ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 693 พบกันอีกครั้ง (5) ตอนที่ 694 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 693 พบกันอีกครั้ง (5) ตอนที่ 694 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (1)
ตอนที่ 693 พบกันอีกครั้ง (5) / ตอนที่ 694 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (1)
ตอนที่ 693 พบกันอีกครั้ง (5)
“ท่านพบจวินเสียแล้วหรือ” หนิงรุ่ยถามพร้อมกับสังเกตเห็นมือที่เปื้อนเลือดของกู่อิ่ง โลหิตสีแดงสดยังคงเปียกและหยดลงบนพื้นหลายหยด
กู่อิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างและยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดบนโต๊ะ จากนั้นก็มองไปที่หนิงรุ่ยอย่างเกียจคร้าน แล้วพูดว่า “พบแล้ว กลายเป็นว่าเขาคือคนที่ข้ารู้จัก”
หนิงรุ่ยตกใจจนสะท้านเฮือก เขามองไปที่กู่อิ่งด้วยสีหน้าสงสัย
กู่อิ่งหัวเราะ “น่าเสียดาย ข้าไม่คิดเลยว่าเขาคือจวินเสีย”
หนิงรุ่ยไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ข้าจะไปพักอยู่ที่ลานป่าไผ่สักพัก เจ้าไปหาว่าฟ่านจัวอยู่ที่ไหนเอาเองแล้วกัน แล้วถ้าจำเป็นต้องให้ข้าลงมือ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน” กู่อิ่งบอกหนิงรุ่ย
“ขอรับ” หนิงรุ่ยพยักหน้าอย่างระมัดระวัง
“มีแค่กู้หลีเซิงกับจวินเสียที่ต้องอยู่ที่สำนักศึกษาเฟิงหัว คนที่เหลือสามารถส่งไปที่ผาสุดขอบฟ้าได้เลย เจ้าคิดที่จะดำเนินการเมื่อไหร่” กู่อิ่งถามหนิงรุ่ย จู่ๆ เขาก็หันมามองพร้อมกับยกมือเท้าคาง “ฟ่านฉีตายไปพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้สำนักศึกษาเฟิงหัวอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าคิดจะถ่วงเวลาไปอีกนานแค่ไหน”
กู่อิ่งเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
หนิงรุ่ยกลืนน้ำลายดังอึกแล้วรีบตอบว่า “ข้าไม่ได้ถ่วงเวลานะขอรับ แต่…เวินซินหันยังอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัว เดิมทีข้าวางแผนใส่ร้ายฟ่านจิ่นข้อหาฆาตกรรมฟ่านฉี ซึ่งจะทำให้ข้าสามารถกำจัดฟ่านจิ่นได้ในเวลาเดียวกัน ก่อนที่ข้าจะกระจายข่าวการตายของฟ่านจัวตามมาทีหลัง ข้าจะได้ขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวได้อย่างถูกต้องและยกขบวนลูกศิษย์ทั้งหมดไปที่ผาสุดขอบฟ้าได้ แต่เวินซินหันกลับมาในตอนนั้นพอดีและเอาฟ่านจิ่นไปอยู่ในการปกป้องดูแลของเขา หากเขายังอยู่แล้วข้าทำสิ่งที่เกินขอบเขตไป ด้วยตำแหน่งผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติของเขา เขาก็มีอำนาจที่จะหยุดข้าได้”
เหตุผลที่หนิงรุ่ยยังไม่ลงมือไม่ใช่เพราะเขายังมีสำนึกผิดชอบชั่วดี แต่เป็นเพราะภายใต้การจับตาดูอย่างระมัดระวังของผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ การกระทำของเขาจึงถูกจำกัด
กู่อิ่งขมวดคิ้ว เขาเคยพบกับเวินซินหัน ถึงแม้เขาจะเป็นชายชราที่อายุเกินหกสิบปีไปแล้ว แต่เขาก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริง!
