ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 459 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (6) ตอนที่ 460 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (7)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 459 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (6) ตอนที่ 460 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (7)
ตอนที่ 459 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (6) / ตอนที่ 460 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (7)
ตอนที่ 459 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (6)
ฟันของหลี่จื่อมู่สั่นกระทบกันเมื่อได้สบกับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารนั้นของของจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียจะต้องสนใจทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณแน่ๆ อย่างงั้นรึ! นี่มันเรื่องตลกชัดๆ
ในที่สุดหลี่จื่อมู่ก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของเขาในตอนที่ร้องขอชีวิตนั้นมันโง่เขลาเพียงใด ในแง่ของทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ จวินอู๋เสียไม่ได้ด้อยไปกว่ากู้หลีเซิงสักนิด ด้วยสิ่งเหล่านี้นางยังจำเป็นต้องให้เขาไปขอร้องอ้อนวอนให้กู้หลีเซิงรับนางเป็นศิษย์อีกหรือ!
เรี่ยวแรงทั้งหมดของหลี่จื่อมู่คล้ายจะเหือดหายไปในพริบตา เขาปล่อยให้ฮวาเหยาและเฉียวฉู่ลากตัวเองไปตามอำเภอใจ ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
สิ่งที่เขาพยายามไขว่คว้ามาโดยตลอด ถึงขั้นไม่สนวิธีการสร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีจวินอู๋เสียเพื่อที่เขาจะได้โดดเด่นและเป็นที่จับตามองมากยิ่งขึ้น ไม่คาดคิดว่าจวินอู๋เสียจะได้ครอบครองมันแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณหรือแม้กระทั่งพลังอำนาจ ในสายตาของจวินอู๋เสียทั้งหมดนี้คงเป็นเพียงแค่ละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้นกระมัง ช่างน่าขำจริงๆ ที่เขาเพิ่งมารู้เอาป่านนี้ แต่ถึงรู้แล้วจะทำอะไรได้ กับขยะใกล้ตายที่ไม่แม้แต่จะสามารถแปลงพลังวิญญาณได้คนหนึ่ง
คำยกยอประจบสอพลอทั้งหลายในอดีตยังคงก้องอยู่ในหูของเขาไปมา เสียงเหล่านั้นที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้หลี่จื่อมู่รู้สึกภาคภูมิใจและหยิ่งผยองเหลือจะกล่าว บัดนี้กลับกลายเป็นความอัปยศที่ทำให้เขารู้สึกละอายไปทั้งหัวใจ
ทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณของจวินอู๋เสีย เปรียบเสมือนการตบหน้าฉาดใหญ่ที่ทำลายศักดิ์ศรีอันน้อยนิดของหลี่จื่อมู่จนแหลกไม่เหลือชิ้นดี
เขาไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ ทั้งยังไม่มีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ แต่เพราะได้รับเชิญให้เข้าไปศึกษาในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ถึงได้เริ่มกลายเป็นที่นับหน้าถือตาและถูกคนล้อมหน้าล้อมหลังประจบเอาใจไม่หยุด
อย่างไรก็ตามแม้ภายใต้การอบรมสั่งสอนที่พิถีพิถันและเอาใจใส่ของกู้หลีเซิง หลี่จื่อมู่ก็ยังไม่สามารถแสดงความสามารถอันใดออกมาได้ แม้แต่การเค้นและแปลงพลังวิญญาณซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานสุดของทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณเขาก็ยังเรียนรู้ไม่สำเร็จ!
ส่วนจวินอู๋เสียคนที่เขาใส่ร้ายป้ายสี คนที่ใครต่อใครต่างก็พากันรังเกียจด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนถ่อยนิสัยชั่วช้า คนที่เดินเข้าไปในตึกสาขาและอยู่ในตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพียงไม่กี่ชั่วยาม กลับเข้าใจทักษะดังกล่าวอย่างทะลุปรุโปร่งและสามารถใช้งานมันได้อย่างเชี่ยวชาญและทรงพลัง!
