ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 101 / ตอนที่ 102
ตอนที่ 101
คนพวกนี้ไม่เคยขาดไฟ กองไฟถูกสุมเอาไว้หลายกอง มองไกลๆ ไม่รู้ อาจคิดว่าไฟไหม้พื้นที่แห่งนี้
เพราะไม่สามารถใช้น้ำล้างเลือดที่ติดอยู่ตรงเนื้อได้ จึงทำได้เพียงแต่นำไปย่าง
อย่าพูดเลย อาจเป็นเพราะไม่ได้กินเนื้อมาตั้งนาน ถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นหอมมาก
ถ้าทุกคนไม่ได้สวมหมวกครอบหัวที่มีรูตรงตา สวมเสื้อผ้าขาดๆ และสวมเสื้อคลุมด้วยรูปลักษณ์อันแปลกตามองดูคงเหมือนกลุ่มขอทานในตอนนี้ มันก็คงจะไม่แตกต่างอะไรจากการจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกลางแจ้ง
เฉียนเพ่ยอิงนับถือลูกสาวของนางจริงๆ มือเล็กนั้นว่องไวมาก เหมือนกับเคยฝึกการเป็นขโมยมาก่อน
มือเล็กๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ควานหาเกลือ นำเกลือทาลงบนเนื้อ ชิ้นเนื้อต่อไปก็ทำแบบเดียวกัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ทาก็สามารถกะปริมาณได้ไม่แตกต่างกันมาก
แต่สิ่งที่ทำให้นางนับถือมากที่สุดก็คือ ลูกสาวของนางสามารถพูดไปได้เรื่อยๆ ไม่หยุดปาก
ซ่งฝูหลิงทาเกลือบนเนื้อไปก็พูดไปด้วย
“คนพวกนี้นี่จริงๆ เชียว ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร…
…อยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว ยังคิดจะมีลูกอีก น่านับถือเสียจริง…
…ท่านยายกัว ตอนจะเงื้อมือตบ นางก็ไม่ลองคิดดูบ้าง…
…ตลอดการเดินทาง ลูกสะใภ้ของนางกินดื่มไม่ดีและนอนไม่เพียงพอ ร่างกายตนเองสามารถฟื้นตัวได้ภายในหนึ่งหรือสองปีก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังจะหวังให้นางมีหลานอีก ความคิดเหมือนคนโรคจิต…
…ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องกินเนื้อล่อแล้วจะเป็นอะไรแบบนั้น”
เฉียนหมี่โซ่ว “พี่สาว โรคจิตคือโรคอะไรเหรอ?”
“เป็นโรคบ้าชนิดหนึ่ง”
“อ้อ”
ซ่งฝูหลิงพลิกเนื้อไปอีกด้านหนึ่ง เตาปิ้งย่างของบ้านนางมีตะแกรงย่างอยู่ สิ่งนี้ได้เอาออกมาตอนที่เพิ่งทะลุมิติมาถึงยุคโบราณได้ไม่นาน ตอนนั้นที่ยังอยู่บนรถ แม่ของนางยังเอาออกมาย่างฉีจื่อไคว่
ครั้งนี้ยิ่งดีใหญ่ นำออกมาใช้ย่างเนื้อได้
อีกทั้งแม่ของนางโมโหท่านย่าหม่าจนร้องไห้ออกมา ถ้าอยู่ด้วยกันคงเก้อเขินน่าดู ดังนั้นพวกเขาทั้งสี่คนจึงไม่ได้ไปกินร่วมกับคนอื่น การพูดจาก็ไม่ต้องระมัดระวังอะไรมากมาย
“พวกท่านฟังสิ ท่านพ่อ ท่านมองดูสามีของน้ากัว เขาได้แต่หดหัวไม่ยอมออกมาปกป้องนาง ปล่อยให้แม่ของเขาด่าภรรยาของตนเอง…
…นี่ก็เลยครึ่งวันมาแล้ว หญิงชราคนนั้นยังไม่ยอมหยุดอีก ยังจะกรีดหน้าลูกสะใภ้ นางช่างร้ายกาจจริงๆ…
…เชอะ มีแต่เรื่องจู้จี้จุกจิกมากมาย นี่ก็กินไม่ได้ นั่นก็ใช้ไม่ได้…
…เมื่อก่อน ขนาดข้าที่ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน ยังออกนอกบ้านได้เลย ท่านพ่อยังไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน กลับบอกว่าเดินสองก้าวก็ปวดขาแล้ว…
…ท่านแม่ก็อนามัยมาก อย่าว่าแต่น้ำในลำธารเลย แม้แต่น้ำดิบก็ไม่ยอมให้ดื่ม…
…แม้แต่หมี่โซ่วของพวกเราก็ยังต้องมีข้ารับใช้คอยเดินตาม ถ้าไม่พาข้ารับใช้ไปด้วยก็ไม่ให้ออกจากเรือน”
เขาฟังคำพูดสุดท้าย เข้าใจและเห็นด้วย มันเป็นเรื่องจริง เฉียนหมี่โซ่วพยักหน้ายอมรับ “ใช่”
สามคน “…”
เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกว่าท่านลุงดูเหมือนจะไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้
ครั้งนี้เขาไม่ตอบว่า ‘ใช่’ แล้ว แต่พูดเน้นเสียงออกมา “เมื่อก่อนข้ามีคนรับใช้ชาย”
ซ่งฝูเซิงก็พูดอีก “ตรงหน้าเจ้าก็มีคนรับใช้ชาย”
เฉียนหมี่โซ่วเอียงหัวด้วยความสงสัย “เอ๊ะ?”
