ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 169
ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงพาผู้ใหญ่มาแค่เกาถูฮู่กับหนิวจั่งกุ้ย
เกาถูฮู่กับหนิวจั่งกุ้ยทั้งสองคนนี้ไม่ต้องพูดอธิบายอะไรมาก คนหนึ่งแต่ก่อนขายเนื้อสัตว์ อีกคนหนึ่งขายเหล้า พวกเขาต่างก็เป็นพ่อค้าทั้งคู่ เวลาคิดบัญชีก็สามารถคิดได้อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย
ส่วนที่เหลือที่เขาพาออกมาก็เป็นพวกชายหนุ่ม
ครั้งนี้พวกเขาเข็นรถมาสิบคันและพาพวกชายหนุ่มออกมาหลายคน ครั้งนี้ต้องซื้อของเยอะเกรงว่าจะมีน้ำหนักมากจนเข็นไปไม่ไหว ถึงได้พาชายหนุ่มพวกนี้มาหลายคนเพื่อช่วยกันขนของ
ตอนนี้ก็มีประโยชน์อย่างหนึ่งซ่งฝูเซิงไปก็ไม่ต้องเข็นรถเองเพราะมีหลายคนช่วยกันเข็นรถ
พวกเขาออกเดินทางกันแต่เช้า ต้องแบกถุงกระสอบข้ามสะพานและยังต้องเข็นรถข้ามไปอีกฝั่ง ตลอดเส้นทางเดินไม่พบเจอผู้คนในหมู่บ้าน คาดว่าน่าจะยังไม่ตื่นนอน
ซ่งฝูเซิงกังวลใจเก้อ เขากลัวคนเหล่านี้จะซื่อตรงเกินไป ถ้าคนในหมู่บ้านเหรินจยาพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาอาจจะหุนหันพลันแล่นได้
ไม่จำเป็นใช่ไหม? ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ฝังความโกรธแค้นไว้ในใจ อย่าทิ้งหลักฐานไว้ให้ผู้อื่นเป็นข้ออ้าง ถ้ามาตำหนิติเตียนเรื่องที่พวกเขาเพิ่งย้ายมาแล้วก็เกาะกลุ่มรวมตัวกัน นี่มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
นอกจากนี้ คนในหมู่บ้านเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก่อนด้วยซ้ำ
ถ้าพูดตามหลักเหตุผล พวกชาวบ้านอาจจะแตกต่างจากหลี่เจิ้งท่านนั้นก็ได้ คนในหมู่บ้านคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบาก ยื่นมือช่วยเหลือถือเป็นความสัมพันธ์อันดี ไม่ยื่นมือช่วยถือเป็นเรื่องปกติ คนประเภทบ่นโอดครวญพูดกับคนอื่นไป นอกจากจะทำให้คนหัวเราะเยาะลับหลังแล้ว จะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรได้อีก?
ดังนั้นซ่งฝูเซิงสั่งกำชับเป็นพิเศษ ถ้าออกจากหมู่บ้านแล้วพบเจอผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นและเข้ามาสนทนากับพวกเรา ก็ควรจะทักทายพวกเขาบ้าง
แต่ระหว่างทางไม่พบเจอใคร
เมื่อข้ามสะพานซ่งฝูเซิงก็เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้สั่งกำชับกับกลุ่มคนที่อยู่บ้าน
เขาคงคิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของเขาแค่ไปตักน้ำ ก็เกือบจะเท้าเอวด่าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ยังดีที่เฉียนเพ่ยอิงเดินถือถังน้ำมาพอดี นางจึงห้ามไว้ทัน