หลี่จื่อมู่คิดเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่าเขาแกร่งกว่าจวินอู๋เสียในทุกด้าน แต่ในความเป็นจริงมันตรงกันข้าม ในขณะที่เขามัวแต่หลงระเริงอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศจอมปลอม จวินอู๋เสียคงแอบหัวเราะลับหลังเขาแล้วมองเขาว่าเป็นไอ้โง่คนหนึ่งมาตั้งนานแล้ว
จวินอู๋เสียเดินตรงเข้าไปหาหลี่จื่อมู่อย่างช้าๆ หลี่จื่อมู่ก็ตัวสั่นเหมือนกับกิ่งหลิวลู่ลม ใบหน้าของเขาซีดเผือดและดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เขาจ้องเขม็งไปที่จวินอู๋เสีย ไม่กล้าละสายตาจากนางแม้แต่วินาทีเดียว
“เจ้า…เจ้า…อย่าเข้ามานะ…” เสียงของหลี่จื่อมู่สั่น ความหวาดกลัวอันไม่รู้จบท่วมท้นไปทั้งหัวใจของเขา เขารีบเงยหน้าขึ้นทันที หันไปหาฟ่านจิ่นที่อยู่ข้างๆ และตะโกนออกไปว่า “ศิษย์พี่ฟ่าน! ช่วยข้าด้วย! ได้โปรด! จวินเสียกำลังจะฆ่าข้า! เขาจะฆ่าข้าแล้ว อ้ากกก! อย่างไรข้าก็เป็นถึงศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณนะ! ถ้าข้าตาย ท่านอาจารย์ต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่!”
เจตนาฆ่าในดวงตาของจวินอู๋เสียไม่ได้ปกปิดเลย หลี่จื่อมู่ทำได้เพียงร้องขอความช่วยเหลือจากฟ่านจิ่นไปอย่างสิ้นหวัง
ฟ่านจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลี่จื่อมู่
“บางทีก่อนตายเจ้าควรจะรู้เรื่องนี้ไว้สักหน่อย อันที่จริงคนที่กู้หลีเซิงเลือกก็คือจวินเสียมาตั้งแต่ต้น แต่ด้วยเหตุผลบางประการเขาจึงไม่อาจปรากฏตัวที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้ เจ้าเป็นเพียงแค่คนที่กู้หลีเซิงสุ่มเลือกมาเพื่อใช้กลบเกลื่อนคำพูดในตอนแรกของเขาเท่านั้น แต่เพื่อหน้าตาและชื่อเสียงจอมปลอมไร้สาระของเจ้าเอง เจ้ากลับปล่อยข่าวลือใส่ร้ายจวินเสียเพื่อใช้เขาเป็นหินรองเท้า ทั้งที่หากเจ้ายอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมและเจียมตัว เจ้าอาจจะได้อยู่ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณต่อไปแท้ๆ ทั้งหมดเป็นเพราะความยโสโอหังความทะนงตนของเจ้าเองทั้งนั้น”
ฟ่านจิ่นตอนแรกก็อยากจะสงสารเห็นใจหลี่จื่อมู่อยู่หรอก แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งต่างๆ ในอดีตที่เขาเคยทำ เขาก็สงสารไม่ลงจริงๆ
จวินอู๋เสียอาจจะมีนิสัยเย็นชาเข้าหาได้ยากอยู่บ้าง แต่นางก็เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในการตัดสินใจของตัวเองมาก นี่คือจุดแกร่งของนางและเป็นจุดที่น่ายกย่อง
หากเรื่องราวเช่นนี้เปลี่ยนไปเกิดขึ้นกับศิษย์คนอื่น เกรงว่าศิษย์คนนั้นคงม้วนเสื่อหนีจากสำนักศึกษาเฟิงหัวไปตั้งนานแล้ว
การออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัว ไม่ต่างอะไรจากการตัดอนาคตของตัวเองเลย ในตอนที่หลี่จื่อมู่กระทำเรื่องขาดความรับผิดชอบเผยแพร่ข่าวลือเสียหายของจวินอู๋เสียไปทั่วสำนักศึกษา เขาเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ากำลังบีบผู้อื่นให้จนตรอกถึงตาย!
สามคนรวมกันเป็นพยัคฆ์[1] ในอดีตมีผู้คนมากน้อยเท่าไรแล้วที่ต้องสังเวยชีวิตและตกต่ำลงด้วยข่าวลือไร้แก่นสารจากปากของผู้อื่น
“อะ…อะไรนะ…” หลี่จื่อมู่ตกตะลึงไปแล้ว เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าความจริงทั้งหมดมันจะเป็นเช่นนี้!