แม้ว่ากู่อิ่งจะสามารถยกระดับพลังวิญญาณของเขาให้ขึ้นเป็นขั้นสีม่วงได้ชั่วคราว แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างระหว่างพลังของเขากับผู้มีพลังขั้นสีม่วงที่แท้จริงอยู่มาก ถึงเขาจะยโสจองหองอย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังไม่กล้าไปต่อสู้กับเวินซินหัน
“เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่าเวินซินหันมีพลังวิญญาณแค่ขั้นสีคราม!” กู่อิ่งย้อนถามอย่างหงุดหงิด
สามโลกเบื้องล่างไม่ได้พบเห็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงมาเป็นศตวรรษแล้ว แล้วเวินซินหันโผล่ออกมาจากไหนกัน
“นั่น…ข้าไม่รู้จริงๆ ขอรับ เขาเป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีครามจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าเขาทะลวงระดับพลังเข้าสู่ขั้นสีม่วงได้อย่างไร” หนิงรุ่ยพูดอย่างจนปัญญา
การมาถึงโดยไม่ได้คาดคิดของเวินซินหัน ทำให้แผนการของพวกเขายุ่งเหยิงไปหมด และมีกู่อิ่งเพียงคนเดียวในกลุ่มของเขาที่มาที่สำนักศึกษาเฟิงหัว คนอื่นๆ ที่อยู่กับกู่อิ่งไม่ได้อยู่แถวนี้ และแค่พลังของกู่อิ่งก็ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริงได้
และนี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ฟ่านจิ่นยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้
แค่ผู้มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงที่แท้จริงคนเดียว ก็บังคับให้หนิงรุ่ยกับกู่อิ่งต้องทบทวนสถานการณ์ทั้งหมดกันใหม่
“คิดวิธีที่จะทำให้เขาจากไปสิ” กู่อิ่งพูดอย่างหงุดหงิด
หนิงรุ่ยตอบไปว่า “ข้าให้คนไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เวินซินหันมีหลานคนหนึ่งที่กำลังป่วยด้วยโรคร้ายแรงถึงชีวิต เขาเคยทำงานให้สำนักชิงอวิ๋นเพื่อเป็นการช่วยชีวิตหลานของเขา ตอนนี้สำนักชิงอวิ๋นหายไปแล้ว เหลือเพียงมู่เฉินแห่งยอดเขาเทียมเมฆา ข้าให้คนออกไปค้นหาตัวมู่เฉิน เมื่อเราพบตัวเขา เราก็จะบอกข่าวนั้นให้เวินซินหันรู้ เขาจะต้องคิดถึงชีวิตของหลานตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกแน่ และจะไปจากสำนักศึกษาเฟิงหัวเพื่อไปหามู่เฉิน”
กู่อิ่งพยักหน้าและพูดเสียงเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันเร็วๆ หน่อยเถอะ”
“ขอรับๆ” หนิงรุ่ยรีบตอบ
กู่อิ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไป และเมื่อไปถึงประตูเขาก็หยุดกะทันหัน เขาหันหน้ากลับมามองหนิงรุ่ยและถามยิ้มๆ ว่า “เก้าอี้ที่มีคนตายตัวนั้น เจ้าไม่คิดว่ามันนั่งสบายมากไปหน่อยหรือ”
หนิงรุ่ยตัวแข็งทื่อ ขณะที่กู่อิ่งจากไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ตอนที่ 694 เมฆหมอกแห่งลางร้าย (1)
เรือนพักหลังเล็กในลานป่าไผ่มีคนเข้ามาอยู่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้คนที่อาศัยอยู่กับจวินอู๋เสียไม่ใช่ฟ่านจัว แต่เป็นกู่อิ่ง ไม่รู้ว่ากู่อิ่งใช้วิธีการอะไรจึงสามารถทำให้อาจิ้งที่เป็นบ้าไปแล้วมารับใช้เขาได้ อาหารสามมื้อในทุกๆ วันถูกจัดเตรียมโดยอาจิ้ง และทุกครั้งที่จวินอู๋เสียเห็นอาจิ้ง เขามักจะชำเลืองมองนางอย่างหวาดกลัวแค่ครั้งเดียวแล้วรีบก้มหน้าลงทันที และเมื่อไรก็ตามที่กู่อิ่งปรากฏตัวขึ้น อาจิ้งก็จะเริ่มตัวสั่นอย่างรุนแรง
“ศิษย์พี่กลับมาตั้งสองวันแล้ว ไม่คิดที่จะกลับไปดูที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณหน่อยหรือ” กู่อิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องของจวินอู๋เสียแล้วถามขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
จวินอู๋เสียเมินเขาและเดินออกจากประตูไปเอง นางตรงไปที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ กู่อิ่งเดินตามหลังนางมาอย่างไม่สะทกสะท้าน พวกเขาพบศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวระหว่างทาง และเมื่อศิษย์พวกนั้นเห็นกู่อิ่ง ทุกคนก็รีบผละไปคนละทิศละทางด้วยความหวาดกลัวเหมือนนกเจอแมว ซึ่งได้แค่เรียกเสียงหัวเราะจากกู่อิ่งเท่านั้น
