ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 175
“ท่านพ่อ…นั่นคือ?”
เกาถูฮู่มีสีหน้ากังวลใจเหมือนกัน “ฝูเซิง ข้าได้ยินหูจือบอกว่า…”
ซ่งฝูเซิงโบกมือห้าม ไม่ให้ทุกคนพูดมาก ส่งเสียงโหวกเหวกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ตอนนี้ยังอยู่บนถนน เพิ่งก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมแล้วพูดพร่ำเรื่องเสบียงที่ทางการช่วยเหลือไม่หยุด อาจจะสร้างปัญหาให้กับเถ้าแก่หวังเจ้าของโรงเตี๊ยมได้
“ลูกสาว เจ้าพาพวกเขาไปซื้อข้าวสารก่อน ธัญพืชในร้านขายอาหารแห้งก็ซื้อมาทั้งหมดทำตามเหมือนคราวก่อนนี้ที่พวกเราพูดคุยตกลงกันไว้ แล้วนำขึ้นรถเข็น ซื้อเสร็จให้เดินเลี้ยวไปฝั่งตรงข้ามจะมีร้านขายเกลือ ซื้อเกลือหยาบเก้าสิบกิโล ถ้าเกลือละเอียดแพงมากก็ซื้อมาก่อนห้ากิโล”
หลังจากนั้นเขาก็บอกกับเกาถูฮู่และหนิวจั่งกุ้ย “พวกเจ้าตามไปดูหน่อย เด็กหนุ่มพวกนั้นอายุยังน้อย เรื่องบางเรื่องยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ ไปเถอะ…”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
“มียังมีเรื่องต้องไปจัดการ อีกครู่หนึ่งค่อยไปหาพวกเจ้าที่เชิงสะพาน”
ซ่งฝูเซิงพูดเสร็จ เขาก็นำเงินส่วนใหญ่ที่ซุกในปกเสื้อส่งให้เกาถูฮู่แล้วเดินจากไป
ตอนเด็กหนุ่มทั้งหลายเข็นรถออกไป เถ้าแก่ร้านขายหนังสัตว์ก็ถามขึ้น “น้องชายซ่งล่ะ”
เวลาผ่านไปไม่นาน แผงร้านของซ่งฝูเซิงได้จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว แต่ซ่งฝูเซิงก็กลับมาอีกครั้ง
“เมื่อครู่ข้ายังถามหาเจ้าอยู่เลย ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วซะอีก พวกเจ้าขายหมดไวมาก”
“ใช่แล้ว ยังดีที่ขายหมดเร็ว พวกเราไปซื้อพวกข้าวสารแล้ว ทำไงได้คนแก่และเด็กๆ คอยรอกินข้าวอยู่ที่บ้าน ข้าจะกลับไปเลยได้อย่างไร? ยังไม่ได้ทักทายพี่สุยก่อนกลับเลย”
พอพูดจบ ซ่งฝูเซิงก็หยิบถุงกระดาษมันออกจากอ้อมอกแล้วยื่นออกไปให้
พี่สุยเห็นเป็นซาลาเปามีไส้ก็ยื่นมือดันออกไป “ให้ข้าหรือ? นี่เรื่องอะไรกัน รีบนำไปเถอะ เอากลับไปให้พวกเด็กๆ กินที่บ้าน”
“เอ้ย…ท่านพี่สุ่ย อย่าปฏิเสธข้าเลย แค่ซาลาเปาสองลูกเอง พวกเราพี่น้องไม่ต้องเกรงใจ ถั่วเมล็ดสนของพวกข้าก็ขายจนหมดแล้ว นี่ก็เหลือแค่ซื้อข้าวสารอาหารแห้งกับเกลือก็กลับแล้ว แต่ท่านยังต้องคอยเฝ้าร้านอีก ของกินนี้ ซื้อให้ท่านเก็บเอาไว้กินรองท้องยามหิว”
“เจ้าหนอเจ้า โอ้ เห็นข้าเป็นคนอื่นไปได้ พวกเจ้าเพิ่งจะอพยพมาตั้งถิ่นฐาน มีเรื่องต้องใช้เงินอีกเยอะ ส่วนข้า? เฮ้อ”
