ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 677 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (2) ตอนที่ 678 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 677 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (2) ตอนที่ 678 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (3)
ตอนที่ 677 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (2) / ตอนที่ 678 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (3)
ตอนที่ 677 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (2)
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยากับการแยกตัวออกไปของเยี่ยเม่ยมากนัก หลังจากที่พวกเขาลอยออกไปเพราะพายุหมุน พวกเขาทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่ก่อนจะลงมายังด้านล่างผาสุดขอบฟ้า จวินอู๋เสียได้แบ่งโอสถไว้ให้ทุกคนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างในระยะเวลาสั้นๆ และทำให้พวกเขาออกค้นหาได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาออกค้นหาจวินอู๋เสียอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นเวลานาน ขาของพวกเขาถูกใช้งานอย่างหนัก เนื่องจากความเปียกชื้นและอากาศที่หนาวเหน็บเล่นงานพวกเขาอย่างต่อเนื่อง โอสถที่กลืนลงไปก่อนหน้าจึงแทบไม่ได้ช่วยอาการบาดเจ็บของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
การค้นหาเป็นไปอย่างล่าช้าภายใต้หมอกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในที่สุดพวกเขาก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ เนื่องจากพวกเขามาพบกับดินแดนที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียว บนพื้นดินที่ไหม้เกรียมจนกลายเป็นสีดำ พวกเขาเห็นว่ามีกองก้อนหินถูกรวบรวมและสร้างขึ้นเป็นเหมือนบ้านแบบหยาบๆ และเรียบง่าย!
“นั่นบ้านหรือ ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” เฉียวฉู่ขยี้ตาแรงๆ แล้วกะพริบตา ความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำให้เขาประสาทหลอนไปแล้วหรือ! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีบ้านอยู่ที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้าที่ไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ได้นี้!
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ตาของเจ้ายังดีอยู่ เพราะว่า…ข้าก็เห็นมันเหมือนกัน!” เฟยเยียนพูดพร้อมกับคว้าแขนของเฉียวฉู่
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของบ้านหินได้กระตุ้นความสนใจของพวกเขาทุกคน และเมื่อพวกเขากำลังจะเข้าไปใกล้มัน เยี่ยซาก็ขวางทางพวกเขาทันที
“พี่เยี่ยซา มีอะไรหรือ” ฟ่านจัวถาม พร้อมกับสังเกตเห็นว่าเยี่ยซาดูระแวดระวังมาก
เยี่ยซาหรี่ตามองบ้านหิน
“มีคนอยู่ในบ้านหลังนั้น”
ไม่มีแสงไฟส่องถึงก้นผา และพวกเขาก็ยังอยู่ห่างจากบ้านหินหลังนั้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าบ้านหินไม่ได้อยู่ในรัศมีแสงไฟของผลึกไฟของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังมองเห็นบ้านหลังนั้นได้อย่างชัดเจน แสงไฟบางส่วนเล็ดลอดออกจากรอยแตกจากด้านใน ทำให้บ้านหินส่องแสงสลัวๆ อยู่ในความมืดด้านหน้าพวกเขา
คำพูดของเยี่ยซาทำให้ทุกคนยืนตัวแข็งอยู่กับที่
เฉียวฉู่เกือบร้องอุทานเสียงดังอย่างตื่นเต้น “น้องเสีย! ต้องเป็นน้องเสียแน่! ข้าคิดอยู่แล้วว่าทำไมเราหานางไม่พบ ที่แท้นางมาอยู่ในที่แบบนี้นั่นเอง!” เฉียวฉู่เดินอาดๆ ตรงไปยังบ้านหินอย่างมีความสุข แต่เขาก็พบว่าตัวเองถูกเยี่ยซาดึงเอาไว้
“คนที่อยู่ในบ้านมีพลังวิญญาณขั้นสีม่วง” เยี่ยซาพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว เมื่อเขาเห็นบ้านหินครั้งแรก เขาก็คิดแบบเดียวกับเฉียวฉู่ แต่เมื่อเขากำลังจะพุ่งเข้าไป เขาก็ตรวจจับได้ว่ามีผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงอยู่ในนั้น สัมผัสพลังวิญญาณที่เขารู้สึกได้ เป็นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“อะไรนะ!” เฉียวฉู่ตกตะลึง
จวินอู๋เสียมีพลังวิญญาณแค่ขั้นสีเหลืองเท่านั้น ถ้ามันเป็นขั้นสีม่วงจริงๆ คนผู้นั้นก็ไม่ใช่จวินอู๋เสียอย่างแน่นอน!
