ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 409 ใส่ร้ายป้ายสี (1) ตอนที่ 410 ใส่ร้ายป้ายสี (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 409 ใส่ร้ายป้ายสี (1) ตอนที่ 410 ใส่ร้ายป้ายสี (2)
ตอนที่ 409 ใส่ร้ายป้ายสี (1) / ตอนที่ 410 ใส่ร้ายป้ายสี (2)
ตอนที่ 409 ใส่ร้ายป้ายสี (1)
คำพูดเหล่านี้ได้ผลักจวินอู๋เสียให้เข้าไปอยู่ในใจกลางพายุโดยตรง
“เอาน่า เรื่องนี้มันก็ผ่านไปแล้ว อย่าได้ไปพูดถึงมันอีกเลย ข้าไม่สนใจแม้แต่น้อย” หลี่จื่อมู่แสร้งทำตัวเป็นคนใจกว้าง แต่การแสดงออกของเขานั้นไม่ได้มีส่วนไหนที่บ่งบอกว่าเขาอยากจะให้เรื่องราวสงบลงเลย
“จื่อมู่ เจ้าน่ะจะใจดีเกินไปแล้ว เจ้านั่นมันพยายามแย่งตำแหน่งของเจ้าเลยนะ!” เด็กหนุ่มสาวที่รายล้อมอยู่รอบตัวหลี่จื่อมู่ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกอิจฉาแต่การได้มายืนอยู่ข้างว่าที่ปรมาจารย์ผู้เยียวยาจิตวิญญาณในอนาคต การสานสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหาย
หลี่จื่อมู่เป็นคนที่มีชีวิตชีวาและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์คนอื่นๆ มากกว่า เมื่อเทียบกับอุปนิสัยที่เย็นชาคล้ายจะเย่อหยิ่งจองหองของจวินอู๋เสีย ต่อให้มีผู้ที่คิดอยากจะเข้าใกล้และเอาชนะใจนางจริงๆ โอกาสมันก็น้อยแสนน้อย
“เฮ้อ ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในหมู่ศิษย์ที่เข้ามาเรียนพร้อมกัน ถ้าท่านอาจารย์ไม่มาหาข้าและบอกข้าก่อน ข้าก็คงจะได้อยู่ในสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณกับพี่น้องของข้าทุกคนต่อไปแล้ว” หลี่จื่อมู่พูดพร้อมกับถอนหายใจ
ฟังดูคล้ายกับจะเป็นคำพูดที่พูดออกมาลอยๆ แต่กลับทำให้คนอื่นๆ ตระหนักได้ถึงจุดที่พวกเขาไม่ได้คิดถึง
นั่นสินะ! ถ้าไม่ใช่เพราะกู้หลีเซิง ‘ยืนกราน’ และตั้งมั่นในการตัดสินใจของเขา บางทีจวินอู๋เสียอาจจะขโมยตำแหน่งของหลี่จื่อมู่สำเร็จไปแล้วจริงๆ ก็เป็นได้! ศิษย์ทุกคนที่มาสมัครเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัว มีใครบ้างไม่อยากเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ การที่ใครบางคนคิดใช้โอกาสนี้สวมรอยเข้าไปแทน มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่กำลังเดือดพล่าน ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งโกรธแค้น พวกเขารู้สึกว่าจวินอู๋เสียช่างน่ารังเกียจและไร้ยางอายเหลือเกิน คิดจะใช้โอกาสนี้แย่งชิงเอาตำแหน่งที่เดิมสมควรจะเป็นของหลี่จื่อมู่ไป ช่างทำตัวได้เลวอย่างไร้ขอบเขตจริงๆ
“จื่อมู่นิสัยดีจึงยอมความง่ายๆ แต่พวกเราพี่น้องจะไม่ยอมเห็นเขาถูกรังแกเป็นอันขาด” กล่าวจบกลุ่มคนรุ่นเยาว์ก็มองหน้ากัน จากนั้นก็กรูเข้าไปหาจวินอู๋เสียที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่เพียงลำพังในมุมหนึ่ง
จวินอู๋เสียกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว เมื่อนางสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา นางก็เงยหน้าขึ้น แต่ก่อนที่จะเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร โต๊ะตรงหน้านางก็พลิกคว่ำ น้ำแกงที่อยู่ในถ้วยทั้งหมดหกลงพื้น เสียงตะเกียบและถ้วยชามที่หล่นกระทบพื้นดังชัด
“เจ้าเด็กไร้ยางอาย เจ้ายังมีหน้ามากินข้าวอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเฉิบอีกหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าที่ถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ จะไม่มีคุณสมบัติอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวแห่งนี้อีกต่อไปแล้วหรืออย่างไร” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง เหยียบโต๊ะที่พลิกคว่ำอยู่ เขาใช้ประโยชน์จากความสูงของเขามองลงมาที่จวินอู๋เสียซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไร้ความรู้สึกด้วยสายตาเหยียดหยาม
