ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 531 นกพิราบครองรังนกกางเขน (2) ตอนที่ 532 นกพิราบครองรังนกกางเขน (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 531 นกพิราบครองรังนกกางเขน (2) ตอนที่ 532 นกพิราบครองรังนกกางเขน (3)
ตอนที่ 531 นกพิราบครองรังนกกางเขน (2) / ตอนที่ 532 นกพิราบครองรังนกกางเขน (3)
ตอนที่ 531 นกพิราบครองรังนกกางเขน (2)
เพราะกลัวว่าอาหารที่เขาทานลงไปจะไม่ถูกกับยาที่เขาทาน ฉะนั้นกงเฉิงเหล่ยคนสนิทของฟ่านฉีจึงเป็นผู้ดูแลอาหารทั้งหมดของฟ่านจัว ตั้งแต่ทำอาหารจนถึงส่งอาหารก็มีแต่กงเฉิงเหล่ยเท่านั้นที่เป็นผู้ดูแลโดยไม่ผ่านมือผู้ใด
กงเฉิงเหล่ยเป็นคนที่ฟ่านฉีช่วยชีวิตไว้ตอนที่เขาออกไปข้างนอก ตอนนั้นพวกเขาอายุยังน้อยด้วยกันทั้งคู่ ฟ่านฉียังเรียนอยู่กับอาจารย์ของเขา กงเฉิงเหล่ยก็อยู่เคียงข้างฟ่านฉีมาโดยตลอด หลายปีมานี้ กงเฉิงเหล่ยภักดีมาโดยตลอดไม่เคยทรยศแม้แต่ครั้งเดียว
ฟ่านจิ่นไม่อยากสงสัยท่านอาที่เฝ้าดูเขาเติบโตขึ้นมาจริงๆ
“แต่ก็อาจมิใช่เขา เพราะถ้าหากต้องการลงมือจริงๆ ส่วนผสมหรือเครื่องปรุงก็สามารถทำได้” จวินอู๋เสียไม่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่ากงเฉิงเหล่ยเป็นคนที่วางยาจริงๆ
“ถึงแม้จะมิใช่เขา แต่ก็ต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับท่านพ่อของพวกเจ้าเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าไปในครัวของเขาได้เป็นอันขาด” จวินอู๋เสียกล่าว
ฟ่านจิ่นครุ่นคิดอย่างหนักก็ยังไม่พบผู้ที่เข้าข่ายทำผิด
จวินอู๋เสียก็ยังคงจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาที่ชัดเจน
นางมีคนที่น่าสงสัยอยู่ในใจอยู่แล้วคนหนึ่ง และคนนี้ ฟ่านจิ่นน่าจะเดาได้ แต่เขากลับยังสับสนอยู่
บางครั้งความรู้สึกก็อาจทำให้ความคิดของคนผิดพลาดได้
จวินอู๋เสียดื่มชาแล้วพลางคิดว่านางควรจะบอกการคาดเดาของนางให้ตาทึ่มคนนี้ฟังหรือไม่
“พี่ใหญ่” ทันใดนั้นฟ่านจัวก็กล่าวขึ้นมา
“มีอะไรหรือ”
“ช่วงนี้ท่านพ่อยังทานอาหารกับท่านอาหนิงอยู่หรือไม่” ฟ่านจัวกล่าวถามฟ่านจิ่นด้วยความสงสัย
ฟ่านจิ่นพยักหน้าและกล่าวว่า “ความเคยชินของท่านพ่อและท่านอาหนิงที่ต้องทานอาหารด้วยกันนั้นไม่เคยเปลี่ยน เป็นแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ท่านพ่อพูดเสมอว่าตั้งแต่เขากับท่านอาหนิงยังเป็นลูกศิษย์ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด จะว่าไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองท่านก็ดีมาโดยตลอด ท่านพ่อยังบอกอีกว่าอยากให้ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกันจึง…”
พูดไปพูดมา อยู่ๆ ฟ่านจิ่นก็หยุด ดวงตาของเขาเบิกกว้างแล้วมองไปที่ฟ่านจัวที่กำลังมองเขาด้วยความสงสัย
จวินอู๋เสียละสายตาแล้วยิ้มมุมปาก
ฟ่านจัวคนนี้ฉลาดกว่าพี่ชายของเขามาก
“ข้า…ข้ามีบางอย่างต้องทำ พวกเจ้าคุยกันก่อน” ฟ่านจิ่นลุกขึ้นยืนทันที คำพูดของฟ่านจัวเหมือนสายฟ้าฟาดใส่กลางกบาลเขาแล้วแยกหมอกที่อยู่ในใจของเขาออก
เขาคิดมาโดยตลอดว่าคนที่วางยาเป็นคนที่มีความแค้นกับสกุลฟ่านของพวกเขา แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอย่างนั้นแล้ว
ในป่าประลองวิญญาณ เรื่องที่หนิงซินวางแผนทำร้ายเขานั้นได้ทิ้งเมล็ดแห่งความไม่สบายใจไว้ในใจของฟ่านจิ่นแล้ว และคำถามของฟ่านจัวก็ทำให้เมล็ดนี้หยั่งราก
คนที่สามารถเข้าไปในลานของฟ่านฉีได้นั้นมีไม่มาก และคนที่สามารถเข้าใกล้ห้องครัวได้ก็ยิ่งน้อยขึ้นไปอีก นอกจากกงเฉิงเหล่ยและฟ่านจิ่นแล้วก็มีแค่หนิงรุ่ยที่ทานอาหารกับฟ่านฉีเท่านั้นที่สามารถทำได้!