“ไม่ใช่พลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริงหรอก แต่คนผู้นั้นใช้วิธีการบางอย่างเพื่อกระตุ้นให้พลังวิญญาณของเขาไปถึงขั้นสีม่วง” ดวงตาของเยี่ยซาทอประกายเย็นชาขณะที่พูด
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยซา รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวฉู่กับคนอื่นๆ ก็แข็งค้างในทันที
การที่สามารถเร่งพลังวิญญาณให้ขึ้นไปถึงขั้นสีม่วงได้ แสดงว่าต้องเป็นคนจากสามโลกชั้นกลางแน่!
“คนจากสามโลกชั้นกลาง…” ฮวาเหยาพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่บ้านหลังนั้น
“น่าจะอย่างนั้น” เยี่ยซาพยักหน้า
“จะหลีกเลี่ยงหรือไม่” ฟ่านจัวถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชาและสายตาก็ทอประกายฆ่าฟันชัดเจน
คนจากสามโลกชั้นกลางพวกเดียวที่มาที่ผาสุดขอบฟ้าก็คือคนของสิบสองตำหนัก พวกเขาทุกคนต่างจงเกลียดจงชังสิบสองตำหนัก และด้วยความเกลียดชังนี้ พวกเขาจะระงับตัวเองต่อไปได้อย่างไร!
“บ้านหินดีๆ แบบนี้ไม่น่าจะปล่อยให้พวกสวะจากสิบสองตำหนักอยู่ให้เสียของไปเปล่าๆ หรอก” เฉียวฉู่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ในตอนนั้นทุกคนก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน และรวบรวมพลังวิญญาณของพวกเขาทันทีก่อนจะพุ่งเข้าประชิดบ้านหิน!
เยี่ยซาบอกว่ามีคนอยู่ในบ้านแค่คนเดียว และเขาไม่ใช่ผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริง ดังนั้นแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่พวกเขาหลายคนรวมกันก็น่าจะสู้ได้สบาย!
ตอนที่ 678 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (3)
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ย่องเข้าไปใกล้บ้านหินอย่างช้าๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะถึงประตูบ้านหิน…
จู่ๆ ประตูหินหนาหนักก็เปิดออกเสียงดังครืน!
ในเวลาเดียวกัน เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ก็เร่งพลังวิญญาณของพวกเขาขึ้นเป็นขั้นสีม่วงทันที!
พลังวิญญาณของพวกเขาเปล่งแสงสีม่วงอยู่บนฝ่ามือ ทุกคนกำลังจะระเบิดพลังเข้าใส่บ้านหลังนั้น!
แต่ทว่า…
ใบหน้าเล็กๆ บอบบางที่มองสวนกลับมาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ร่างของนางเปล่งแสงสีม่วงอ่อน จวินอู๋เสียมองดูทุกคนด้วยแววตาสงบนิ่ง
“….”
ทันใดนั้น ทุกอย่างก็เงียบกริบ
พลังวิญญาณที่รวบรวมอยู่บนฝ่ามือของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ลุกโหมเหมือนเปลวไฟอันร้อนแรง แต่แล้วจู่ๆ มันก็ดับไปเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ หายไปแบบไร้ร่องรอย
“น้อง…น้องเสีย” เฉียวฉู่ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาได้สติอีกครั้ง เขามองดูจวินอู๋เสียที่พวกเขาไม่ได้พบมาพักหนึ่งอย่างสับสนเอามากๆ ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกใจของเขา จ้องนิ่งไปที่แสงสีม่วงรอบกายของจวินอู๋เสียที่ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ
ต้องมีอะไรผิดปกติกับดวงตาของเขาแน่!
นี่เขาเห็นสิ่งนั้นจริงๆ!