“แค่ขนมสองชิ้นนี้มันไม่ทำให้ข้าลำบากหรอก พูดตามตรง ข้าชอบคบหาสนทนากับคนอย่างพี่สุย เป็นคนตรงไปตรงมา ฟังดูไม่อ้อมค้อม ไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวง นี่ข้าบอกให้พวกเขาไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งกันก่อน ส่วนข้าก็รีบกลับมาคุยกับท่านต่อ เมื่อครู่ยังคุยกับท่านยังไม่จบเลย”
“ใช่แล้ว พวกเราพี่น้องค่อยๆ พูดคุยกัน เจ้าพูดถูกต้อง ข้าเป็นคนเช่นนั้นอย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ เออ…น้องซ่ง พวกเจ้าพักอยู่หมู่บ้านเหรินจยา คนในหมู่บ้านให้พวกเจ้ายืมบ้านพักอเป็นอย่างไร? สภาพที่พักเป็นอย่างไรบ้าง”
“เห้อ ให้ยืมบ้านพักอะไรกัน พี่สุย พวกเขาให้กระท่อมผุพังกับพวกข้า พวกเราคนก็เยอะ คาดว่าคนในหมู่บ้านนี้คงไม่มีวิธีอื่นแล้ว ฮ่าๆ อย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกเลย เมื่อครู่ถูกลูกสาวตัดบท ตอนนั้นข้ายังอยากสอบถามท่านอยู่เลย ข้าเลยเดินกลับมาอีกครั้ง เรื่องราวรายละเอียดต่างๆพวกข้าไม่รู้อะไรเลย พูดตามตรง แม้กระทั่งหลี่เจิ้งเป็นใครก็ยังไม่ทราบได้ พี่สุย ท่านรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านเหรินจยาบ้างไหม? สามารถบอกกับข้าได้หรือไม่”
ครั้งนี้พี่สุยเล่าเรื่องราวที่เขาได้รับรู้ให้ฟังอีกครั้งรู้ เล่าเรื่องราวอย่างละเอียดจนหมดเปลือก
เพราะเขาคิดว่า ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องซ่งคงจะไม่ใช่ “ความสัมพันธ์ชั่วคราว” แล้ว เมื่อเจอหน้ากันก็เป็นความสัมพันธ์ต่างฝ่ายต่างสอบถามสารทุกข์สุขดิบกัน
ดูน้องชายคนนี้สิ เขาเป็นคนจริงใจเสียจริง เกรงว่าเขาห่วงร้านไม่ออกไปหาซื้ออะไรกิน ก่อนกลับยังตั้งใจซื้อของกินมาให้เขาและทักทายก่อนกลับ ช่างเป็นคนจริงใจเสียจริง
น่าคบค้าสมาคม
ดังนั้นพี่สุยจึงพูดในสิ่งที่เขาได้ยินมาเล่าให้ฟัง รวมทั้งสิ่งที่เขาคาดการณ์และสิ่งที่เขาอยากจะพูดทั้งหมดมาเล่าให้ซ่งฝูเซิงฟังอีกครั้ง
“หลี่เจิ้งของพวกเจ้ามีลูกชายเป็นบุตรเขยของท่านอู่อันโหวของตระกูลเซี่ย อู่อันโหวนะ ตำแหน่งโหว น้องซ่งเป็นบัณฑิตคงรู้ว่าเขามีตำแหน่งทางราชการใหญ่เพียงใด? นับตั้งแต่ระดับสูงลงล่างมีคนตระกูลเซี่ยอยู่จนนับไม่ถ้วน…
…คงคาดเดาได้ว่า ตระกูลเริ่นพลอยมีชื่อเสียงและฐานะขึ้นไปด้วย ในพื้นที่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลเริ่น…
…ตอนนั้นลูกชายคนโตเริ่นจื่อเซิงของเขา(หลี่เจิ้ง)ไปสู่ขอลูกสาวของท่านโหวก็เป็นเรื่องอันโด่งดัง แม้แต่คนเล่าเรื่องในโรงน้ำชายังนำเรื่องราวมาตกแต่งเป็นเรื่องเล่า”
พี่สุยพูดจบก็หัวเราะออกมา เขาระบายให้ซ่งฝูเซิงฟังต่อ “ถ้าเกิดมามีชาติตระกูล ราษฎรอย่างพวกเราคงไม่สนใจ แต่นี่เกิดมาเป็นชาวบ้านธรรมดาและได้แต่งงานกับหญิงสาวที่มีชาติตระกูลดี มีบัณฑิตไม่น้อยที่คอยอิจฉา”
“ไปสู่ขอบุตรสาวคนไหน?”