เมื่อพวกเขามาถึงสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ศิษย์ทุกคนข้างในก็พากันก้มศีรษะไม่กล้าเหลือบตาขึ้นมาด้วยซ้ำเมื่อเห็นกู่อิ่ง
ดูจากปฏิกิริยาของศิษย์คนอื่นๆ กู่อิ่งต้องก่อเรื่องในสำนักศึกษาเฟิงหัวเอาไว้มากแน่ ไม่อย่างนั้นทำไมศิษย์ทุกคนในสำนักศึกษาถึงกลัวเขามากขนาดนี้
จวินอู๋เสียนิ่งเงียบมาตลอดทาง และเมื่อนางมาถึงหน้าประตูห้องของกู้หลีเซิง นางก็หันมาพูดกับกู่อิ่งว่า “ข้ามีเรื่องต้องสนทนากับเขาตามลำพัง”
กู่อิ่งเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“เช่นนั้นศิษย์พี่ก็เข้าไปคุยธุระกับเขาให้เสร็จ ข้าจะรออยู่ด้านนอกนี่”
กู่อิ่งไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าจวินอู๋เสียจะไปพบกับกู้หลีเซิงตามลำพัง ทั่วทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัว คนเพียงคนเดียวที่ทำให้กู่อิ่งใส่ใจได้ก็คือเวินซินหัน และเวินซินหันสนใจแต่ชีวิตของฟ่านจิ่นเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจที่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องอื่นๆ ในสำนักศึกษา
ทั้งจวินอู๋เสียกับกู้หลีเซิงเป็นคนที่พวกเขาต้องการให้อยู่ที่นี่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้เขาต้องกังวล
จวินอู๋เสียไม่เห็นว่าการให้ความร่วมมือด้วยดีของกู่อิ่งเป็นเรื่องแปลก จากการเฝ้าสังเกตของนาง นางได้ทำความเข้าใจจิตใจของกู่อิ่งดีแล้ว ในความคิดของกู่อิ่ง นางกับกู้หลีเซิงอาจจะถูกมองว่าเป็นนกที่ติดอยู่ในกรงของพวกเขาแล้วก็เป็นได้
จวินอู๋เสียเคาะประตูห้องทำงานของกู้หลีเซิง มันเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของกู้หลีเซิงจะดังออกมา จวินอู๋เสียผลักประตูให้เปิดออกและปิดประตูให้สนิทหลังจากเข้าไปแล้ว เพื่อแยกพวกเขาออกจากสายตายิ้มๆ ของกู่อิ่ง
“จวินเสีย!” ใบหน้าของกู้หลีเซิงเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนใจ แต่เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสีย ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขารีบลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานและก้าวยาวๆ เข้ามาหาจวินอู๋เสีย
“เจ้ากลับมาทำไม” เสียงของกู้หลีเซิงไม่ดังนักราวกับจงใจลดเสียงลง
“ธุระของข้าเสร็จแล้วก็เลยกลับมา” จวินอู๋เสียตอบ
กู้หลีเซิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เจ้าไม่กลับมาน่าจะดีกว่า สำนักศึกษาเฟิงหัวเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนจะอยู่นานๆ อีกต่อไป เฮ้อ” กู้หลีเซิงถอนหายใจขณะที่ดวงตามองตรงไปยังประตูที่ปิดสนิท สายตาของเขากำลังพูดในสิ่งที่ปากเขาไม่ได้พูดออกมาในตอนที่เขามองมาที่จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียพยักหน้า
กู้หลีเซิงหน้าซีดเผือด
“อย่างที่ข้าคิดไว้เลย เมื่อวานข้าได้ยินว่าจู่ๆ คนผู้นี้ก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่ลานป่าไผ่ ข้าก็คิดอยู่ว่ามันแปลก ตอนนี้เห็นเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าก็รู้สาเหตุแล้ว”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ” จวินอู๋เสียถามเบาๆ
กู้หลีเซิงส่ายหัวพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น “เขามาที่สำนักศึกษาเฟิงหัวเกินครึ่งเดือนแล้ว ตอนแรกก็อ้างว่าเป็นญาติของหนิงรุ่ย ตอนนั้นท่านอาจารย์ใหญ่รู้สึกผิดต่อการตายของหนิงซินมาก หลังจากหนิงรุ่ยมาอ้อนวอนเขาอยู่นาน ในที่สุดอาจารย์ใหญ่ก็ยอมให้คนผู้นี้เข้ามาอยู่ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ นี่อาจารย์ใหญ่เป็นคนบอกข้าด้วยตัวเองเลย ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงจะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่ข้าก็ไม่อยากทำเรื่องยุ่งยากให้อาจารย์ใหญ่ ก็เลยยอมให้เขาเข้าเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ…”