“ก็ไม่ใช่ข้าหรอกหรือ”
ซ่งฝูหลิงหลุดหัวเราะออกมา นางค้นพบว่าพ่อของนางชอบแหย่หมี่โซ่วเป็นพิเศษ
“เป็นเพราะคำพูด ดังนั้นคนต้องคอยดูสถานการ์แล้วค่อยตัดสินใจ…
…และยังมีท่านยายกัว ที่คงไม่เคยได้ฟังเรื่องที่ว่า ในล่อตัวผู้หนึ่งพันตัว กับล่อตัวเมียหนึ่งพันตัวล่อ จะมีล่อเพียงคู่หนึ่งเท่านั้นที่สามารถมีลูกได้ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยาก…
…อันดับสี่เจวี๋ยถี อันดับหกม้าฉีจี้ ฟังสิ แม้แต่ม้าฉีจี้ยังอยู่อันดับหลังเจวี๋ยถีเลย…
…ลูกสะใภ้ของนาง ครั้งนี้กินเนื้อล่อลงท้อง บางทีนางอาจจะไม่มีลูก หรือไม่ก็คลอดลูกออกมาเป็นเจ้าคนนายคนก็ได้นะ”
ซ่งฝูเซิงแววตาแฝงด้วยรอยยิ้ม เขาชอบฟังลูกสาวเล่าเรื่องข้างนอก บางทีก็พูดออกมาสองประโยค นั่นแสดงว่า ที่เขาส่งลูกเรียนหนังสือสูงๆ คงไม่สูญเปล่า
เขาฟังไม่เข้าใจจริงๆ แต่เมื่อได้ฟังคำศัพท์พวกนั้นก็ดูเหมือนมีความรู้ ไม่เหมือนเขาที่มีแต่คำศัพท์เพียง ‘ให้ตายเถอะ’ ‘เก่งกาจมาก’ ‘สุดยอด’ ‘แม่เจ้าโว้ย’ ‘เก่งจริง’ แม้แต่คำชมก็ยังมีคำศัพท์อยู่น้อย
เฉียนเพ่ยอิงรำคาญลูกสาวที่มีลีลาคำพูดมากมาย “ถึงพูดเยอะไป เจ้าก็กินเนื้อล่อไม่ได้ เรื่องของครอบครัวอื่นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
“ข้าจะไม่ได้กินได้อย่างไร สักพักข้าจะต้องลองย่างกินสักไม้หนึ่ง เมื่อก่อนไม่เคยได้กิน พวกท่านเป็นพ่อแม่ข้ายังห้ามข้าไม่ได้เลย ข้าจะดูว่าใครกล้ามายุ่งกับข้า ข้าจะกิน ข้าไม่เชื่อเรื่องงมงายพวกนั้นหรอก…”
“พั่งยา?” ต้าหลังตะโกนเรียก “ท่านย่าให้ข้ามาบอกเจ้า เจ้าก็ห้ามกินเนื้อล่อนะ”
“ตกลง พี่ใหญ่ไปบอกท่านย่าด้วยให้วางใจได้ ข้าจะไม่แตะต้องมันเลย”
ซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง เฉียนหมี่โซ่ว “…”
ตอนที่ 102
แม้ว่าซ่งฝูเซิงจะรู้ตัวดีว่าตนเองดูเหมือนเป็นคนที่ไร้การศึกษา แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้ว่า เรื่องกินเนื้อล่อนี้ทำให้ซ่งหลี่เจิ้งให้ความสำคัญกับตัวเขามากขึ้นกว่าเดิม
ซ่งหลี่เจิ้งได้ยินคุณยายกัวยังคงด่าทอลูกสะใภ้ไม่หยุดหย่อน หลายครั้งที่เขาทนฟังไม่ไหวจนอยากจะลุกขึ้นไปจัดการ นี่มันคือการทะเลาะอะไรกัน มีทั้งตบหน้าและให้คุกเข่าลง
ทุกครั้งที่เขาหันไปมองซ่งฝูเซิง คาดหวังว่าเขาจะออกหน้าเพียงแค่ตะโกนออกมาบ้าง แต่ครอบครัวของซ่งฝูเซิงกลับไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขายังคงพูดคุยกันตามปกติ ส่วนฝูเซิงทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงทะเลาะที่ดังมาจากด้านนั้น