“เรื่องนั้นพวกเราก็ไม่รู้ได้ ครอบครัวใหญ่มีลูกสาวหลายคน ภรรยา ลูกสะใภ้มีมากมายพวกเราแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว
พี่สุยสาธยายต่อ “หลังจากนั้นหลี่เจิ้งของพวกเจ้าก็ถูกแต่งตั้งขึ้นมา…
…หมู่บ้านเหรินจยาของพวกเจ้าก็มีชื่อเสียงในเรื่องความร่ำรวย น้องชายฟังข้า เจ้าต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหลี่เจิ้งของพวกเจ้า หมู่บ้านพวกเจ้าจะร่ำรวยก็ต้องขึ้นอยู่กับเขาคนนี้”
“เรื่องมันเป็นมาอย่างไร?”
“ฐานกองกำลังป้องกันเมืองไงละ เพิ่งย้ายจากเมืองถงเหยาไป แต่ย้ายฐานไปที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แต่ข้าเดาว่าน่าจะอยู่แถวนี้…
…หลี่เจิ้งของพวกเจ้าอาศัยบารมีของลูกชายคนโต คาดว่าลูกสะใภ้คนนี้คงหาช่องทางหากินให้ เขารับผิดชอบส่งพวกเนื้อสัตว์จำพวกไก่ เป็ด ห่าน ฯลฯ ให้กับกองกำลังป้องกันเมือง มีทั้งผักที่ปลูกกันเองและยังมีพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ในหมู่บ้านของพวกเจ้าเลี้ยงไก่ เป็ด และหมู ทุกๆปีจะต้องส่งไปให้กับฐานกองกำลังป้องกันเมือง”
“ไม่ใช่ทหารกองหนุนที่มีหน้าที่จัดส่งให้หรือ?”
พี่สุยเบะปาก “พื้นที่ของพวกเราทุกตารางเมตรมีมูลค่าเป็นเงินเป็นทองและยังอยู่ติดกับเขตเมืองเฟิ่งเทียน จะมีสถานที่ไหนให้ทหารกองหนุนล่ะ ทหารกองหนุนต่างก็อาศัยอยู่ตามเขตชายแดน พวกข้าวสารอาหารแห้ง ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ของทหารกองหนุนไม่สามารถจะขนมาจากชายแดนได้ นอกจากนี้กองกำลังป้องกันเมืองก็เป็นทหารที่เก่งกาจมาก”
ซ่งฝูเซิงผงกหัว “ข้าเข้าใจแล้ว คอยป้องกันเมืองไง ต้องปกป้องเมืองสำคัญของท่านอ๋องเยี่ยน คาดว่าอาหารที่กินคงนำมาจากกองเสบียง ถ้าเป็นอย่างที่พูด เริ่นหลี่เจิ้งนำพืชผักที่ปลูกและหมูที่เลี้ยงเองทั้งหมดของหมู่บ้านไปส่งให้ฐานกองกำลังป้องกันเมืองก็เท่ากับเป็นการค้าขายกับหน่วยงานราชการ”
“หมู่บ้านใกล้เคียงก็มีความสัมพันธ์อันดีกับหมู่บ้านเหรินจยาของพวกเจ้า ต่างก็อยากจะนำพวกเป็ด ไก่ หมูที่เลี้ยงในหมู่บ้านมารวมอยู่ในหมู่บ้านของพวกเจ้าด้วย ถึงตอนนั้นก็ส่งไปให้ฐานกองกำลังป้องกันเมือง ขายแบบนั้นรวดเร็วมาก คาดว่าได้เงินมาไม่น้อย หน่วยงานราชการก็ไม่มีติดเงิน ดังนั้น?”
