ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 437 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (5) ตอนที่ 438 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (6)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 437 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (5) ตอนที่ 438 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (6)
ตอนที่ 437 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (5) / ตอนที่ 438 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (6)
ตอนที่ 437 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (5)
ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวมักจะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาโดยตลอด
อาจารย์ใหญ่คนก่อนของสำนักศึกษาเฟิงหัวเป็นอาจารย์ของฟ่านฉีและหนิงรุ่ย ทั้งชีวิตของเขาไม่มีผู้สืบสกุล เขาจึงมอบตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ให้กับฟ่านฉีลูกศิษย์ของเขา
ตามธรรมเนียม หากฟ่านจัวยังไม่เสียชีวิต ฟ่านฉีสามารถยกตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ให้กับฟ่านจัวได้ แต่ถ้าหากฟ่านจัวเสียชีวิต แม้ว่าฟ่านจิ่นจะเป็นบุตรบุญธรรมแต่ชื่อเสียงของเขาในสำนักศึกษาเฟิงหัวก็สามารถผลักดันให้เขารับตำแหน่งได้
ถ้าหนิงรุ่ยต้องการเข้ารับตำแหน่ง ก็ต้องกำจัดบุตรชายทั้งสองของฟ่านฉีเท่านั้น
เมื่อรู้ความคิดของบิดาของตัวเอง หนิงซินก็เต็มใจที่จะช่วยประสมโรง
“อีกครึ่งเดือนก็จะถึงงานล่าวิญญาณแล้ว ในเวลานั้นลูกศิษย์ทุกคนที่ดูแลศิษย์ใหม่จะต้องพาศิษย์ใหม่ไปที่ป่าประลองวิญญาณ จวินเสียถูกดูแลโดยฟ่านจิ่น เขาจึงต้องไปด้วย แม้ว่าฟ่านจิ่นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้ามีคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ข้างกายเขา เขาจะยังแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ได้อีกหรือไม่” หนิงซินยิ้มเยาะเย้ย
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฟ่านจิ่นที่โง่เลือกจวินอู๋เสีย
“เด็กคนนั้นที่ชื่อจวินเสีย เจ้ารู้จักเขามากแค่ไหน เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาจะเป็นภาระไม่ใช่กำลังเสริม” หนิงรุ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“เดิมทีเจ้าเด็กคนนั้นอยู่ห้องพักเดียวกับอิ่นเหยียน แต่ภายหลังเขาย้ายออกมา ข้าเคยตรวจสอบเขาแล้ว ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาอยู่ในระดับสีส้ม วงแหวนภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้าย แม้ว่าพลังวิญญาณจะไม่เลวนัก แต่ระดับของภูติวิญญาณกลับต้อยต่ำมาก เป็นเพียงแมวธรรมดาตัวหนึ่งที่แทบจะเป็นวงแหวนภูติวิญญาณที่ไร้ประโยชน์ที่สุด” หนิงซินกล่าวอย่างดูถูก แม้ว่าพลังวิญญาณระดับสีส้มในวัยสิบสี่ปีจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเก่งกาจนัก แต่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวก็มิใช่ว่าไม่มีเด็กอายุสิบหกสิบเจ็ดปีที่มีพลังวิญญาณระดับสีส้ม แม้ว่าจำนวนจะน้อยมาก แต่วงแหวนภูติวิญญาณที่พวกเขามีนั้นเจ้าแมวดำไม่อาจเทียบได้เลย
ตอนนี้หากต้องต่อสู้กันจริงๆ ก็ต้องพึ่งวงแหวนภูติวิญญาณเป็นหลัก
“ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีที่สุด แต่เจ้าจวินเสียคนนั้นมิใช่ศิษย์ธรรมดา เพราะเขาสามารถเลือกที่จะไม่เข้าสาขาได้ ถ้าเจ้าจะบังคับเขาให้เข้าร่วมงานล่าวิญญาณพร้อมกับฟ่านจิ่น ข้าเกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่าย แต่ข้าสามารถให้คำแนะนำแก่เจ้าได้” หนิงรุ่ยกล่าว
“ท่านพ่อโปรดชี้แนะข้าด้วย”
“แม้ว่าจวินเสียจะอาศัยอยู่ในลานป่าไผ่ แต่เขาไม่ถูกกับอาจิ้ง อาจิ้งเชื่อคนง่าย ฟังข่าวลือมากมายในสำนักศึกษาจนทำให้เขาไม่ไว้ใจจวินเสีย เขากำลังคิดหาวิธีขับไล่จวินเสียออกจากลานป่าไผ่ ถ้าเจ้าบอกกับเขาว่าเจ้าสามารถช่วยทำให้เขาสมหวังได้ อาจทำให้แผนการของเจ้าสะดวกยิ่งขึ้น” หนิงรุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของหนิงซินเป็นประกายขึ้นมาทันที ลานป่าไผ่เป็นสถานที่ที่ฟ่านฉีจัดไว้ให้ฟ่านจัวได้พักผ่อนรักษาตัว นอกจากคนของสกุลฟ่าน ผู้อื่นไม่สามารถเข้าได้ก่อนได้รับอนุญาต ถ้าได้รับการช่วยเหลือจากอาจิ้ง อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก
“ข้าจะให้อิ่นเหยียนไปตีสนิทอาจิ้งทันที” หนิงซินมีแผนการอยู่ในหัว นางมักจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเสมอ ทุกเรื่องจะปล่อยให้อิ่นเหยียนเป็นคนทำ ดังนั้นไม่ว่าแผนการเหล่านี้จะถูกเปิดเผยหรือไม่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนาง
“อิ่นเหยียนเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ได้ง่าย เขาเชื่อฟังเจ้ามาก ไม่เสียแรงที่ข้าพยายามทำให้ฟ่านจิ่นออกไปในตอนนั้น” ดวงตาของหนิงรุ่ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ด้วยนิสัยของฟ่านจิ่น เขาจะไม่มีวันปฏิเสธศิษย์ใหม่โดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนั้นเป็นสิ่งที่หนิงรุ่ยจัดฉากขึ้นมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่ากู้หลีเซิงจะแอบสังเกตศิษย์ใหม่ทุกคนทันทีที่พวกเขาเข้ามาในสำนักศึกษา และวันนั้นในด้านหลังห้องโถง กู้หลีเซิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นอิ่นเหยียน หนิงรุ่ยจึงมั่นใจว่าเขาตั้งใจที่จะรับอิ่นเหยียนเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เขาจึงแอบใช้วิธีบางอย่างเพื่อทำให้อิ่นเหยียนเกลียดฟ่านจิ่น และในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขาจงรักภักดีต่อหนิงซินที่เป็นคนฉุดเขาขึ้นมาจาก ‘ความทุกข์’
ตอนที่ 438 มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ (6)
เมื่อฟ่านจิ่นกลับมาที่ลานป่าไผ่ ฟ่านจัวยังคงหลับอยู่ เขานั่งอยู่นอกลานเป็นเวลานานจนจวินอู๋เสีย เดินออกมาจากห้อง เขาจึงรีบเดินเข้าไปและนำเรื่องที่ฟ่านฉีตกลงให้จวินอู๋เสียรักษาฟ่านจัวให้จวินอู๋เสียฟัง
คำพูดเหล่านี้เข้าหูอาจิ้งที่เพิ่งกลับมาโดยบังเอิญ ทันใดนั้นอาจิ้งก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาทันที
หลังจากรับงานรักษาฟ่านจัวมาแล้ว จวินอู๋เสียก็ไม่นิ่งดูดายอีกต่อไป นางเปลี่ยนอาหารประจำวันของฟ่านจัวก่อน เปลี่ยนอาหารธรรมดาเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของยา นางหยิบยาสมุนไพรทั้งหมดในห้องฟ่านจัวขึ้นมาแล้วโยนทิ้งทันที
การกระทำของนางทำให้เปลือกตาของฟ่านจิ่นกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาเห็น จนทำให้เขาแอบตัดสินใจว่าก่อนกลับเขาจะต้องแอบเก็บยาสมุนไพรเหล่านั้นกลับไปด้วย เผื่อกรณีฉุกเฉิน