น้องเสียมีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้อย่างไร…พวกเขาแยกจากกันนานแค่ไหนเชียว ต่อให้นางเป็นพระเจ้า ก็ไม่มีทางที่นางจะทำได้เร็วขนาดนี้…
“ข้าคงเหนื่อยเกินไป…หรือข้ากำลังหลับฝันอยู่” ใบหน้าของเฉียวฉู่แข็งค้าง เขาหยิกที่ต้นขาตัวเองแรงมาก มันเจ็บจนน้ำตาไหล
นี่เป็นความจริง! เขาไม่ได้ฝันไป!
ในที่สุดฮวาเหยาก็ได้สติ เขาสำรวจจวินอู๋เสียอย่างละเอียด สายตาเต็มไปด้วยความงุนงง
“น้องเสีย…เจ้ากลายเป็น…ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้อย่างไร” แม้ว่าจวินอู๋เสียจะสามารถพัฒนาพลังวิญญาณของนางให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมาตลอด แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่นางจะบรรลุถึงขั้นสีม่วงได้ในระยะเวลาเพียงเท่านี้!
ไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่คือสามโลกเบื้องล่าง ต่อให้เป็นสามโลกชั้นกลางก็เถอะ พวกเขาก็ไม่สามารถพบปีศาจที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้ได้
สายตาของฟ่านจัวแสดงความประหลาดใจ แต่เขาก็ได้สติอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเรียนรู้วิธีกระตุ้นพลังวิญญาณของสามโลกชั้นกลางมาหรือ”
คำพูดของฟ่านจัวทำให้เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อครู่เยี่ยซาได้พูดถึงคนในบ้านที่ไม่ใช่ผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริง นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาคิดกันว่าเป็นคนจากสิบสองตำหนักที่ใช้วิธีเฉพาะตัวของสามโลกชั้นกลางเพื่อยกระดับพลังวิญญาณให้ถึงขั้นสีม่วงชั่วคราว
ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเป็นจวินอู๋เสียนั่นเองที่อยู่ในบ้านหินหลังนั้น!
นั่นหมายความว่าจวินอู๋เสียสามารถเข้าใจเคล็ดวิชาที่สามารถเพิ่มพลังวิญญาณให้ขึ้นถึงขั้นสีม่วงชั่วคราวได้ แต่นางไปเรียนมาจากไหนกัน
ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและคำถามมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบจวินอู๋เสียหลังจากค้นหากันมาหลายวัน แต่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นกับนาง
เด็กนี่เป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่เนี่ย
จวินอู๋เสียมองสหายของนางที่ยืนอยู่หน้าประตู นางเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “เข้ามาพูดคุยกันข้างในเถอะ”
ข้างนอกมันหนาวเกินไป และไม่มีส่วนช่วยในการสนทนาด้วย
ทุกคนรีบเข้าไปข้างใน ขณะที่เยี่ยซาเดินผ่านข้างกายจวินอู๋เสีย เขาก็หยุดและพูดว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยไม่สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่ได้ ข้ามันไร้ความสามารถ ได้โปรดลงโทษข้าเถิดขอรับ”
จวินอู๋เสียส่ายศีรษะและเดินนำเยี่ยซาเข้าไปในบ้าน
บ้านนั้นมีขนาดเล็ก หลังจากเฉียวฉู่และคนอื่นๆ เข้ามา มันก็ค่อนข้างแออัดคับแคบ เฉียวฉู่และคนอื่นๆ มองดู ‘ที่นอน’ แบบหยาบๆ แต่ใช้การได้บนพื้นตรงมุมหนึ่งของบ้าน สิ่งที่นอนอยู่บนที่นอนและถูกห่อพันไว้ด้วยเสื้อผ้าก็คือร่างสีดำที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร นอนขดนิ่งอยู่ในกองผ้าอันอบอุ่น
ฟ่านจัวตาโตขึ้นทันทีเมื่อจำร่างนั้นได้ เขาหันหน้าไปถามจวินอู๋เสียว่า
“นั่นใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะหรือ”
จวินอู๋เสียพยักหน้า
แววตาของฟ่านจัวกลายเป็นเศร้าโศกเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในตอนที่จวินอู๋เสียพักอยู่ที่ลานป่าไผ่ ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะก็อยู่ที่นั่นด้วย แม้ว่าใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะจะไม่ค่อยใส่ใจฟ่านจัวเลย แต่เมื่อเขาเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ น่ารักเช่นนี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชแบบนั้น เขาก็อดรู้สึกสงสารเจ้าตัวน้อยนี้ไม่ได้