ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร - ตอนที่ 709 เตรียมตอบโต้ (8) ตอนที่ 710 เตรียมตอบโต้ (9)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร
- ตอนที่ 709 เตรียมตอบโต้ (8) ตอนที่ 710 เตรียมตอบโต้ (9)
ตอนที่ 709 เตรียมตอบโต้ (8) / ตอนที่ 710 เตรียมตอบโต้ (9)
ตอนที่ 709 เตรียมตอบโต้ (8)
“เราไม่ควรรู้ถึงการมีอยู่ของสามสามโลก แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณหนูใหญ่จวินได้รักษาอาการป่วยให้หลานชายของข้า ทำให้ความกังวลที่อยู่ในใจข้ามานานหายไปในที่สุด และทำให้ข้าบรรลุพลังขั้นสีม่วงได้อย่างไม่คาดคิด” เวินซินหันพูดอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับถอนใจยาว
กระทั่งตัวเวินซินหันเองก็ยังไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงได้
จวินอู๋เสียไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตหลานชายของเขาเอาไว้ แต่นางยังแก้ปมในใจเขาจนทำให้เขาสามารถไปถึงจุดที่ไม่อาจจินตนาการได้เช่นนั้น
ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่เวินซินหันได้รับพลังวิญญาณขั้นสีม่วง คนลึกลับผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่เขาพักอาศัยอยู่ เวินซินหันอาศัยอยู่ในภูเขาอย่างสันโดษตัดขาดจากโลกภายนอกมานาน เขาไม่เคยกล่าวถึงที่อยู่ของเขาให้ใครฟังมาก่อน แต่บุรุษผู้นั้นยังหาตัวเขาพบได้ ก่อนที่เวินซินหันจะทันได้ถามอะไรเขา บุรุษผู้นั้นก็เข้าโจมตีเขาทันที
ตอนนั้นเวินซินหันเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วง พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เขาคิดว่าเขาจะสามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่คาดว่าหลังจากต่อสู้กันอยู่สามวันสามคืน พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาตัวผู้ชนะได้ จนกระทั่งทั้งสองคนไม่สามารถสู้ต่อไปได้แล้ว พวกเขาจึงหยุดและการต่อสู้ก็จบลง
หลังจากนั้น บุรุษผู้นั้นก็ส่งเทียบเชิญให้เวินซินหันและบอกเขาเรื่องสามสามโลก
ตอนนั้นเองที่เวินซินหันได้รู้ว่าดินแดนที่พวกเขาอยู่ถูกเรียกว่าสามโลกเบื้องล่าง และเหนือขึ้นไปมีสถานที่ที่เรียกว่าสามโลกชั้นกลาง บุรุษลึกลับผู้นั้นอ้างว่าเขามาจากสามโลกชั้นกลาง…จากสถานที่ที่เรียกว่าตำหนักมังกรสวรรค์!
ตามที่บุรุษผู้นั้นพูด มีเพียงคนที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้าไปในสามโลกชั้นกลางได้ ในอดีตที่ผ่านมาทุกคนที่ทำได้ในสามโลกเบื้องล่างจะได้รับเทียบเชิญจากสามโลกชั้นกลาง ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่มีพลังขั้นสีม่วงที่ปรากฏขึ้นในสามโลกเบื้องล่างในอดีตถึงได้หายตัวไป อายุของเทียบเชิญนั้นมีผลอยู่ได้หนึ่งปี
ภายในหนึ่งปี ถ้าเวินซินหันตกลง เขาสามารถแจ้งพวกเขาได้ด้วยการเขียนจดหมาย และจากนั้นพวกเขาจะจัดการรับเวินซินหันเข้าสู่สามโลกชั้นกลาง
ถ้าเวินซินหันต้องการปฏิเสธ เขาก็ไม่ต้องทำอะไร และข้อเสนอก็จะสิ้นสุดไปเมื่อครบกำหนดหนึ่งปี
ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของสามโลกเบื้องล่าง มีผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่หลังจากได้รับชื่อเสียงที่ไม่มีใครเทียบได้ ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงพวกนั้นก็มักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงคนหรือสองคนเท่านั้นที่ยังคงปรากฏตัวอยู่ในข่าวลือของผู้คน และสุดท้ายจำนวนของผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงในสามโลกเบื้องล่างก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเวินซินหันกลายเป็นคนแรกในรอบร้อยปีที่ได้รับเทียบเชิญจากสามโลกชั้นกลาง