หนิงซินสามารถทำร้ายเขาได้ แล้วหนิงรุ่ยจะแอบทำร้ายฟ่านจัวหรือไม่
ฟ่านจิ่นไม่กล้าคิดเรื่องนี้อีก เขาต้องคุยกับกงเฉิงเหล่ยเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจึงจะสามารถแน่ใจได้!
ฟ่านจิ่นรีบเดินออกจากลานป่าไผ่อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีก!
หนิงซินทำร้ายเขา เขาสามารถไม่เอาเรื่องนางได้เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต แต่ถ้าสองพ่อลูกคิดจะทำร้ายเสี่ยวจัว เขาจะไม่ปล่อยพวกเขาอย่างแน่นอน!
เมื่อเห็นฟ่านจิ่นเดินจากไปอย่างเร่งรีบ บนใบหน้าของฟ่านจัวก็มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา เขาก้มศีรษะลงแล้วทานอาหารในถ้วยของเขาต่อไป
“ในเมื่อรู้มาโดยตลอด แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงรอให้มันถึงตอนนี้แล้วค่อยพูด” จวินอู๋เสียวางใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะและเจ้าแมวดำตัวน้อยลงบนโต๊ะ เท้าคางมองฟ่านจัวที่มีสีหน้าเรียบเฉย
ตอนที่ 532 นกพิราบครองรังนกกางเขน (3)
มือของฟ่านจัวที่ถือช้อนไว้ชะงักนิ่ง ร่างกายที่ผอมบางของเขาแข็งทื่อ เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “พูดแล้วได้อะไร ไม่มีหลักฐาน พี่ใหญ่กับท่านพ่อก็ไม่เชื่อ แม้ว่าจะไปสอบถามเขาตรงๆ สุดท้ายก็ยิ่งทำให้คนคนนั้นอยากกำจัดข้าให้เร็วขึ้นเท่านั้น หากเป็นอย่างนั้น ข้ายอมรักษาชีวิตไว้เพื่อรอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นดีกว่า”
น้ำเสียงของฟ่านจัวไม่เหมือนเดิม เสียงแหบแห้งที่หดหู่นั้นทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหดหู่ไปด้วย
“ฟ่านฉีเชื่อใจคนผู้นั้นมากเลยหรือ” จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อย
“คนผู้นั้นเคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงให้ความสำคัญกับคนคนนั้นมาโดยตลอด ข้ารู้ว่ามีคนลงมือทำอะไรบางอย่างกับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ไม่มีเบาะแส ไม่มีหลักฐานแล้วท่านพ่อจะเชื่อข้าได้อย่างไร” ฟ่านจัวเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าที่หล่อเหลานั้นไม่มีรอยยิ้มที่อบอุ่นอีกต่อไป บนใบหน้าของเขาถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่เย็นชา และแสงอันเยือกเย็นในดวงตาคู่นั้นแหลมคมราวกับดาบ
หากไม่สามารถล้มศัตรูได้ในครั้งเดียว เขาก็จะไม่ลงมือเพราะเขาไม่ต้องการให้โอกาสผู้นั้นฆ่าปิดปากเขา
“แล้วเพราะเหตุใดตอนนี้เจ้าจึงกล้าขึ้นมา” จวินอู๋เสียกล่าวถาม
ฟ่านจัวมองไปที่จวินอู๋เสีย บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่อบอุ่นและสดใสปรากฏขึ้นมาทันที
“เพราะมีน้องเสีย”
จวินอู๋เสียกะพริบตา
