ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 477 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (4) ตอนที่ 478 ฉกฉวยผลประโยชน์ (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 477 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (4) ตอนที่ 478 ฉกฉวยผลประโยชน์ (1)
ตอนที่ 477 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (4) / ตอนที่ 478 ฉกฉวยผลประโยชน์ (1)
ตอนที่ 477 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (4)
“เสี่ยวเหยียน เป็นอะไรไป หรือว่าลมที่นี่หนาวเกินไปสำหรับเจ้า” หนิงซินยิ้มและมองไปที่อิ่นเหยียนที่มีใบหน้าซีดเผือด รอยยิ้มที่อ่อนโยนของนางคล้ายจะหวานหยดกว่าปกติ
อิ่นเหยียนสั่นสะท้าน รีบพูดไปอย่างรวดเร็วว่า “ใช่ขอรับ มันค่อนข้างหนาวนิดหน่อย”
จะต้องเป็นความเข้าใจผิดของเขาแน่ๆ หญิงสาวที่งดงามอย่างศิษย์พี่หนิงจะมีความคิดที่ชั่วร้ายแบบนั้นได้อย่างไร
หนิงซินเพียงแค่ยิ้มจางและไม่พูดอะไรอีก
ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังคงเก็บกวาดทำความสะอาดสนามรบอยู่ จู่ๆ ก็มีศิษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาแต่ไกล เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนหัวของสัตว์วิญญาณตัวใหญ่เขาก็ตะโกนขึ้นทันทีว่า “ศิษย์พี่ลู่ขอรับ! ศิษย์พี่ลู่!”
ลู่เว่ยเจี๋ยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแฝงความเย่อหยิ่งจองหองและอวดดี เขากระโดดลงมาจากหลังของสัตว์วิญญาณและโยนหินวิญญาณเปื้อนเลือดที่เขาเพิ่งขุดขึ้นมาให้กับศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา
“มีอะไรหรือ” ลู่เว่ยเจี๋ยถามขณะเช็ดเลือดออกจากมือ
ศิษย์คนนั้นก็รีบเล่าให้ฟังอย่างไม่รีรอชักช้า
ศิษย์คนนี้มีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทอาวุธ และภูติวิญญาณของเขา ก็สามารถจำแลงร่างเป็นรองเท้าหุ้มข้อได้ ซึ่งมันจะช่วยเสริมความเร็วและปรับความสามารถในการกระโดดให้แก่เขาได้อย่างมาก ดังนั้นงานหลักของเขาจึงเป็นการออกค้นหาตำแหน่งของสัตว์วิญญาณ ทว่าในขณะที่เขากำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ เขาก็ได้บังเอิญไปพบเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถน่าประทับใจ คนกลุ่มนั้นต่อสู้ได้งดงามเป็นอย่างมากแถมยังสามารถล้มสัตว์วิญญาณระดับสูงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันได้เปิดหูเปิดตาเขามากจริงๆ
“สังหารสัตว์วิญญาณระดับสูงรึ” หนิงซินเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดูเหมือนนางจะได้ยินเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว
ลู่เว่ยเจี๋ยหันไปมองหนิงซิน เมื่อดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เรือนร่างเว้าโค้งงดงามของนาง ความเย่อหยิ่งในดวงตาของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความชื่นชมลุ่มหลง
“ขอรับ พวกเขาฆ่าสัตว์วิญญาณระดับสูงจริงๆ” ศิษย์คนที่วิ่งมาบอกข่าวพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ลู่เว่ยเจี๋ยขมวดคิ้วมุ่น การสังหารสัตว์วิญญาณระดับสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในฐานะที่เป็นอันดับสองของศึกประลองภูติวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัว ลู่เว่ยเจี๋ยรู้ดียิ่งกว่าใครถึงความลำบากในการเอาชนะสัตว์วิญญาณระดับสูงสักตัวหนึ่ง ต้องรู้ไว้ก่อนว่าเขาในตอนนี้อยู่ภายใต้คนผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ต้องสงสัย และกลุ่มที่เขานำมาในป่าประลองวิญญาณ ย่อมเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักศึกษาเฟิงหัวในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำเช่นเดียวกันได้