บุรุษที่ส่งเทียบเชิญให้เวินซินหันได้สัญญาว่า ตราบเท่าที่เวินซินหันยอมรับคำเชิญ เขาจะสามารถบรรลุถึงพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ พลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังวิญญาณขั้นสีม่วง
เพื่อที่จะบรรลุถึงพลังวิญญาณขั้นสีม่วง คนผู้นั้นจะต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งชีวิต สัญญาที่จะทำให้พวกเขาได้รับพลังที่มากกว่าที่พวกเขามีอยู่ จึงเป็นสิ่งที่ล่อใจได้มากที่สุดอย่างแท้จริง
“บุรุษผู้นั้นดูเหมือนอายุเพิ่งเข้าเลขสี่มาได้ไม่นาน แต่เขาก็ต่อสู้ได้สูสีกับข้าแล้ว นั่นทำให้ข้าสงสัยว่าคนอายุน้อยเช่นนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้อย่างไร แต่เขากลับบอกข้าว่าไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้น แม้แต่กลุ่มคนรุ่นเยาว์ในสามโลกชั้นกลางก็สามารถทำได้ สำหรับกู่อิ่ง แม้ข้าจะไม่ได้เห็นว่าพลังของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ข้าเคยสังเกตเห็นว่าเขาแอบปล่อยพลังวิญญาณขั้นสีม่วงออกมาครั้งหนึ่ง และคนที่สามารถมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้ตั้งแต่อายุน้อยขนาดนี้ จะต้องมาจากสามโลกชั้นกลางอย่างแน่นอน” เวินซินหันถอนใจขณะที่พูด เขาไม่ต้องการเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในสำนักศึกษาเฟิงหัว เพราะมีคนจากสามโลกชั้นกลางมาเกี่ยวข้องด้วย เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนพวกนั้น
“คุณหนูใหญ่จวิน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ละก็ อย่าไปมีเรื่องกับคนจากสามโลกชั้นกลางจะดีที่สุดนะ” เวินซินหันกล่าวเตือนจวินอู๋เสียอย่างจริงใจ การได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสามโลกชั้นกลาง ทำให้เวินซินหันที่แม้ว่าจะเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงแล้ว ก็ยังไม่กล้าทำตัวมั่นใจมากเกินไป
ตอนที่ 710 เตรียมตอบโต้ (9)
“แล้วถ้าข้าต้องมีเรื่องกับพวกเขาล่ะ” จวินอู๋เสียมองเวินซินหันด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมาก
เวินซินหันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าจะไม่กลับคำพูดของข้าแน่”
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเวินซินหันแสดงความมุ่งมั่นของเขาออกมา
“ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านไปปะทะกับกู่อิ่ง แต่ต้องการให้ท่านคอยดูแลฟ่านจิ่นในช่วงนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วท่านก็จะบรรลุสัญญาที่ได้ให้ไว้กับข้า” ตอนที่จวินอู๋เสียพูดว่าจะใช้ชีวิตของเวินซินหัน นางหมายความว่าจะให้เขาคอยปกป้องฟ่านจิ่นด้วยชีวิตของเขา
เวินซินหันแสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาพูดว่า “คุณหนูใหญ่จวินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ฟ่านจิ่นเป็นบุตรชายของสหายเก่าข้า ต่อให้คุณหนูใหญ่จวินไม่พูด ข้าก็ต้องปกป้องฟ่านจิ่นอยู่ดี”
จวินอู๋เสียส่ายหัว
“ข้าต้องการให้ท่านพาเขาออกมาจากที่คุมขังในทันที”
การที่ฟ่านจิ่นถูกขังอยู่ที่นั่น ต่อให้ปกป้องชีวิตของเขาไว้ได้ แต่เขาก็ยังคงอยู่ภายใต้ความทรมานที่ไม่อาจบรรยายได้ ในเมื่อนางกลับมาแล้ว นางก็ไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้!