ก็ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไร หลังจากพวกซ่งฝูเซิงเดินไปแล้วเกือบหนึ่งชั่วยาม มีผู้หญิงบางคนถือถังไปซักผ้าบริเวณแม่น้ำ
ในสายตาของพวกท่านย่าหม่าที่ค่อนข้างมีอายุเยอะแล้ว คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจริงๆ แล้วไม่ได้อยากจะมาซักผ้า
เป็นโรคประสาทหรือเปล่า? อากาศตอนเช้าหนาวเย็น น้ำก็เย็นยะเยือก ในน้ำยังมีน้ำแข็งลอยเต็มไปหมด คนพวกนี้ยังมาซักเสื้อผ้ากันหรือ? บ้านของเจ้าไม่มีบ่อน้ำหรือไง? ทำเหมือนกับไม่เคยซักผ้า อากาศเหน็บหนาวขนาดนี้กว่าจะมีแสงแดดก็ถึงตอนเที่ยงแล้ว
ทยอยกันมาหลายคนเพื่อมาดูเหตุการณ์
เจ้าดูสิ บางคนออกมาซักเสื้อผ้ากะละมังกับไม้ตีผ้าก็ไม่ถือมา ยืนทำท่าทางอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จริงๆ แล้วพวกเขาออกมาสังเกตการณ์พวกนางมากกว่า
ในใจค่อนข้างมีอคติ คนในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครมีจิตใจดีสักคน
พวกท่านย่าหม่าถลึงตาใส่พวกเขา ออกแรงตักน้ำด้วยอารมณ์ไม่ดี
ฝ่ายพวกผู้หญิงฝั่งตรงข้ามก็อุทาน โอ้ว พวกเจ้านิสัยโผงผางเหมือนวัว ทำตัวเหมือนกับขอทาน มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่พวกนางไม่สนใจจะอยู่ แต่ละคนที่มาใหม่ยังกล้าถลึงตาใส่พวกข้า อยากจะกบฏหรือไงกัน
แม้มีแม่น้ำขวางกั้น คนพวกนั้นก็ใช้สายตาเป็นอาวุธ แต่ละคนก็ไม่ใช่คนดีนัก ถลึงตาใส่กันไปมา
ดูจากสายตาของคนสองฝั่ง ก็เข้าใจเจตนาที่สื่อออกมาอย่างชัดเจน
เจ้ามองทำไม?
จะมองเจ้า มีไรไหม
มองหาตูดหรือไง
ก็มองตูดนั่นแหละ
เจ้า? พวกเจ้า!
พวกท่านย่าหม่าโมโหมาก
ท่านยายหวังพูด “พวกเราดูสิ ตรงนั้นมีพวกป้าอ้วนกำลังด่าพวกเราฉอดๆ”
เฉียนเพ่ยอิงรีบวางถังน้ำแล้วเข้าไปห้ามปราม “ท่านป้าหวัง ท่านพูดไปเรื่อยเปื่อยหรือเปล่า มีแม่น้ำมาขวางห่างกันขนาดนี้ ท่านยังมองเห็นว่าเขาด่าฉอดๆ”
“ใช่นะ ด่าฉอดๆ ถ้างั้นข้าก็ด่าฉอดๆ เหมือนกัน”
“ไม่ใช่หรอก ข้าว่าพวกเรารีบกลับกันเถอะ พ่อของพั่งยาไม่อยู่ พวกเราทะเลาะไปก็ไม่ชนะ ทั้งหมดหยุดทะเลาะกันดีไหม กลับบ้านกันได้แล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงถือถังน้ำเดินนำหน้าไปก่อน ตอนเดินกลับก็ตะโกนเรียกพวกเด็กๆ “หมี่โซ่ว เรียกพี่ชายพี่สาวกลับกันได้แล้ว ไม่ต้องตักทรายแล้ว มานี่ ป้าจะแบกเจ้าเอง พวกเราประหยัดเรี่ยวแรงหน่อย”
เอ๊ะ! นางลืมไปแล้ว นางเอาของจากพื้นที่พิเศษเอาออกมาไม่ได้ ท้องของหมี่โซ่วร้องจ๊อกๆ เขาถามถึงท่านลุงเมื่อไหร่จะกลับมา? แต่ตอนนี้พวกเหล่าซ่งน่าจะยังเดินทางไม่ถึงเขตตำบลถ้ารออาหารจากพวกเขาขนกลับมาไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไหร่
