ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 13 ข้าเป็นผู้ชายที่ดี
ซ่งฝูเซิงรับรู้ กระแอมไอออกมาหนึ่งทีก่อนเรียกเหล่าหนิว “ลุงหนิว?”
ทำให้เหล่าหนิวถึงกับตกใจ ตวัดแส้ตีลาจนเกือบพลาดไปตีตนเอง เขาหันหน้าไปพร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “ได้โปรดนายท่าน ข้ารับไม่ได้ ท่านเรียกข้าน้อยว่าเหล่าหนิวก็ได้ เมื่อก่อนท่านเรียกข้าว่า หนิวจั่งกุ้ย นั่นก็ถือเป็นการให้เกียรติข้ามากแล้ว”
“ทำไมถึงไม่ได้? พวกเราตอนนี้ต่างตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ใครจะมัวใส่ใจในการเรียกกันเล่า”
“ไม่ได้นะนายท่าน ไม่ว่าเวลาไหนท่านกับคุณหนูก็ยังเป็นเจ้านายของข้าน้อย และท่านอย่าได้เรียกข้าว่าหนิวจั่งกุ้ยอีกเลย โรงเตี๊ยมก็ไม่มีแล้ว เรียกไปก็ไม่เหมาะสม ข้าน้อยขอร้อง ท่านเรียกข้าว่าเหล่าหนิวเถอะ”
“ช่างเถอะ ข้าจะไม่เถียงเจ้ากับเรื่องพวกนี้” ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่กระเป๋าอาดิดาสกับกระเป๋ากันฝน ถามทั้งที่รู้แก่ใจ “เจ้าเคยเห็นของพวกนี้หรือไม่? ด้านในมีหลายแบบนะ เมื่อก่อนพ่อตาข้าคงเคยเอามาให้เจ้าดูแล้วสิ?”
เหล่าหนิวไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เขาตวัดแส้ไป ตวัดเสร็จก็หันมามอง “ไม่นะ พื้นผิวของกระเป๋าสัมภาระเช่นนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“เอ๊ะ ไม่ใช่มั้ง เจ้าจะไม่เคยเห็นได้อย่างไร?”
ซ่งฝูหลิงได้ยินพ่อของนางพูดเช่นนี้ ก็รีบก้มหน้าต่ำลง เกรงว่ายามที่นางเห็นท่านพ่อแสดงละครจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
ซ่งฝูเซิงยังกล่าวด้วยสีหน้ามึนงง “สิ่งของพวกนี้ ตอนท่านพ่อตาข้าไปทำการค้าขายที่ต้าหนานเมี่ยน เขาได้ซื้อสิ่งนี้มาจากคนฟานกั๋ว เจ้าไม่ได้ติดตามไปด้วย?”
“อ๊าห์” เหล่าหนิวถึงนึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าอธิบาย “มิน่าข้าน้อยถึงไม่เคยเห็น ตอนท่านเฉียนไปทำการค้าขายที่ต้าหนานเมี่ยน ข้าน้อยยังไม่ได้ติดตามเขาไป เขาผ่านอานชิ่ง ถึงได้รับเลี้ยงข้าน้อยไว้ ตอนนั้นท่านเฉียนได้เปิดโรงเตี๊ยมตรงถนนกวนเต้า และเข้ามาตัวอำเภอเมืองเพื่อเปิดร้านค้า ข้าน้อยเคยตามเขาไปหนานเมี่ยน แต่ตอนนั้นไปซื้อขายฝ้ายและไม่ได้ไปต้าหนานเมี่ยน”
ซ่งฝูเซิงยังคงทำหน้าสับสน และยังคงถามต่อไป “สิ่งของแปลกประหลาดพวกนี้ หรือว่าจะมีเพียงแค่ชุดเดียว? เน่ยตี้ของข้าละ? เขาก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันใช่ไหม? ท่านพ่อตาคงไม่ได้จะเก็บไว้เป็นพิเศษให้บุตรสาวเพื่อเป็นของขวัญเวลาแต่งงานหรอกนะ?”