ซ่งหลี่เจิ้งครุ่นคิดอย่างละเอียด เขาถึงได้คลายความสงสัย
เขาสังเกตว่าซ่งฝูเซิงพยายามบอกให้ทุกคนสามัคคีปรองดองกัน ดูแลเพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวหนึ่งกับอีกครอบครัวหนึ่ง ฝูเซิงจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องระหว่างครอบครัว หากมีเรื่องกันก็จะให้แยกจากกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องทะเลาะกันภายในครอบครัว ถึงจะตีกันจนหัวแตก เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยและทำเหมือนไม่ได้ยิน
มีคำพูดหนึ่งว่า ขุนนางซื่อสัตย์ ยากจะตัดสินเรื่องในบ้าน[1]
โอ้ว เจ้าดูสิ มิน่าซ่งฝูเซิงถึงเป็นบัณฑิตของแถบหมู่บ้านของพวกเรา นั่นเป็นเพราะเขามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้มาก
มิน่าเล่า คำพูดของเขาถึงใช้ไม่ค่อยได้ผลนักเมื่อเทียบกับคำพูดของซ่งฝูเซิง นอกจากเขามีวัยวุฒิแล้ว เขามักจะเข้าไปตัดสินเรื่องราวในบ้านของผู้อื่น นั่นมันไม่เป็นการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์หรือ
ถ้าสวรรค์ให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง ซ่งหลี่เจิ้งกำลังคิด เขาจะกลับมาดำรงตำแหน่งหลี่เจิ้งคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม จะขวนขวายหาความรู้ไปตลอดชีวิต
ในขณะเดียวกัน คุณย่าหม่าก็ให้ความสำคัญกับซ่งฝูหลิงมากขึ้นกว่าเดิมเพราะเรื่องล่อ
เป็นที่รู้ดีว่าพวกนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก่อน พวกนางเคยสวมหน้ากากหลอกคนด้วยกัน มีการพูดคุยและผลัดเปลี่ยนกันนั่งตลอดทาง มีการแบ่งไข่เค็มกันกินและครั้งนี้ก็ช่วยกันตะโกนเรียกล่อ
ครอบครัวใหญ่มีประมาณยี่สิบกว่าคน นางตะโกนแหกปากกับล่อจนเสียงแหบแห้ง คนพวกนั้นทำเสมือนคนหูหนวกตาบอด มีเพียงหลานสาวคนเล็กของนางเท่านั้นที่วิ่งมาหา
ในสถานการณ์ที่สำคัญ นางคาดหวังอะไรไม่ได้กับคนพวกนั้น มีเพียงหลานสาวคนเล็กของนางที่น่าจะพึ่งพาได้มากที่สุด
ก่อนที่ขบวนจะออกเดินทางอีกครั้ง ท่านย่าหม่าก็ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เรียกซ่งฝูหลิงมาอีกด้านหนึ่ง “กินเนื้อตากแห้งจนคอแห้งล่ะสิ ตอนกลางวันก็ไม่ได้ดื่มน้ำ เจ้าดูนี่สิ ย่าต้มน้ำมาให้เจ้า และยังใส่น้ำส้มสายชูลงไปนิดหน่อย เอาน้ำในไหเล็กนี้เทลงในกระบอกน้ำเล็กของเจ้า อย่าเอะอะส่งเสียงดังไปล่ะ”
โอ้ กระบอกน้ำยังมีน้ำเต็มอยู่ก็บอกใครไม่ได้และยังไม่สามารถเปิดให้ดูได้ เพราะมันมีกลิ่น