ท่านย่าหม่าก็หิวเหมือนกัน ในท้องมีแต่น้ำซุป หิวจนท้องแฟบแล้ว ถ้าทะเลาะกันเกรงว่าจะไม่เรี่ยวแรงหายใจ
เมื่อได้ยินลูกสะใภ้สามพูดเช่นนั้น นางจึงเดินตามกลับไป
คนเรานะ ในบ้านต้องมีอาหารล้นเหลือ กินอิ่มนอนหลับถึงจะมีแรงไปทะเลาะกับคนอื่น แค่กินอิ่มแล้วยืนอยู่ตรงนั้นก็ดูมีพลังขึ้นมา
“ไป กลับกันเถอะ”
พวกท่านย่ายายทั้งหลายเดินคอตก บางคนถือถังน้ำ บางคนอุ้มกะละมังพากันเดินกลับบ้าน
ข้างหลังพวกนางแม้จะมีแม่น้ำสายหนึ่งกั้นอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะพูดเหน็บแนมลอยมา บางเสียงวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างก็ฟังไม่ค่อยชัดนัก
ซ่งฝูเซิงรู้ดีว่าคนที่บ้านคงจะหิวมากและร้อนใจ
โดยเฉพาะคนที่ขึ้นภูเขาไปหาฟืน แบกฟืนลงจากภูเขา กินอิ่มก็ไม่แน่ว่าจะสามารถแบกฟืนไหวเพราะดื่มน้ำข้าวต้มกันนิดเดียวเอง
พวกเขาเดินทางโดยไม่มีการหยุดพัก เขากำชับกับต้าหลังคนในครอบครัวของพี่ชายคนโตและเอ้อร์เนียนลูกคนเล็กของครอบครัวซ่งฝูกุ้ยให้พวกเขาสองคนช่วยกันจดจำเส้นทาง
เมื่อถึงเขตตำบล ให้สองคนนี้นำเอาถั่วเมล็ดสนขนออกจากรถเข็นก่อนแล้วค่อยซื้ออาหาร หลังจากนั้นจะให้สองคนนี้พาเด็กหนุ่มสามคนนำอาหารกลับไปส่งให้คนที่บ้านได้กินกันก่อน
ส่งอาหารเสร็จก็ไม่ต้องกลับมาที่เขตตำบลแล้ว ให้หาสถานที่ที่อยู่ใกล้บริเวณบ้านกระท่อมคอยช่วยกันเผาถ่าน
ระหว่างเดินทางซ่งฝูเซิงไม่เพียงแต่ให้เด็กๆ จดจำเส้นทางและยังรีบเดินทาง เขากับลูกสาวของเขาเดินนำคนอื่นไปแล้วหนึ่งร้อยกว่าเมตรแล้ว เพื่อหาเวลาปรึกษากันเล็กน้อย
“เมื่อครู่เจ้าบอกให้จดบัญชีหรือ?”
“ใช่แล้วท่านพ่อ ถ้าไม่จดบัญชีไว้ เวลาหาเงินหรือใช้จ่ายเงินก็จะไม่รู้ที่มาที่ไป มันไม่ใช่แผนระยะยาว”
ซ่งฝูเซิงคิดว่า นางพูดมีเหตุผล
ดูจากตอนนี้ ในกลุ่มคนพวกนี้ที่ลี้ภัยกันตั้งแต่เริ่มแรกที่มีกันเจ็ดครัวเรือน คาดว่าตอนนี้ยังมีเงินเหลืออีกเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นเกาถูฮู่ที่เข็นรถอยู่ข้างหลังไม่ไกลกันนัก เขาน่าจะยังมีเงินติดตัวมาบ้าง
ส่วนคนอย่างซ่งฝูกุ้ยน่าจะไม่เหลือเงินแล้ว
แผนระยะยาวพวกเราคงทำไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถเอาเงินของคนอื่นมาโปะได้ พวกพวกเราต้องบริหารจัดการเหมือนฝ่ายผลิต
“ลูกสาว ช่วยพ่อดูหน่อยว่าถ้าพ่อวางแผนอย่างนี้ได้ไหม ก่อนหน้านั้นพวกเขารวมเงินกันมาสี่สิบกว่าตำลึงวางไว้ก่อน นั่นไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งค่อยมาปรึกษากันทีหลัง พวกเรามาพูดถึงรายได้จากการขายถั่วเมล็ดสนขายกัน สมมุติว่าถ้าขายทั้งหมดได้เงินหนึ่งร้อยตำลึง เงินส่วนนี้ก็ให้เป็นเงินกองกลาง”
