่หนิงให้ข้ามาตามเจ้าไปพบ อย่าได้เสียเวลาไปกับเจ้าเด็กใหม่ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้เลย”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ศิษย์พี่หนิง’ สามคำนี้หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย สีหน้าที่มืดครึ้มของอิ่นเหยียนพลันก็สงบลงในชั่วพริบตา เขาจ้องไปที่จวินอู๋เสียอย่างชั่วร้ายและหันหลังเดินออกจากห้องพักไปพร้อมกับชายหนุ่ม
ห้องพักกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เจ้าแมวดำตัวน้อยถูไถศีรษะของมันไปกับหลังมือของจวินอู๋เสียเบาๆ “ไอ้เจ้าโง่นั่น ดูเหมือนจะเกลียดชังและเป็นปฏิปักษ์กับท่านมากเลยนะ ในตอนที่ข้าหมดสติอยู่ ท่านคงไม่ได้ไปยั่วยุเขาหรือทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้นอันใดใช่หรือไม่” มันถามเจ้านายของมัน เจ้าแมวดำตัวน้อยรู้จักนิสัยของจวินอู๋เสียดีเป็นที่สุด นางไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ชอบให้ใครขึ้นมาปีนหัว ก่อความรำคาญใจให้กับตัวเองเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บุคลิกที่เย็นชาเป็นอิสระคล้ายไม่เห็นหัวผู้ใดของจวินอู๋เสีย ก็คล้ายกับแม่เหล็กที่ชอบดึงดูดความไม่พอใจของคนอื่นๆ แนะนำปัญหาเข้ามาไม่รู้จบ
เช่นเดียวกับเมื่อสักครู่นี้ อิ่นเหยียนผู้นั้นแม้จะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อจวินอู๋เสีย แต่การที่ศิษย์ใหม่คนหนึ่งอย่างเจ้านายมันไปตอบโต้ศิษย์พี่ร่วมสำนักด้วยประโยคที่ว่า ‘น่ารำคาญ’ น่ากลัวว่าบนโลกนี้คงมีเพียงเจ้านายมันเท่านั้นกระมังที่กล้าพูดประโยคแบบนี้ออกไป
ทักษะในด้านการสื่อสารและการเข้าหาคนอื่น ชาติทั้งชาตินี้เกรงว่าคงจะหาไม่พบบนตัวของจวินอู๋เสีย
“ข้าไม่ได้ทำ” จวินอู๋เสียตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เจ้าแมวดำตัวน้อยถอนหายใจหนัก เป็นเพราะอารมณ์เช่นนี้ของเจ้านายมันจริงๆ ด้วยที่ดึงดูดปัญหาและความไม่พอใจเข้ามา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เพิ่งจะพบหน้ากันเป็นครั้งแรก แต่อีกฝ่ายก็แสดงความเกลียดชังออกมาอย่างรุนแรงถึงขั้นนี้แล้ว
ในขณะที่ทางฝั่งนี้เจ้าแมวดำตัวน้อยกำลังถอนหายใจอย่างสิ้นหวังกับบุคลิกของเจ้านายมัน ในอีกทางชายหนุ่มผู้นั้นก็เปิดปากถามอิ่นเหยียนไปอย่างอดใจไม่ไหวว่า
“วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป กับเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักศึกษา แม้จะรู้สึกขัดหูขัดตา ก็เพียงอดใจรอไว้ก่อนแล้วค่อยหาคนไปจัดการมันทีหลังอย่างลับๆ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องลดตัวเองลงไปแปดเปื้อนด้วย” ชายหนุ่มถามราวกับเป็นเรื่องปกติ ในความเป็นจริง การ สั่งสอนศิษย์ใหม่ที่ขัดตานั้นเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากใน สำนักศึกษาเฟิงหัว
อิ่นเหยียนขมวดคิ้วและพูดว่า “เจ้านั่น ถูกพาตัวมาโดยฟ่านจิ่น”
คราวนี้เป็นทีของชายหนุ่มที่ต้องชะงักไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผลของการกระทำของอิ่นเหยียน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จัดการได้ตามสบาย กับศิษย์ใหม่คนหนึ่ง ต่อให้มีฟ่านจิ่นคุ้มกะลาหัวอยู่ก็เถอะ คิดจะเล่นงานเขา ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยหรืออย่างไร อย่าลืมสิว่าสถานะของเจ้าก็คือศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่สูงส่งเชียวนะ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีใครคิดหรือกล้าติดใจเอาความกับเจ้าหรอก”
อิ่นเหยียนในที่สุดก็คลายปมคิ้วที่ขมวดลง เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างเยาะเย้ย “ถึงไม่มีฟ่านจิ่น ด้วยคำพูดของเจ้าหนูนั่นที่กล้าต่อปากต่อคำกับข้าเมื่อสักครู่นี้ ก็เพียงพอแล้วที่ข้าจะไม่ปล่อยมันไป”