“ดังนั้น…ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนในหมู่บ้านทั้งหมดของพวกข้าถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่เจิ้ง ฮ่าๆ”
พี่สุยก็หัวเราะ ฮ่าๆ เขาฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของซ่งฝูเซิงไม่ออก เขาคิดว่าน้องซ่งไม่ฉลาดด้วยซ้ำ
เป็นคนค้าขาย พี่สุยอยากจะพูดว่า เรื่องเงินทองไม่เข้าใครออกใคร ใครมีผลประโยชน์ก็ฟังคำสั่งคนนั้น พวกเขาต่างก็อาศัยผลประโยชน์กันทั้งนั้น
“ในหมู่บ้านเหรินจยา ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ ข้าเพิ่งได้ยินมา”
“พี่สุยเล่ามาเถิด”
“หมู่บ้านอื่น หัวหน้าหมู่บ้านคือหลี่เจิ้ง(ตำแหน่ง) อืม หมู่บ้านของพวกเจ้าแต่ก่อนก็เป็นเหมือนกัน…
…เริ่นจื่อเซิงมีความสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโต หมู่บ้านของพวกเจ้าก็เปลี่ยนแปลงใหม่ หัวหน้าหมู่บ้านก็คือหัวหน้าหมู่บ้าน หลี่เจิ้ง(ตำแหน่ง)ก็คือหลี่เจิ้ง(ตำแหน่ง)…
…นี่คือที่มาของตำแหน่งหลี่เจิ้งของเริ่นหลี่เจิ้ง เมื่อก่อนก็เป็นชาวบ้านธรรมดา…
…ส่วนหลี่เจิ้งคนเดิมที่ถูกปลดลงจากตำแหน่ง ตอนนี้น่าจะยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ แต่ก็บอกได้ไม่ชัดเจนนัก เรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้ากลับไปลองถามข่าวคราวดู ได้ยินมาว่าเป็นเหล่าซิ่วไฉ”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว ข่าวนี้น่าสนใจนัก
เรื่องนี้ระหว่างมือหนึ่งกับมือสองจะต้องมีอะไรแอบแฝง โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นมือหนึ่งมาก่อนกลับถูกเบียดออกไปเป็นมือที่สองแล้ว
เขาคิดว่า ถ้าเหล่าซิ่วไฉคนนั้นยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ เพื่อนคนแรกในหมู่บ้านเหรินจยาก็คงจะเป็นเหล่าซิ่วไฉท่านนั้น
“พี่สุย คุยกันมาตั้งนาน แล้วลูกชายคนโตของหลี่เจิ้งตอนนี้ดำรงตำแหน่งอะไร ได้ขั้นอะไรแล้ว?”