“ใช่แล้ว เงินกองกลาง”
“หลังจากนั้นนำเงินหนึ่งร้อยตำลึง สมมุติพวกเราใช้ไปแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็น พวกเราก็กินข้าวหม้อใหญ่ร่วมกัน”
ซ่งฝูหลิงเสริมว่า “ข้าวหม้อใหญ่ ต้องเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่ใช่ใครอยากกินเท่าไหร่ก็กินได้ ถ้ากินอย่างนั้น ไม่นานก็คงถังแตก ต้องเหมือนอย่างพวกเราตอนนี้ ต้องกำหนดปริมาณว่าให้ได้เท่าไหร่ ตอนนี้ข้าเข้าใจท่านย่าแล้วจริงๆ เฮ้อ”
“อืม ใช่ หลังจากนี้ครอบครัวไหนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี อนุญาตให้หลังจากกินข้าวหม้อใหญ่สามารถเปิดเตาทำอาหารกินเองได้ หรือสามารถเปิดเตาทำอาหารเองได้ตามความสมัครใจ”
“ใช่แล้วท่านพ่อ บ้านเราจำเป็นต้องเปิดเตาทำกินเองด้วย มิเช่นนั้นข้าทนไม่ไหว ท่านสามารถบอกกับทุกคนว่า ต่อไปใครทำงานเยอะเท่าไร เมื่อครบตามกำหนดแล้วจะคิดเงินให้กับพวกเขา ครึ่งปีคิดเงินให้ครั้งหนึ่ง หรือช่วงแรกอาจลำบากหน่อย ขาดแคลนเงินก็อาจจะสามเดือนคิดเงินให้ครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขามีเงินมากพออยากจะซื้ออะไรกินหรือจับจ่ายใช้สอยอะไรก็แล้วแต่พวกเขา”
ซ่งฝูเซิงหรี่ตา “พวกเราต้องแบ่งงาน ใครทำตำแหน่งอะไร ควรแบ่งค่าจ้างเท่าไหร่ เรื่องนี้ต้องคิดอย่างละเอียด ยังมีเวลาทำงานนานแล้วทำมากน้อยแค่ไหน มีการแอบอู้งานหรือไม่?”
“ดังนั้นท่านพ่อ ท่านไม่แค่เอาการบริหารจัดการฝ่ายผลิตมาใช้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องนำวิธีการบริหารของบริษัทมาใช้ด้วย นอกจากนี้ทุกสิบวันจะต้องมีการประชุมเพื่อประเมินการทำงานของทุกคน ถ้าคนที่ผลงานไม่ดีให้หักคะแนนการทำงาน ถ้าใครทำผลงานดีหรือมีจิตอาสาก็เพิ่มคะแนนการทำงาน กระตุ้นให้ทุกคนตื่นตัวและภาคภูมิใจเมื่อได้คะแนนการทำงานเต็มสิบ ครอบครัวที่ได้คะแนนเต็มสิบก็จะเป็นครอบครัวที่มีกินมีใช้”
สองพ่อลูกยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ร่วม
พวกเราสองคนก็ต้องวิเคราะห์กันอีก นำคะแนนการทำงานมาแลกเป็นเงิน จะต้องมีแผนงานที่สร้างรายได้ให้กับหุ้นส่วนทุกคน ในขณะที่กำลังทำงานตามแผนงานที่ได้รับ ทุกคนจะต้องไม่หยุดทำงาน สุดท้ายดูผลคะแนนจากการทำงานของทุกคนเพื่อจ่ายส่วนแบ่งรายได้ แต่หลักสำคัญจะต้องมีแผนงานก่อน
ซ่งฝูเซิง ซ่งฝูหลิง เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา
สองพ่อลูกสนทนากันเพลินจนไม่รู้สึกว่าเหนื่อยล้าแต่อย่างใด สักพักพวกเขาก็มาถึงเขตตำบลแล้ว