ซ่งฝูหลิงเขย่ากระบอกน้ำให้ท่านย่าหม่าฟังเสียงว่าของนางยังมีน้ำอยู่ นางปฏิเสธไม่เอา อีกทั้งโน้มน้าวให้ท่านย่าเอาไปให้พวกพี่ชายและพี่สาวแทน
เจ้าเด็กนี่ไม่เลวเลย ช่างเป็นเด็กที่ใช้ได้เสียจริง
ท่านย่าหม่าก็กำชับอีกครั้ง “อีกสักครู่ต้องออกเดินทาง เจ้าจำให้ดี อยู่ห่างจากวัวที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลัง และอยู่ห่างจากล่อของพวกเราไกลหน่อย เจ้าก็ต้องไปบอกพ่อของเจ้าด้วย”
“ท่านย่า ท่านก็พูดกับพ่อของข้าเองสิ”
“ข้าไม่อยากยุ่งกับเขา ข้ายังต้องสั่งหนิ่วจั่งกุ้ยให้นำกระสอบอาหารวางไว้บนรถ และให้พวกลุงใหญ่ของเจ้าเข็นน้ำ”
“ทำไมถึงต้องอยู่ห่างด้วยนะ?”
ตอนกลางวันทุกคนต่างรีบเดินทาง พวกเขารู้สึกเหมือนโดนพระอาทิตย์แผดเผาจนแห้งเหี่ยว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของตกจากทางบ้านซ่งหลี่เจิ้งที่อยู่หน้าขบวน ตามด้วยสิ่งของหลายอย่างตกระเนระนาดลงมา รวมทั้งตัวของซ่งหลี่เจิ้งเอง เขาตกลงมาทั้งที่อุ้มเหลนชายอยู่
นั่นเพราะวัวของบ้านซ่งหลี่เจิ้งล้มลงโดยที่ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้ามาก่อน ดวงตาปิดลงและไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น
ตอนที่ซ่งฝูเซิงจะเข้าไปถามไถ่อาการของซ่งหลี่เจิ้ง ก็มีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังมาจากบ้านเกาถูฮู่ที่อยู่ในขบวนต่อจากบ้านของเขา “แย่แล้ว”
ช่วงแรกลูกชายคนโตของเกาถูฮู่ไม่ได้สนใจพ่อของเขา เขารีบดันรถเข็นไปข้างทาง เว้นระยะห่างให้ไกลจากพ่อ เพราะเขากลัวว่าเกวียนจะชนน้ำหก
มองเห็นวัวของบ้านเกาสั่นเทาสักพักก่อนที่จะล้มลงไป
เกาถูฮู่เอ่ยด้วยน้ำตา “ซื้อมันมาสิบแปดตำลึง ไม่เหลือแล้ว”
ซ่งฝูหลิงมองบ้านหลี่เจิ้งที่อยู่ด้านหน้าและหันไปมองบ้านเกาที่อยู่ด้านหลัง ก่อนที่นางจะหันมาสบตากับท่านย่าของนาง
บรรยากาศในขบวนดูแย่ลง ทุกคนต่างมีอารมณ์หม่นหมอง
ตอนนี้สัตว์พวกนี้ดูเหมือนจะควบคุมได้ยากแล้ว
วันหนึ่งสัตว์แต่ละตัวต้องกินน้ำหลายลิตร ให้กินน้ำอีกก็ไม่ได้แล้ว แต่ถ้าต้องให้ขบวนหยุดเดินทางเพื่อฆ่ามันก็ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย หากฆ่าพร้อมกันก็คงกินไม่หมด อากาศร้อนก็กลัวเนื้อที่เชือดเน่าเสีย หากจะโยนทิ้งไปก็เสียดายอีก
[1] ขุนนางซื่อสัตย์ยากจะตัดสินเรื่องในบ้าน(清官难断家务事)แม้แต่ขุนนางที่ซื่อสัตย์และเถรตรงก็ยากที่จะแก้ปัญหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งภายในบ้านอย่างเที่ยงธรรมได้ ยิ่งเป็นคนนอกยิ่งยากที่จะตัดสินให้กระจ่าง