“ไม่มีใครทราบได้ เจ้ายอข้าเกินไปแล้ว แต่เริ่นจื่อเซิงอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียนก็คงจะดำรงตำแหน่งใหญ่ไม่น้อย เขาไม่ค่อยจะกลับมา…
…ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เขาคบหาคนผู้มีฐานะสูงกว่า พ่อของตัวเองแท้ๆ ก็เหมือนไม่ใช่พ่อแท้ๆ พ่อตาเหมือนจะเป็นพ่อแท้ๆ เสียมากกว่า คงคอยดูแลเอาใจใส่อย่างดี ข้าเดาว่า เขาคงจะไม่ค่อยได้กลับไปดูแลพ่อของเขา…
…แต่เมืองถงเหยาตรงสถานที่ที่พวกเราตั้งแผงขายของสามารถมองเห็นโรงเตี๊ยมนั้นได้ข้าเคยเห็นเขากับนายอำเภอดื่มเหล้าด้วยกันสองครั้งแล้ว ดูสนิทสนมกันมาก”
ซ่งฝูเซิงมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเป็นห่วง เขากระซิบถาม “หมู่บ้านเหรินจยาอยู่ในการดูแลของเมืองถงเหยา เริ่นจื่อเซิงสนิทสนมกับนายอำเภอถงเหยา หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น บางทีอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ถ้าเกิดหลี่เจิ้งทำเรื่องทุจริต คนในปกครองคงไม่มีใครกล้าพูด ร้องเรียนไปก็คงไม่มีประโยชน์เพราะเป็นคนของครอบครัวเริ่นทั้งสิ้น”
พี่สุยเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“ใครจะไปร้องเรียนเล่า ขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นเรื่องใหญ่ ใครก็อยากหาวิธีสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น…
…น้องซ่งฟังพี่ เมื่อกลับถึงหมู่บ้านก็รีบเข้าพบหลี่เจิ้งของหมู่บ้าน…
…ร้องเรียน? ทำเป็นเรื่องล้อเล่นไปได้ คนนั้นคงโง่เขลามากที่คิดจะทำแบบนี้…
…ยังไม่ทันได้พูดร้องขอความเป็นธรรมก็ถูกโบยก่อนสามสิบที หลังจากนั้นถึงอนุญาติให้นั่งคุกเข่าในศาลบอกเรื่องราวที่ต้องการร้องเรียน ถูกโบยสามสิบทีแล้วจะพูดอะไร มีแต่อาเจียนจนเป็นเลือด จะมีกี่คนที่กล้าทำเช่นนั้นเล่า…
…คนที่กล้าทั้งหมดต่างเป็นซิ่วไฉ พวกเขาเข้าพบข้าราชการอำเภอไม่ต้องคุกเข่า คนอื่นที่ฟ้องร้องคนในตำแหน่งที่สูงกว่าซิ่วไฉ ใครเป็นคนฟ้องจะต้องถูกโบยก่อน ข้าเคยเห็นกับตาเลย ครึกครื้นยิ่งนัก ซิ่วไฉไม่เป็นไร แต่คนร้องเรียนถูกโบยบาดเจ็บปางตาย”
พี่สุยไล่มองซ่งฝูเซิงตั้งแต่หัวจรดเท้า “เฮ้ย เจ้าเป็นถงเซิงไม่ใช่หรือ? น่าเสียดาย มิเช่นนั้นเจ้าช่วยคนอื่นเขียนคำฟ้องร้องสามารถเรียกเก็บเงินได้ไม่น้อยเลยนะ”
ซ่งฝูเซิงรู้สึกปวดใจ ทำไมชอบมีคนนำเรื่องที่เขาเป็นบัณฑิตมาพูด มันก็จริง ร่างกายนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ทำไมถึงสอบไม่ได้ซิ่วไฉนะ
ซ่งฝูเซิงกล่าวลาพี่สุย เขาไปรอทุกคนอยู่ที่เชิงสะพาน
ด้านข้างเท้าของเขามีกระเทียมที่เพิ่งซื้อมาวางอยู่สองกระสอบ
เพิ่งซื้อมาระหว่างทางแล้วก็แบกเรื่อยมา เกือบทำเขาเหนื่อยแทบตาย
ข้าวต้องกินทีละคำ
มีบางเรื่องต้องทำทีละขั้นตอน ต้องวางแผนระยะยาว
ซ่งฝูเซิงหรี่ตา มีความคิดเช่นนี้