ร่างกายของฟ่านจัวไม่สามารถทนรับอะไรได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือยาบำรุง ในขณะที่ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก ยาบำรุงทุกอย่างก็จะเป็นภาระให้กับเขาได้
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้จวินอู๋เสียกังวลที่สุดคืออาการกำเริบของฟ่านจัวในครั้งนี้
จากประสบการณ์ของนาง นี่ไม่ใช่อาการกำเริบธรรมดาอย่างแน่นอน จากการบำรุงร่างกายของฟ่านจัว แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เขาอยู่ในสภาพปัจจุบันได้อีกเป็นเวลานาน แต่อาการกำเริบฉับพลันและรุนแรงนี้กลับไม่เป็นแบบนี้
จวินอู๋เสียตรวจสอบอาหารประจำวันของฟ่านจัว โอสถวิเศษและยาบำรุงที่ฟ่านจัวทานประจำ แต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น จวินอู๋เสียเรียกอาจิ้งมา ฟ่านจิ่นตามหลังมาอย่างใกล้ชิดและส่งสายตาเตือนอาจิ้งว่าให้ความร่วมมือกับจวินอู๋เสียอย่างเชื่อฟัง
อาจิ้งไม่มีทางเลือกนอกจากเล่าว่าฟ่านจัวทานอะไรในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาอย่างเชื่อฟัง และยังพาจวินอู๋เสีย และฟ่านจิ่นไปดูผักและอาหารในห้องครัวด้วย อาหารในสองสามวันนี้ไม่ต่างจากวันปกติ
จวินอู๋เสียก็ถามอีกว่าฟ่านจัวอาการกำเริบบ่อยแค่ไหน แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่มีอะไรผิดปรกติ
เวลาที่ฟ่านจัวอาการกำเริบนั้นไม่มีเวลาที่แน่นอน บางครั้งเดือนละครั้ง บางครั้งสัปดาห์ละครั้ง ไม่มีเวลาที่แน่ชัด
เมื่อเห็นว่าเบาะแสจะไม่มีประโยชน์อะไร จวินอู๋เสียก็ไม่ได้ถามอะไรอีก นางเริ่มเตรียมของที่จะบำรุงฟ่านจัวทันที
ด้วยอาการปัจจุบันของฟ่านจัว จวินอู๋เสียใช้อาหารที่มีส่วนผสมของยาเป็นตัวปรับสภาพภายใน จากนั้นก็ใช้การอาบน้ำยาสมุนไพรเป็นตัวช่วย และนางจะฝังเข็มให้ฟ่านจัวทุกวัน
เริ่มแรกฟ่านจัวรู้สึกประหลาดใจมากกับการจัดการของฟ่านจิ่น และยากที่จะเข้าใจในเรื่องที่จวินอู๋เสียจะมารักษาตัวเอง แต่หลังจากฟังคำอธิบายของฟ่านจิ่นแล้ว ฟ่านจัวก็เข้าใจเหตุผลทันที ไม่เพียงแต่กล่าวคำขอโทษกับจวินอู๋เสีย เขายังให้ความร่วมมือกับจวินอู๋เสียอย่างเต็มที่
ห้าวันผ่านไปในชั่วพริบตา ฟ่านจัวรู้สึกว่าห้าวันที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดในชีวิตของเขา ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาค่อยๆ หายไป และใบหน้าที่ซีดขาวของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับชายหนุ่มปรกติทั่วไปได้ แต่ก็ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนมาก
อาจิ้งยังคงพยายามเตือนอะไรบางอย่างให้ฟ่านจัวฟังเป็นครั้งคราว แต่ฟ่านจัวกลับไม่ฟังคำพูดของเขาเลย
เมื่อเห็นว่าฟ่านจัวและจวินอู๋เสียใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ อาจิ้งแอบกำหมัดแล้วส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้วงแหวนภูติวิญญาณของตัวเองส่งออกไป
อีกฟากหนึ่งของสำนักศึกษา อิ่นเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างของหอพักมองกระดาษในมือของตัวเองที่เขาเพิ่งได้รับพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากของเขา เขารีบเดินออกจากหอพักและแอบเรียกลูกศิษย์หลายคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวไปยังที่มืดเพื่อวางแผนอะไรบางอย่างกันอย่างเงียบๆ
พายุลูกใหญ่กำลังจะมา และลานป่าไผ่อันเงียบสงบก็กำลังจะสูญเสียความพิเศษนี้ของมันไปในไม่ช้า