จวินอู๋เสียจ้องไปที่ชายหนุ่มที่มาสร้างปัญหาให้นางด้วยใบหน้าเย็นชา
“เรื่องต่ำช้าที่เจ้าทำเหล่านั้น พวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้หมดแล้ว สำนักศึกษาเฟิงหัวจะยอมให้มีศิษย์ที่ชั่วช้าแบบนี้อยู่ต่อได้อย่างไร แต่ก่อนที่เจ้าจะออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัว เจ้าต้องขอโทษจื่อมู่ก่อน” ชายหนุ่มหลายคนเข้ามาล้อมรอบตัวจวินอู๋เสียไว้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยนางไปอย่างง่ายดายในวันนี้
หลี่จื่อมู่มองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าและแอบภาคภูมิใจ แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขาเกลี้ยกล่อมทุกคนด้วยคำพูดที่ดูดีว่า “พวกเจ้าพอเถอะ ทุกคนล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเดียวกัน ต่อให้จวินเสียเกือบจะขโมยตำแหน่งศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของข้าไปได้จริงๆ ข้าก็คิดว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือ เรื่องแบบนี้จะไม่ตั้งใจได้อย่างไร ท่านผู้อาวุโสกู้ไม่ได้เลือกเขาแม้แต่น้อย แต่กลับคิดจะอาศัยโชคของเจ้าปีนป่ายให้สูงขึ้น แบบนี้เรียกไม่ตั้งใจไม่เจตนาได้หรือ จื่อมู่เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ถ้าหากเขาไม่ขอโทษเจ้าในวันนี้ พวกเราจะไม่ยอมปล่อยเขาไปอย่างเด็ดขาด” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดออกมาด้วยความโกรธเคือง พยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้หลี่จื่อมู่
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นตรงนี้ ได้ดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์ทุกคนในโรงงอาหาร พวกเขาสงสัยมานานแล้วเกี่ยวกับข่าวลือของศิษย์ใหม่ในปีนี้ จึงชะเง้อคอรอชมเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
ตอนที่ 410 ใส่ร้ายป้ายสี (2)
จวินอู๋เสียมองเรื่องตลกที่กำลังแสดงอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเฉียบ หลี่จื่อมู่ผู้นั้นช่างแสดงได้เก่งจริงๆ มองผิวเผินเหมือนเขาพยายามจะห้ามปรามทุกคนไม่ให้ก่อเรื่อง แต่ทุกๆ ประโยคที่เขากล่าวออกมานั้น กลับทำให้ภาพลักษณ์ของจวินอู๋เสียยิ่งดูเลวร้ายมากขึ้นไปอีก
แทบจะทุกประโยคของเขา ล้วนมีแต่คำว่าจวินอู๋เสีย ‘แย่งชิง’ ตำแหน่งของเขาไป
การโน้มน้าวใจแบบนี้ แม้จะไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ทว่าในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ชื่อเสียงของจวินอู๋เสียยิ่งแปดเปื้อนและดำมืด ขณะที่รัศมีแห่งความเอื้ออาทรและใจกว้างรอบตัวของเขาก็ยิ่งเรืองรองมากขึ้นทุกที
ในเวลานี้ จวินอู๋เสียถูกห้อมล้อมโดยกลุ่มชายหนุ่ม ศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายในโรงอาหารก็เพียงแต่เฝ้าดูการแสดงที่ดีเท่านั้น ไม่มีใครลุกขึ้นมาช่วยพูดแทนจวินอู๋เสียแม้แต่คนเดียว
ไม่มีใครสนใจว่าความจริงจะเป็นอย่างที่กลุ่มชายหนุ่มพวกนั้นอ้างหรือไม่
“ไปให้พ้น” จวินอู๋เสียยืนขึ้น ดวงตาที่เย็นชาของนางกวาดมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังยืนขวางทางเดินของนางอยู่
ดวงตาที่เย็นชาของจวินอู๋เสีย ทำให้ชายหนุ่มเหล่านั้นตกตะลึงครู่หนึ่ง พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีแววตาเย็นเยียบน่าขนลุกขนาดนี้มาก่อนเลย และเพียงครู่เดียว พวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้ตกลงไปในห้องน้ำแข็งที่อยู่ใต้ดิน มันหนาวลึกจนเข้าไปถึงกระดูก
แต่ในไม่ช้าความหยิ่งผยองของพวกเขาก็กลับมา
อีกฝ่ายก็เป็นแค่เด็กหนุ่มตัวเล็กคนหนึ่ง พวกเขามีมากมายถึงเพียงนี้จะไปกลัวอะไร!