ตอนที่ 460 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (7)
“ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่าจวินเสียก็คือผู้ที่มอบโอกาสอันหาได้ยากนี้แก่เจ้าอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเลย แม้แต่ประตูตึกสาขาเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสย่างเท้าเข้าไป” ฟ่านจิ่นมองไปที่หลี่จื่อมู่อย่างเวทนา
หลี่จื่อมู่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
เขาได้เข้ามาเป็นศิษย์สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณก็เพราะจวินอู๋เสีย แต่เขากลับวิ่งไปรอบๆ เพื่อสร้างข่าวลือทำร้ายจวินอู๋เสีย…
“อ้อ จะบอกอะไรให้เจ้ารู้อีกสักอย่าง ขวดกระเบื้องเคลือบเมื่อสักครู่ที่เจ้าโยนออกไปนั่นน่ะก็เป็นของน้องเสียเช่นกัน” เฉียวฉู่แทงเข้าอีกดาบด้วยรอยยิ้มสาแก่ใจ
หลี่จื่อมู่ตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว
“เหยียบย่ำผู้ที่ให้โอกาสตัวเองแล้วใช้เป็นหินรองเท้า เจ้าสารเลวนี่ดูเหมือนจะทำได้ดีจริงๆ” เพียงชำเลืองมอง สายตาอำมหิตของเฟยเยียนก็ทำเอาหลี่จื่อมู่ที่เกือบจะปัสสาวะราดกางเกงอยู่แล้วหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
“ข้าผิดไปแล้ว…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…ข้าขอโทษ…ได้โปรด พวกเจ้าอย่าฆ่าข้าเลยนะ…ข้าสาบาน ไม่ว่าในอนาคตพวกเจ้าจะสั่งให้ข้าทำอะไร ข้าจะทำตามที่สั่งทุกอย่าง…” เมื่อความโอหังและเบื้องหลังที่สนับสนุนเขาอยู่ถูกปลดทิ้งไปจนหมด หลี่จื่อมู่ก็เหมือนถูกจับแช่อยู่ในสระน้ำเย็น ทุกรูขุมขนหดตัวลงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม…
จวินอู๋เสียไม่มีความคิดที่จะรับคำขอโทษจากเขา นางมองหลี่จื่อมู่ราวกับศพศพหนึ่งก็ไม่ปาน
“เรียกภูติวิญญาณของเจ้าออกมา” จวินอู๋เสียสั่ง
“ข้าผิดไปแล้ว…ข้าขอโทษ…” หลี่จื่อมู่ยังคงโวยวายไม่หยุด เขาพูดขอโทษติดๆ กันอย่างคนขวัญผวา
เฟยเยียนรำคาญมาก จึงส่งหมัดเข้าที่ท้องของหลี่จื่อมู่อย่างแรงหนึ่งที!
อั้ก!
หลี่จื่อมู่กระอักเลือดออกมาทันที! ในของเหลวสีแดงนั้นจะเห็นเป็นเศษชิ้นเนื้อเล็กๆ ปะปนอยู่ด้วยเลือนราง
เฉียวฉู่ลอบกลืนน้ำลายดังอึก เฟยเยียนนั้นมีพละกำลังมหาศาลเช่นนี้มาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กแล้ว หมัดนี้ใช้แรงเพียงสามส่วนเท่านั้น แต่มันกลับทำให้หลี่จื่อมู่สูญพลังชีวิตไปกว่าครึ่ง
“อย่าตี อย่าตีข้าอีกเลย ข้ายอมแล้ว ข้าจะเรียกมันออกมาเดี๋ยวนี้” หลี่จื่อมู่ร้องไห้อย่างหนัก ทั้งน้ำมูกและน้ำตาไหลเปรอะเต็มใบหน้าไปหมด เขายกมือข้างที่มีวงแหวนภูติวิญญาณประทับขึ้นมา แล้วทำการเรียกภูติวิญญาณของเขาออกมา
แม้ว่าหลี่จื่อมู่จะไร้ประโยชน์ แต่ระดับภูติวิญญาณของเขานั้นค่อนข้างดีทีเดียว
ภูติวิญญาณในรูปลักษณ์หมาป่าสีเงินปรากฏตัวขึ้นต่อสายตาของทุกคน ในขณะที่ทำการเรียกหมาป่าสีเงิน ร่องรอยความชั่วร้ายก็พลันวาบผ่านดวงตาของหลี่จื่อมู่ไปอย่างมีนัยแอบแฝง และทันทีที่พลังวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นรูปร่างหมาป่าอย่างสมบูรณ์ หมาป่าสีเงินก็กระโจนเข้าใส่จวินอู๋เสียอย่างดุร้ายรวดเร็ว ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวแหลมคคมของมัน อ้าปากกว้างเล็งตรงมาที่ลำคอของจวินอู๋เสีย!