เมื่อถามคำถามนี้ออกไป ซ่งฝูหลิงก็อยากจะทำตาถลึงใส่ ทำเรื่องอะไรไร้ประโยชน์ ไม่สมเหตุสมผล
ครานี้เหล่าหนิวรู้สึกว่านายท่านวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ยังทอดถอนหายใจ “ท่านเฉียนรักคุณหนูมาก มีของดีอะไรจะคิดถึงคุณหนูเสมอ ท่านคงคิดเช่นนี้”
พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉียนเพ่ยอิงที่กำลังวุ่นวายผัดโหยวฉาเมี่ยน นางไม่ได้ใส่ใจว่าซ่งฝูเซิงนำของแปลกใหม่อะไรออกมา และไม่มีเวลาสนใจว่าของพวกนี้มาจากไหน
ในสมองของเหล่าหนิวเต็มไปด้วยความคิด เมื่อสักครู่คุณหนูพูดเสียงดังใส่นายท่าน ทำให้เขาถึงกับตกใจ เขากับซื่อจ้วงถึงกับมองตากัน ไม่กล้าแสดงอาการออกมา ณ ตอนนั้นเขาเกือบคิดว่ายังเดินออกไปไม่ถึงสองลี้ก็ต้องแยกทางกันเสียแล้วสิ
แต่ปรากฏว่านายท่านแสดงพฤติกรรมออกมาเกินความคาดหมายของเขา ไม่เพียงแต่ไม่โมโหด่าทอคุณหนู เขายังปลอบใจอีก
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ไม่พูดถึงนายท่านที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปเร็ว ก็พูดถึงคุณหนู เมื่อก่อนกล้าทำที่ไหน
เมื่อก่อน หลังจากคุณหนูคลอดคุณหนูน้อยแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรง ไม่สามารถมีลูกได้อีก กลัวว่านายท่านจะแต่งหญิงอื่นเข้ามาอีก นางจึงนำรายได้ของร้านทั้งหมดมอบให้นายท่านเก็บไว้ คาดว่าตั้งแต่นั้นมา เงินเก็บไว้ที่บ้านตรงไหน คุณหนูยังไม่รู้ดีเท่ากับหัวขโมยเลย
และเพราะอะไร เขาเป็นจั่งกุ้ย สองสามปีที่ผ่านมานี้ถึงมาที่เรือนนี้น้อยครั้ง? เพราะเกรงว่ามาบ่อยครั้งเกินไป จะเป็นการย้ำเตือนนายท่านว่า นี่เป็นเงินของขวัญแต่งงาน
ท่านเฉียนยิ่งกว่า เพราะอะไรเขาถึงไม่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าคอยให้เงินช่วยแต่งงานของบุตรสาวตลอด? เขาเข้าใจดี เกรงว่าคนนอกจะเรียกนายท่านว่า ‘เขยที่แต่งเข้าบ้านเมีย’ กลัวว่าเขาจะเสียหน้าแล้วพาลโมโหใส่คุณหนู
นอกจากนี้ หลายปีที่ผ่านมานายท่านยังมอบที่นาอันอุดมสมบูรณ์ให้กับบ้านสกุลซ่งมาตลอด ซึ่งใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก นายท่านกับคุณหนูต่างรู้ดี
เหล่าหนิวยังจดจำได้จนถึงวันนี้ ปีที่แล้วเขาไปเมืองหลวงเพื่อพบท่านเฉียน ท่านเฉียนสอบถามเรื่องราวระหว่างคุณหนูกับนายท่านแล้วก็ว่าเขา ว่าเขาไม่พูดความจริง
แท้จริงแล้วเข้าใจเขาผิด เพราะคุณหนูไม่พูดความจริงกับเขา ยิ่งไม่ฟ้อง ต่างคนต่างยินยอมกัน เขาจะรู้สถานการณ์ได้อย่างไร
หลังจากนั้นท่านเฉียนก็ด่าว่านายท่านว่าไม่ใช่คน พูดว่า
“ซ่งฝูเซิงนั้นเห็นข้าไม่อยู่อำเภอ ย้ายไปอยู่ไกลก็พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้ว? คงคิดว่าข้าไม่มีเวลาว่างกลับไปจัดการมัน?…
…คำพูดพวกนั้นก็เหมือนกับผายลม แม่อยู่บ้านเกิด สวมเสื้อผ้าเก่าขาดตัดปะ ลูกสาวกับหลานสาวข้าก็ไม่สามารถสวมใส่ผ้าแพรได้ ใส่ไปก็ทิ่มแทงใจเขา…
…ข้าอยากจะถามมันนัก แม่กินแค่ข้าวต้ม มันกตัญญู มันอยากเป็นลูกกตัญญู ทำไมมันยังมีหน้ากินข้าวจนอิ่ม? ทำไมไม่ปล่อยให้ตนเองหิวตายด้วย?…
…แม่ของเขากินอยู่ไม่ดี นั่นเป็นเพราะพี่น้องไร้ความสามารถ แต่มันเกี่ยวอะไรกับลูกสาวของข้าที่กินดีอยู่ดี? ลูกสาวของข้าใช้เงินของสกุลเฉียน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับของสกุลซ่งเลย…
…ข้าคงตาบอดไป ถงเซิงมีประโยชน์อะไร หลักการของความเป็นคนยังไม่เข้าใจ”
ย้อนความหลังมาถึงตรงนี้ ตอนนี้เหล่าหนิวอยากจะวิ่งไปบอกกล่าวกับหลุมฝังศพของท่านเฉียน
ท่านเฉียน ท่านคงวางใจได้แล้ว ท่านดูคนไว้ไม่ผิด
ไม่ต้องดูอย่างอื่น แค่ดูตอนที่คุณหนูตะโกนใส่นายท่านอย่างเต็มที่ว่า “ปิดปากเจ้าซะ”
นายท่านกลับไม่แสดงอารมณ์โมโหเพราะเสียหน้า อีกทั้งยังปลอบโยน พร้อมกับยกนิ้วชี้สาบานต่อฟากฟ้าว่าจะดูแลคุณหนูให้ปลอดภัย
แค่เรื่องนี้เหล่าหนิวก็รู้สึกว่าเขาหาได้ยากมาก และรู้สึกสงสารซ่งฝูเซิงอย่างจับใจ
เพราะคงไม่มีหญิงสาวบ้านไหนที่กล้าจะแสดงอารมณ์ออกมาเช่นนี้กับหัวหน้าครอบครัว? ถึงแม้จะเป็นผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงมาก็ตาม
และดูสิ นายท่านยังช่วยคุณหนูทำอาหาร เขาแก่ขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นผู้ชายบ้านไหนทำกับข้าวมาก่อน
นี่เขาทำเป็นเมื่อไหร่กันนะ? หมาฮวากลิ่นหอมแบบนี้ รีบกลืนน้ำลายแต่ก็ควบคุมท้องไม่ให้ร้องไม่ได้
เฮ้อ จะไม่ยอมแพ้ก็ไม่ได้ มิน่านายท่านถึงสอบได้ถงเซิง ปีนั้นยังได้อันดับต้นๆ สถานการณ์ลำบากถึงเห็นธาตุแท้ ท่านเฉียนสามารถตายอย่างตาหลับได้แล้ว
ซ่งฝูเซิงไม่รู้เลยว่าเหล่าหนิวกำลังคิดอะไรภายในใจมากมายขนาดนี้ หากเขารู้คงบอกกับเหล่าหนิวอย่างภาคภูมิใจ การช่วยภรรยาทำอาหารนั้นไม่เท่าไร รอให้การเดินทางของพรุ่งนี้แน่นอนก่อน เขายังต้องช่วยภรรยาซักเสื้อผ้าอีกนะ
ซ่งฝูเซิงรู้สึกปลื้มใจที่หลอกพวกเขาได้ และภูมิใจที่ตนเองมีพรสวรรค์ด้านการแสดงละครตบตา เขากระตือรือร้นรีบนำหมาฮวาที่ทอดเสร็จกระทะแรกยื่นให้ หน้าตาเต็มไปด้วยเหงื่อ “กินเสีย กินทั้งหมด ไม่ต้องเกรงใจใคร ลี้ภัยมื้อแรกต้องกินให้อิ่ม นี่ถึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี แสดงว่าต่อไปจะไม่อดอยาก”
คนละสองอัน กำลังจะเรียกเฉียนเพ่ยอิงอย่าเพิ่งทำอะไร รีบมากินตอนที่ยังร้อนๆ ก่อน ซ่งฝูเซิงก็ถึงกับชะงัก เพิ่งนึกได้ว่าจะต้องหาเวลาปรึกษาพูดคุยกับเด็กน้อยดีกรีปริญญาโทของเขาก่อน เกี่ยวกับการปฏิบัติเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นว่าจะเรียกแม่ของนางอย่างไรไม่ให้โดนตี
เป็นที่รู้กันดีว่า คนในสมัยโบราณพูดจานอบน้อมถ่อมตน เขายังเป็นคนมีฐานะ ใช่หรือไม่? ถงเซิง อยู่ด้านนอกเรียกภรรยาว่า “เจี้ยนเน่ย”
เขาเชื่อ หากเขาเรียกเฉียนเพ่ยอิงว่า เจี้ยนเน่ย ตอนนี้ภรรยาของเขาที่อยู่ในอาการไร้ความทรงจำ ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนยุคโบราณ คงจะจ้องเขม็งด่าเขาแน่นอน “เจ้านั่นแหละเจี้ยน!”