ไม่เพียงแต่สัตว์วิญญาณระดับสูงจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์วิญญาณระดับกลางเท่านั้น แต่พวกมันยังเริ่มมีสติปัญญาบ้างแล้ว ดังนั้นพวกมันจะไม่ต่อสู้กับศัตรูโดยตรง แต่จะค่อยๆ โจมตีอย่างมีชั้นเชิง และรู้จักวางแผนการต่อสู้กระทั่งการหลบหนี
ในการจัดการกับสัตว์วิญญาณระดับกลาง ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความร่วมมือของกลุ่มระดับหนึ่ง แต่เงื่อนไขที่จำเป็นในการกำจัดสัตว์วิญญาณระดับสูงนั้นแตกต่างออกไปและต้องการมากกว่านั้นเป็นอย่างมาก
จนถึงตอนนี้ ในประวัติศาสตร์ของงานล่าวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัว ยังไม่มีกลุ่มใดสามารถฆ่าสัตว์วิญญาณระดับสูงได้สำเร็จแม้แต่ตัวเดียว
“พวกนั้นเป็นคนของกลุ่มไหน” หลู่เว่ยเจี๋ยถาม
“หลังจากที่คนพวกนั้นล้มสัตว์วิญญาณตัวนั้นเสร็จ ข้าก็ได้เข้าไปสอบถามแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้จักศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวเลย อายุเฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ประมาณยี่สิบกว่าปี และพวกเขามาที่ป่าประลองวิญญาณก็เพื่อค้นหาสมุนไพรบางอย่าง แต่พวกเขาไม่รู้ถึงภูมิประเทศ และไม่ค่อยเข้าใจพื้นที่ส่วนลึกของป่าประลองวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงหลงทางอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขายังถามข้าอยู่เลยว่ารู้จักสถานที่นี้หรือไม่” ศิษย์คนนั้นเล่าบทสนทนาระหว่างเขากับคนกลุ่มนั้นออกมาจนหมด
คิ้วที่เดิมขมวดมุ่นของลู่เว่ยเจี๋ยก็คลายลงในที่สุด
ตราบเท่าที่คนกลุ่มนั้นไม่ใช่ศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
หากมีกลุ่มอื่นในสำนักศึกษาเฟิงหัวที่สามารถล่าสัตว์วิญญาณระดับสูงเพียงลำพังได้ มันจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงสำหรับเขา
เป้าหมายของลู่เว่ยเจี๋ยในครั้งนี้ก็คือการได้อันดับหนึ่งในงานล่าวิญญาณ
“โอ้” หนิงซินอุทานหลังจากได้ฟังคำพูดของศิษย์คนนั้น ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองของนางที
ตอนที่ 478 ฉกฉวยผลประโยชน์ (1)
“ซินเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าจะคิดแผนการอะไรดีๆ ออกแล้ว” ลู่เว่ยเจี๋ยถาม
หนิงซินยิ้มและพูดว่า “ศิษย์พี่ลู่ตั้งใจจะเป็นอันดับหนึ่งในงานล่าวิญญาณครั้งนี้ใช่หรือไม่ ถ้าหากพวกเราออกล่าเพียงลำพัง อย่างมากสุดก็คงล่าสัตว์วิญญาณระดับกลางได้เพียงสองหรือสามตัว ซึ่งนั่นยังไม่เพียงพอสำหรับอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์งานล่าวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัว! แต่ถ้ามีสัตว์วิญญาณระดับสูงเพิ่มเข้ามา…”
ลู่เว่ยเจี๋ยดวงตาเป็นประกาย ไม่มีใครปฏิเสธข้อเสนอที่เย้ายวนใจเช่นนี้ได้ แต่…
“ข้ายังไม่มีความสามารถมากพอจะจัดการกับสัตว์จิตวิญญาณระดับสูงได้” ลู่เว่ยเจี๋ยยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ ต่อหน้าสัตว์วิญญาณระดับสูงนั้น เขาทำอะไรไม่ได้เลย
หนิงซินยิ้มและกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่ลู่ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ก็มีคนส่งโอกาสนี้มาให้เราถึงหน้าประตูแล้วไม่ใช่หรือ”
ลู่เว่ยเจี๋ยสับสนเล็กน้อย
“ความหมายของเจ้าคือ…”
หนิงซินมองไปที่ศิษย์คนนั้นที่วิ่งมาบอกข่าว ส่งยิ้มให้เขาอย่างนุ่มนวลและพูดว่า “เจ้าไปบอกคนพวกนั้นว่าเรามีแผนที่ของพื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าประลองวิญญาณ หากพวกเขาเต็มใจล่าสัตว์วิญญาณระดับสูงให้เราสองสามตัว เราก็สามารถพาพวกเขาไปได้ทุกที่ที่ต้องการ”