“จวินเสีย อย่าให้มันมากเกินไปนัก เจ้าไม่ควรขอโทษจื่อมู่กับสิ่งชั่วๆ ที่เจ้าได้ทำลงไปกับเขาหรอกหรือ เพราะการกระทำของเจ้า รู้หรือไม่ว่าจื่อมู่เกือบจะพลาดตำแหน่งศิษย์สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไปตลอดทั้งชีวิตของเขาแล้ว!” เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียปฏิเสธที่จะขอโทษ แถมยังต้องการที่จะจากไป ชายหนุ่มอีกคนก็ไม่พอใจในทันที
“ขอโทษหรือ” จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่เย็นชาของนางกวาดมองไปที่หลี่จื่อมู่
หลี่จื่อมู่หลี่จื่อมู่ตัวสั่นสะท้าน เขาลอบอุทานในใจ
หากเขารู้ความจริงของเรื่องนี้ จวินอู๋เสียก็น่าจะรู้เช่นกัน ถ้าจวินอู๋เสียเปิดเผยคำโกหกของเขาต่อหน้าทุกคนล่ะก็…
แต่ในไม่ช้าหลี่จื่อมู่ก็สงบลง ต่อให้จวินอู๋เสียพูดขึ้นมาแล้วจะอย่างไรเล่า เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยที่ฝังอยู่ในใจของทุกคนก่อนหน้านี้ได้งอกขึ้นมาหมดแล้ว แม้ว่านางจะบอกกับทุกคนว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ก็ไม่มีใครเชื่อนางหรอก เผลอๆ ทุกคนจะคิดว่านางกำลังหาข้ออ้าง ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของจวินอู๋เสียดูไร้ยางอายในสายตาของทุกคนมากเข้าไปใหญ่!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่จื่อมู่ก็กลับมายืดออกด้วยความเชื่อมั่นอีกครั้ง
“ใช่ เจ้าต้องขอโทษ” ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านข้างตะโกน
จวินอู๋เสียเยาะเย้ย นางเกลียดพวกเด็กๆ ที่เสียงดังและไร้สมองพวกนี้จริงๆ
“ข้าจะพูดอีกเพียงครั้งเดียว ไปให้พ้น” นัยน์ตาของจวินอู๋เสียกดลึกลงไปอีก
“เจ้า! เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” กลุ่มชายหนุ่มเบิกตากว้าง พวกเขารู้สึกตกใจกับคำพูดของจวินอู๋เสียมาก!
นางบอกให้พวกเขาไปให้พ้นจริงๆ หรือ!
ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ด้วย!
“ดีมาก! ในเมื่อเจ้าชอบสุราจับกรอก เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้าจะเดินออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่!”
ดวงตาของจวินอู๋เสียหรี่ลงอย่างอันตราย พลังวิญญาณสีส้มเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างของนาง เจ้าแมวดำตัวน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขน กระโดดขึ้นไปที่ไหล่ของจวินอู๋เสียและใช้ดวงตาของมันจ้องมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มที่โง่เขลาเหล่านี้
พลังวิญญาณสีส้มทำให้คนหนุ่มสาวที่ล้อมรอบอยู่รู้สึกตกใจมาก เพราะถูกความโกรธเข้าครอบงำ พวกเขาจึงจำได้เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยที่สุดและผอมที่สุด แต่ลืมไปเลยว่าระดับพลังวิญญาณของนางนั้น เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเขา!
หลายคนถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นแมวดำที่ดูอ่อนแอไม่เป็นพิษเป็นภัยบนไหล่ของจวินอู๋เสีย หัวใจของพวกเขาก็เริ่มลังเล
มันเป็นเพียงแค่พลังวิญญาณขั้นสีส้ม แต่ภูติวิญญาณของนางนั้นอ่อนแอมาก หากพวกเขาต้องสู้กันจริงๆ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะเอาชนะจวินอู๋เสียไม่ได้!
หลี่จื่อมู่ยืนอยู่ข้างหลังฝูงชน เฝ้าดูทุกการกระทำของจวินจวินอู๋เสียด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แต่รอยยิ้มในดวงตาของเขากลับเข้มขึ้นเรื่อยๆ
ตราบเท่าที่จวินอู๋เสียกล้าลงมือโจมตีศิษย์คนอื่นๆ นางก็จะทำผิดกฎของสำนักศึกษาทันที!
และจากนั้นนางก็จะถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัว!