ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 1 ตกใจแทบตาย
หลังจากที่ที่ปรึกษามหาวิทยาลัยนามว่าซ่งฝูหลิง ตื่นขึ้นมาในห้องที่มีกลิ่นอายโบราณ นางมองไปยังห้องที่ถูกรื้อค้น ได้แต่ขดตัวแล้วยกมือก่ายหน้าผาก นางขดตัวอยู่ในท่านั้นเป็นเวลาห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตั้งสติได้
สิ่งที่มั่นใจคือ นางทะลุมิติมาเสียแล้ว น่าจะทะลุมายังตระกูลที่มั่งคั่งในยุคสมัยหนึ่ง
เนื่องจากไม่มีความทรงจำหลงเหลืออยู่เลย จึงได้แค่เดาว่าเมื่อคืนอาจมีหัวขโมยบุกรุกเข้ามาในห้องทำให้ทุกอย่างเละเทะไปหมด ซ้ำยังใช้กลเม็ดบางอย่างทำให้นางสลบไป จนกระทั่งตอนนี้แขนขาทั้งสองข้างยังคงอ่อนแรงและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ นางรู้สึกพล่าเลือน ไม่ชัดเจน
แต่สิ่งที่ไม่มั่นใจคือ นางจะต้องตายด้วยวิธีไหน ถึงจะสามารถย้อนกลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ได้
เหตุที่ทะลุมิติมาก็เพราะนางถูกไฟดูดระหว่างทำความสะอาดเครื่องทำน้ำอุ่นในช่วงสิ้นปี แต่ที่นี่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟนี่นา แค่คิดจะสัมผัสมันเพื่อย้อนกลับไปยังไม่ได้เลย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของซ่งฝูหลิงก็รู้สึกถูกบีบแน่นจนเจ็บปวด
นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยว่า ถ้าพ่อแม่ต้องมาเสียลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างนางไป พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือไม่ เกรงว่าคงจะโอบกอดร่างที่ถูกไฟดูดจนไร้ชีวิตของนางไว้ แล้วอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญเพื่อตามนางไปให้ได้ เอ่อ ช้าก่อน หากตายอีกรอบ บางทีอาจจะมีโอกาสเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ซ่งฝูหลิงนั่งตัวตรง ในที่สุดนางก็วางมือที่ก่ายหน้าผากลง ดวงตาแวววาวกลมโตคู่นั้นเบิกกว้างจนกลมดิก และในขณะนั้นเอง ราวกับมีบางอย่างตอบสนองต่อความวิตกกังวลของนาง เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากด้านนอกของประตู
เฉียนเพ่ยอิงผลักประตูห้องให้เปิดออกอย่างตะลีตะลาน นางยืนอยู่หน้าประตูด้วยร่างกายที่ยังคงโซเซ
เมื่อดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เฉียนเพ่ยอิงจ้องมองไปยังหญิงสาวผอมบางที่อยู่บนเตียงตรงหน้าตนด้วยความงุนงง นางมองไปยังใบหน้าที่คล้ายคลึงประมาณแปดในเก้าส่วนกับลูกสาวของตนตอนที่มีอายุประมาณสิบขวบ หัวใจของนางเต้นอย่างรุนแรง ราวกับตามหาเสียงของตัวเองไม่เจออย่างไรอย่างนั้น จึงทำได้เพียงอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก
คนที่ทำลายความเงียบคือซ่งฝูหลิงที่ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำตาอุ่นๆ นางบีบเนื้อบริเวณต้นขาจนแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แล้วส่งเสียงเรียกด้วยความรักว่า “แม่” ในใจนางคิดหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ถ้าหากไม่ใช่ ก็จะอ้างว่าเป็นฝันร้าย
เสียงที่เรียกว่าแม่นั้น ทำให้น้ำตาเฉียนเพ่ยอิงไหลพรากราวกับห่าฝน
ใช่แล้วล่ะ ใช่แล้ว ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกสาวอายุยี่สิบกว่า ถึงเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนที่อายุแค่สิบกว่าขวบได้ แต่ก็มั่นใจว่านางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตนอย่างแน่นอน
เฉียนเพ่ยอิงร่ำไห้จนยืดตัวตรงไม่ไหว “ลูกทำให้แม่ตกใจแทบตาย แม่ตกใจแทบจะตายอยู่แล้วนะฝูหลิง แม่คิดว่าจะไม่ได้พบลูกอีกแล้ว คิดว่าจะไม่ได้พบแล้วเสียอีก”
ถึงตอนนี้ ในที่สุดแม่ลูกก็ได้พบกันเสียที เป็นฉากที่ลุกลี้ลุนลนอย่างมาก เป็นฉากที่กอดกันร่ำไห้ เป็นการพูดเพ้อเจ้อที่ต่างฝ่ายต่างถูไถร่างกายของกันและกันไปมาในสภาพที่ร้อนรน
เฉียนเพ่ยอิงลูบไล้ใบหน้าลูกสาวไปมาไม่หยุด “ทำไมลูกถึงได้ซูบผอมขนาดนี้ ลูกอายุเท่าไหร่แล้ว ขาที่เรียวยาวกับรูปร่างที่สูงใหญ่ก็เสียเปล่าไปแล้วสิ พวกเรามาเกิดใหม่ในร่างของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ”
“แม่คะ ท่านเองก็ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่เหมือนกันเหรอ แย่แล้วๆ พวกเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ลูกเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่เหมือนกัน พอลืมตามาก็เป็นแบบนี้แล้ว ว่าแต่แม่เถอะ เหมือนว่าท่านจะดูอ่อนวัยกว่าเดิม เหมือนแม่เมื่อก่อนเลยค่ะ เพียงแต่สีผิวแลดูเหลืองไปนิด เหมือนสุขภาพไม่ค่อยดีเท่านั้นเองค่ะ”
“เวรกรรมจริงๆ ชาติที่แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีนี่นา ลูกว่าไหม แล้วทำไมถึงถูกไฟดูดทะลุมิติมายังยุคโบราณได้ล่ะ ที่นี่คือยุคโบราณใช่ไหม นี่ลูกรัก ลูกคงไม่รู้สินะ ตอนที่ลูกถูกไฟดูดแล้วตกลงมาจากบันได อกแม่แทบแตก ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว ในหัวตื้อไปหมด รู้แค่ว่าต้องพุ่งไปจับตัวลูกไว้ พอตอนนี้มานึกย้อนดูแล้ว โชคดีที่กอดลูกไว้ทัน ถ้าไม่อย่างนั้น ขืนลูกมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วจะทำยังไงล่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซ่งฝูหลิงก็รู้สึกตื่นเต้นและเดือดดาลอย่างมาก นางจะต้องคิดบัญชีให้ได้ จะต้องทำให้ได้
ก็คงมีแค่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าหลังจากได้สติแล้วนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่อีกก็หวาดกลัวแทบแย่
“แม่รู้ด้วยเหรอคะ แม่คะ เมื่อกี้ลูกรู้สึกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว…
…ก็อย่างว่าล่ะนะ ขอถามหน่อยเถอะว่า ทำไมต้องทำความสะอาดช่วงสิ้นปีด้วย ทำไมต้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมขนาดนั้นด้วย มีแขกคนไหนเข้ามาในบ้านแล้วจะมองลึกเข้าไปในซอกหลืบพวกนั้นด้วยเหรอ ถ้ามีละก็ เขาคงต้องป่วยแน่ๆ…
…แค่ลูกนั่งเล่นโทรศัพท์ประเดี๋ยวเดียวแม่ก็หาว่าลูกขี้เกียจ หาว่าลูกปิดเทอมแล้วไม่ช่วยแม่ทำงานบ้าน บ่นว่าลูกไม่เชื่อฟังเหมือนลูกสาวของเพื่อนร่วมงานแม่…
…ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ทั้งเช็ดกระจก เช็ดผนัง เช็ดเพดานห้องน้ำ เช็ดด้านหลังเครื่องทำน้ำอุ่น เช็ดไปเถอะ เช็ดจนลูกถูกไฟดูด จนเราทะลุมิติมายังยุคโบราณแล้ว ลูกสงสัยว่าร่างในยุคปัจจุบันของพวกเราคงจะไหม้เกรียมเป็นถ่านไปเสียแล้วล่ะ…
…พ่อก็บอกแล้วนี่คะ ถ้าจะทำความสะอาด เราก็จ้างให้แม่บ้านมาทำสักสองคน ท่านมีเงินเหลือเฟือที่จะจ้างคน ไม่เห็นต้องให้แม่ทรมานลูก ลูกอยากพักผ่อนสบายๆ ในช่วงวันหยุดฤดูหนาว แถมพ่อยัง… แม่คะ แล้วพ่อล่ะคะ”
หลังจากที่เฉียนเพ่ยอิงตื่นมา จิตใจก็ตกอยู่ในสภาพที่เจ็บปวดเจียนตายมาตลอด รู้สึกเวียนหัวตาลายไปหมด แต่เวลานี้ เมื่อได้ยินลูกสาวเอ่ยถามถึงเหล่าซ่งขึ้นมา นางถึงนึกขึ้นมาได้ นั่นสินะ ไม่สำคัญว่าตัวบุคคลจะอยู่ในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน หรือจะไหม้เกรียมเป็นถ่านแล้วนางก็ไม่สนใจ แต่สิ่งสำคัญคือสมาชิกครอบครัวทั้งสามคนจะต้องอยู่ด้วยกัน เมื่อเจอตัวลูกสาวแล้ว แล้วไหนพ่อของลูกล่ะ
สองแม่ลูกจ้องหน้ากันด้วยความหวาดกลัว วิญญาณพลันกลับเข้าร่างอย่างสมบูรณ์
เฉียนเพ่ยอิงเหมือนกำลังโน้มน้าวใจตัวเอง น้ำเสียงหนักแน่นผิดปกติ มีเพียงแต่มือที่สั่นเท่านั้นเอง
“พ่อของลูกจะต้องตามมาอย่างแน่นอน อย่ากลัวไปเลย เขาไม่ตามมาไม่ได้หรอกนะ ถ้าแม่ไม่มาพบลูกเสียก่อนก็คงช่วยไม่ได้ แต่ก่อนที่ลูกจะตกลงมา เหมือนว่าแม่จะได้ยินเสียงพ่อเปิดประตูแล้วล่ะ อีกอย่าง พ่อลงไปเอาน้ำมันราคาพิเศษที่แม่สั่งจองไว้ ได้ของแล้วก็จะกลับขึ้นมา ลูกคิดดูสิ แค่ขึ้น-ลงลิฟท์จะใช้เวลานานแค่ไหนกันเชียว รับรองว่าไม่เกินสองนาทีก็คงกลับมา เขาจะต้องถูกดูดตามพวกเรามาแน่นอน”
“ใช่ค่ะ ใช่ เป็นอย่างว่าล่ะค่ะ แม่วิเคราะห์ได้มีเหตุผลมากๆ ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปตามหากันเถอะ” ซ่งฝูหลิงพยักหน้าหงึกๆ
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ในใจพวกนางต่างก็รู้ดี เรื่องใดๆ ก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้ากรณีที่ไม่ได้ถูกดูดมาด้วยล่ะ ถ้ากรณีที่พ่อดันกลายเป็นพ่อหรือเหล่าซ่งในยุคโบราณเสียล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะเหมือนท้องฟ้าใกล้ถล่มอย่างแน่นอน
“มีใครอยู่ไหม มีใครอยู่หรือเปล่าคะ” เฉียนเพ่ยอิงบีบมือลูกสาวเพื่อให้กำลังใจตัวเองแล้วตะโกนลั่นลานโล่ง
ส่วนซ่งฝูหลิงใช้ความคิดครู่หนึ่ง เธอไม่สนว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน แค่เรียกท่านพ่อก็คงไม่ผิด
เธอตะโกนไปในอากาศด้วยความไม่แน่ใจนักว่า “ท่านพ่อคะ ท่านพ่อ”
สิ่งที่ตอบพวกเธอกลับมามีเพียงอากาศบริสุทธิ์
…
จากท้องฟ้าสีเทาแปรเปลี่ยนไปเป็นท้องฟ้าสีครามเข้ม กระทั่งควันทำอาหารในครัวของบ้านเรือนใกล้เคียง ก็ลอยขึ้นแล้วถูกพัดไปตามสายลม สองแม่ลูกค้นหาไปทั่วทุกห้องหับแล้ว กระทั่งวิ่งไปตามหาตามถนนรอบหนึ่งก็แล้ว แต่ก็ยังไม่พบผู้คนของบ้านหลังนี้ และไม่พบคุณพ่อซ่งด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สองแม่ลูกเริ่มเคร่งขรึมจนผิดปกติ จิตใจค่อยๆ ตกลงอย่างยับยั้งไว้ไม่ไหว หลังจากนั้นเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามที่แม่ลูกทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว แต่ภายในใจพวกนางกลับมีคำตอบที่เหมือนกัน
ซ่งฝูหลิงก้มหน้าลง ในใจพลางคิดว่า ถ้าหากพ่อไม่ได้ตามมาด้วยละก็ ไม่ว่าภายภาคหน้าจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน ไม่ว่าจะไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อสักเพียงใด แต่ก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ อยู่เพื่อแม่ของตน
เฉียนเพ่ยอิงกัดฟันกรามแน่น ในใจคิดว่า ในสถานการณ์ที่จำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าในเรือนหลังนี้มีใครอยู่บ้าง และไม่รู้แม้กระทั่งว่าอยู่ในราชวงศ์ใด ถ้าหากว่าไม่มีเหล่าซ่งแล้ว นางก็จะต้องเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวให้กับลูกสาว นางจะต้องเข้มแข็ง จะต้องยืนอยู่หน้าลูกสาวและรับมือกับทุกสิ่งให้ได้
ในขณะที่เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ ก่อนที่แม่ลูกทั้งสองจะสิ้นหวัง ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าที่เอ้อระเหยลอยชายดังมาจากด้านนอกของประตู
มีคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู บานประตูถูกผลักให้เปิดออกจากด้านนอก สิ่งที่สะท้อนเข้าดวงตาทั้งสองแม่ลูกคือชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียว บนศีรษะโพกไว้ด้วยผ้าพันคอ