“ตั้งแต่วินาทีที่น้องเสียเข้าใกล้พี่ใหญ่ น้องเสียก็กลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่พวกเขาใช้ทำร้ายพี่ใหญ่ และด้วยนิสัยของน้องเสีย น้องเสียไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน ข้ารู้ว่าน้องเสียจะต้องลงมือ และตอนที่น้องเสียลงมือก็เป็นเวลาที่ข้าจะได้รับอิสระ” รอยยิ้มของฟ่านจัวนั้นสดใสเป็นพิเศษ การปรากฏตัวของจวินอู๋เสีย ทำให้เขามีความหวังและทำให้เขาไม่ต้องเก็บซ่อนอีกต่อไป
“เจ้าฉลาดกว่าพี่ชายของเจ้า” จวินอู๋เสียมองไปที่ฟ่านจัว นางไม่เชื่อว่าฟ่านจัวจะนิ่งเฉยไปตลอด เขาจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างแน่นอน แต่อาจต้องใช้เวลานานในการเตรียมการแต่การปรากฏตัวของนางทำให้แผนการของเขาเร็วขึ้นเท่านั้น
“พี่ใหญ่เป็นคนที่ใสซื่อ เขาชอบมองผู้คนในแง่ดีเสมอ หากไม่เห็นกับตาตัวเองเขาจะไม่เชื่อ มากสุดเขาจะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องที่เข้าใจผิดกันเท่านั้น” ฟ่านจัวยักไหล่เพราะเขารู้จักนิสัยของฟ่านจิ่นเป็นอย่างดี
“หากหนิงซินรู้ว่าเจ้ามีโอกาสที่จะหายดีเป็นปกติ นางอาจจะไม่รนหาที่ตายอย่างนี้” จวินอู๋เสียกล่าว
เพราะทุกสิ่งที่สองพ่อลูกนั้นต้องการสามารถหาได้จากฟ่านจัว
แต่รอยยิ้มของฟ่านจัวไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“แต่ถ้าข้ามิใช่ทายาทที่แท้จริงล่ะ”
จวินอู๋เสียหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ฟ่านจัวลุกขึ้นแล้วนำอาหารที่เย็นแล้ววางไว้ด้านข้าง
“หากข้าเป็นเพียงแค่นกพิราบที่ครองรังนกกางเขน แต่ฟ่านจิ่นเป็นสายเลือดที่แท้จริงของสกุลฟ่าน พวกเขาจะยังคิดอย่างนี้อยู่หรือไม่”
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนนางจะได้ยินเรื่องที่น่าสนใจเข้าแล้ว
ฟ่านจัวมองไปที่จวินอู๋เสีย รอยยิ้มในดวงตาของเขายิ่งลึกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อกับพี่ใหญ่เป็นคนดี หากไม่มีพวกเขา ข้าก็คงจากโลกนี้ไปนานแล้ว ที่ข้าเป็นคนนกพิราบครองรังนกกางเขนแบบนี้ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ หลังจากเรื่องของตระกูลหนิงจบลง ข้าก็จะคืนตำแหน่งบุตรชายที่แท้จริงของอาจารย์ใหญ่ให้กับตัวจริง”
ดังนั้น การที่เขาอดทนมาโดยตลอดและเป็นห่วงความรู้สึกของสองพ่อลูกสกุลฟ่านเป็นการตอบแทนบุณคุณของข้า
จวินอู๋เสียเอียงศีรษะและมองไปที่ฟ่านจัว เกรงว่าก่อนที่ฟ่านจัวจะพบนางเขาคงจะละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เขารู้ว่าร่างกายของเขานั้นอยู่ได้อีกไม่นาน เขาจึงพยายามหาวิธีที่จะทำให้สองพ่อลูกสกุลฟ่านเห็นถึงความชั่วร้ายของสองพ่อลูกตระกูลหนิง
ตอบแทนบุญคุณของการเลี้ยงดูด้วยชีวิตที่จำกัดของเขา
คนผู้นี้น่าสนใจจริงๆ