เวินซินหันเงียบไปครู่หนึ่ง
“ท่านแน่ใจหรือ”
จวินอู๋เสียพยักหน้าเป็นการยืนยัน
เวินซินหันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตกลง ข้าจะพาเขาออกไปจากที่นี่วันนี้ แต่ท่านต้องรู้ว่าถ้าเขาหนีไปในวันนี้ ฟ่านจิ่นจะถูกบังคับให้ยอมรับว่าสังหารบิดาของตัวเองนะ” ไม่ใช่ว่าเวินซินหันไม่อยากพาฟ่านจิ่นหนีออกจากที่คุมขัง แต่ถ้าเขาหนีไป เขาจะไม่มีวันลบล้างข้อกล่าวหาทุกอย่างได้ ฟ่านจิ่นจะต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ชื่อของเขาจะถูกประณามสาปแช่ง เขาเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงและมีคุณธรรม ถ้าต้องแบกรับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อและใช้ชีวิตด้วยความอัปยศต้องคอยหลบซ่อนตัว มันจะเป็นความอัปยศอดสูและไม่ยุติธรรมต่อชื่อเสียงของสกุลฟ่าน
ดังนั้น เวินซินหันจึงอยากหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฟ่านจิ่น
จวินอู๋เสียมองสบตาเวินซินหันและพูดว่า “ข้าจะล้างมลทินให้เขาเอง”
ถ้านางจะลงมือทำ นางย่อมมองเห็นหนทางไปจนสุดปลายทางแล้ว และจะไม่เหลือที่ว่างให้กับความเสียใจใดๆ ทั้งสิ้น
“ตกลง” เวินซินหันวางความไว้ใจของเขาทั้งหมดให้แก่จวินอู๋เสีย และไม่เอ่ยปากถามนางอีก
จากนั้นจวินอู๋เสียก็บอกให้เวินซินหันพาฟ่านจิ่นไปที่ตำบลชานหลินหลังพาหนีสำเร็จ
เมื่อจบเรื่องที่ต้องการพูดแล้ว จวินอู๋เสียก็จากไปในทันที พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันสั้นๆ แต่เริ่มต้นด้วยความตั้งใจ เมื่อจวินอู๋เสียออกจากห้องทำงาน กู่อิ่งยังคงรออยู่ด้านนอกประตู เขามองมาที่นางพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า จวินอู๋เสียเดินจากไปโดยไม่ตอบสนองอะไรเขาเลยสักนิด และกู่อิ่งก็เดินตามหลังนางไป
หลังจากกู่อิ่งกับจวินอู๋เสียจากไปแล้ว กู้หลีเซิงก็ขอบคุณเวินซินหันอีกครั้ง ถึงเขาจะอยากช่วยฟ่านจิ่น แต่เขาไม่มีพลังอำนาจเพียงพอ แต่เมื่อจวินอู๋เสียสามารถทำให้เวินซินหันยื่นมือช่วยเหลือได้ มันก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป
“จากนี้ไปพวกเราต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสเวินให้ช่วยดูแลฟ่านจิ่นด้วยนะขอรับ” กู้หลีเซิงขอร้องอย่างจริงใจ
เวินซินหันพยักหน้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ทันใดนั้นกู้หลีเซิงก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางห้องที่ว่างเปล่า ร่างของเขายังคงเครียดเกร็ง จวินอู๋เสียไม่ได้บอกอะไรมากนักนอกจากขอให้เวินซินหันพาฟ่านจิ่นหนีไปจากที่นี่ แต่กู้หลีเซิงรู้ว่าจวินอู๋เสียต้องมีแผนการตอบโต้ที่น่าเหลือเชื่อซ่อนไว้อย่างแน่นอน โลหิตในกายของเขาเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น เขากำหมัดแน่นพร้อมกับคาดหวังให้วันนั้นมาถึงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เย็นวันนั้น ขณะที่กู่อิ่งกับจวินอู๋เสียกำลังทานอาหารเย็นกันอยู่ กงเฉิงเหล่ยก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับศพ
“คุณชายกู่! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” กงเฉิงเหล่ยมองไปที่จวินอู๋เสียที่นั่งอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็หันไปมองกู่อิ่งอย่างร้อนใจ
“หือ เกิดอะไรขึ้น” กู่อิ่งถามช้าๆ พลางมองไปที่กงเฉิงเหล่ย ตั้งแต่ที่กินข้าวกันเมื่อวาน จวินอู๋เสียก็ไม่ยอมไปกินข้าวกับหนิงรุ่ยอีก กู่อิ่งก็ไม่ได้ว่าอะไรหลังจากเห็นแล้วว่าจวินอู๋เสียไม่มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่น้อยที่เห็นฟ่านจิ่นตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนั้น เขาหมดความสนใจที่จะใช้วิธีนั้นยั่วยุจวินอู๋เสียอีกต่อไป