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเองแสงสีขาวสายหนึ่งก็ระเบิดออกจากมือของจวินอู๋เสียและพุ่งเข้าใส่หมาป่าสีเงินที่กำลังกระโจนเข้ามาราวกับสายฟ้า!
เอ๋งงงงง! เสียงร้องโหยหวนของหมาป่าสีเงินดังขึ้นอย่างน่าสงสาร
เห็นเพียงแต่เด็กหนุ่มรูปงามริมฝีปากแดงเรื่อ เขาถือกาสุราอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกำลังจับไปที่ลำคอของหมาป่าสีเงินแล้วยกมันลอยขึ้นกลางอากาศ ดวงตาที่งดงามคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยอย่างมึนเมา ในแววตาฉายชัดไปด้วยความรังเกียจและเหยียดหยาม
“ชิ ข้าก็อุตส่าห์คิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสักหน่อย…ที่ไหนได้เป็นแค่หมาป่าสีเงินระดับห้า แต่ยังกล้ากระโจนเข้าใส่เจ้านายของข้าผู้นี้ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ” บัวหิมะมัวเมายิ้มเยาะ ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งด้วยความมึนเมาส่องประกายฉายแววสังหารเย็นเยียบ นิ้วเรียวทั้งห้าของเขาออกแรงบีบไปที่ลำคอของหมาป่าสีเงินตัวนั้นมากกว่าเดิม หมาป่าสีเงินดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่มันก็ไร้ประโยชน์ มันไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงได้
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาว ทำให้สีหน้าของหลี่จื่อมู่เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของเขาไม่มีสีเลือดใดๆ อีก ไร้แม้กระทั่งร่องรอยของความหวัง ไพ่ลับใบสุดท้ายที่เขาเพิ่งใช้ออกไป หมาป่าสีเงินภูติวิญญาณระดับห้า กลับถูกหยุดไว้ด้วยมือข้างเดียวของเด็กหนุ่มแปลกหน้าเช่นนี้!
การเดิมพันครั้งสุดท้ายที่เขาฝากไว้กับหมาป่าสีเงินของเขา เดิมพันครั้งสุดท้ายที่ทุ่มจนหมดหน้าตัก กลับพังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง
หลี่จื่อมู่มองไปที่บัวหิมะมัวเมาด้วยแววตามืดมนไร้แสง
“ตัดใจแล้วสินะ” จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองหลี่จื่อมู่
“ข้า…ข้า…ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่กล้าอีกแล้ว…” เมื่อเห็นหมาป่าสีเงินของเขาถูกบัวหิมะมัวเมาจับไว้ด้วยมือข้างเดียว หลี่จื่อมู่ก็รู้สึกได้เพียงว่าหายนะใหญ่หลวงกำลังจะมาเยือนแล้ว
“เสี่ยวเฮย” จวินอู๋เสียพูดอย่างเย็นชา
“ฆ่าเขาซะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของจวินอู๋เสีย แมวดำตัวน้อยที่นอนอยู่บนไหล่ของนางอย่างเกียจคร้านก็กระโดดลงมา มันกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายสีดำขนาดยักษ์ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่หลี่จื่อมู่ที่กำลังกรีดร้องอย่างหวาดกลัวทันที!
—————————————
[1] สามคนรวมกันเป็นพยัคฆ์ หมายถึงคนสามคนที่ทยอยพูดเรื่องเดียวกันให้คนคนหนึ่งฟัง คนที่ถูกพูดกรอกหูซ้ำๆ ย่อมจะคล้อยตามคนพูดได้ ก็จะทำให้ข่าวลือหรือเรื่องเท็จกลายเป็นเรื่องจริง