ศิษย์คนนั้นตอบสนองไม่เป็นไปครู่หนึ่ง เขามองไปที่หนิงซิน จากนั้นก็มองไปที่ลู่เว่ยเจี๋ย
ความประหลาดใจฉายชัดเต็มใบหน้าของชายหนุ่ม เหตุผลที่พวกลู่เว่ยเจี๋ยกล้าที่จะเข้ามายังเขตกลางของป่าประลองวิญญาณ หลักๆ ก็เพราะหนิงซินมีแผนที่โดยประมาณของป่าประลองวิญญาณอยู่ในมือ ซึ่งรายละเอียดที่บันทึกอยู่ในแผนที่นั้น ครอบคลุมและละเอียดมากกว่าที่สำนักศึกษาแจกจ่ายให้กับเหล่าศิษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายหรือเส้นทางที่ใช้เดิน นั่นทำให้กลุ่มของพวกเขาได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ หลายเท่านัก วิธีการที่หนิงซินเพิ่งจะเสนอขึ้นมา ก็คือใช้แผนที่ในมือของพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนให้คนกลุ่มนั้นช่วยล่าสัตว์วิญญาณระดับสูงให้ เช่นนี้พวกเขาก็จะได้หินวิญญาณระดับสูงมาไว้ในมืออย่างง่ายดาย!
“รีบไปเร็วเข้า มัวรีรออะไรอยู่” หนิงซินเอ่ยเร่ง
ศิษย์คนนั้นก็หันหลังและวิ่งออกไปในทันทีเพื่อไปเจรจากับคนกลุ่มนั้น
หลังจากที่ศิษย์คนนั้นจากไป ลู่เว่ยเจี๋ยก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อเสนอของหนิงซินและยกย่องนางมาก ซึ่งมันทำให้หนิงซินยิ้มกว้างและหัวเราะออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ในทางกลับกัน อิ่นเหยียนลอบกำหมัดของเขาอย่างลับๆ และจ้องไปที่แผ่นหลังของลู่เว่ยเจี๋ยอย่างดุร้าย
ศิษย์คนนั้นวิ่งออกไปได้ไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมกับมีคนสิบคนที่ตามหลังเขามาด้วย
ทั้งสิบคนล้วนสวมเสื้อคลุม เมื่อมองพวกเขาจากระยะไกล จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้เลย แต่จากรูปร่างแล้ว เจ็ดคนนั้นสูงและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว พวกเขาเป็นเหมือนกับภูเขาที่ตั้งตระหง่าน
“ศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่หนิง นี่คือสหายที่ต้องการแผนที่ของเราขอรับ” ศิษย์คนนั้นง่วนอยู่กับการแนะนำพวกเขา
บุรุษผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม สวมเสื้อคลุมและมีรูปร่างสูงใหญ่ ภายใต้แสงแดดที่ตกกระทบลงมา ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเขานั้นทำให้เหล่าศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวที่จับจ้องเขาอยู่แทบจะหายใจไม่ออก มันแตกต่างกับบรรยากาศรอบตัวของเหล่าหนุ่มน้อยของสำนักศึกษาที่แสนจะบอบบางละเอียดอ่อน ความรู้สึกที่สมชายชาตรีให้เสน่ห์ในแบบผู้ใหญ่นั้น ช่างน่าดึงดูดแต่ขณะเดียวกัน ดวงตาที่แหลมคมราวกับใบมีดของเขาก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ
บุรุษผู้นั้นเพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ แต่กลับให้ความรู้สึกกดดันอย่างหนัก
แม้แต่ลู่เว่ยเจี๋ยที่ปกติหยิ่งผยองและโอหัง ก็ยังห่อไหล่ลงเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษผู้นี้
“ข้าคือผู้คุ้มกันของขบวนพ่อค้านี้ พวกเจ้าเรียกข้าว่าองครักษ์หลงก็ได้” บุรุษผู้หล่อเหลาพูดพลางมองกลุ่มศิษย์ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
ลู่เว่ยเจี๋ยจ้องไปที่บุรุษผู้นั้นเป็นเวลานาน และจากนั้นเขาก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขารีบปิดซ่อนความกลัวที่มีต่อองครักษ์หลง และพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับน้ำเสียงที่สั่นเทาของตัวเอง “ลู่เว่ยเจี๋ย ศิษย์สาขาผู้ใช้อาวุธวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัว และนี่คือหนิงซิน”