ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 179
เก็บไว้หลังห้องตรงไหนหรือ
บ้านสองหลังอยู่ใกล้กัน ทิ้งช่วงระยะห่างกันเป็นพื้นที่ว่าง
บ้านสองหลังนี้ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะสร้างอยู่ใกล้กันมาก
ท่านย่าหม่าตะแคงตัวเข้าไปในพื้นที่แคบ ด้านหลังของนางแนบชิดกำแพงก่อนจะก้มลงหยิบไหเล็กๆ ขึ้นมา
แอบซ่อนเงินทองของมีค่า ก็ยังไม่ทำถึงขนาดนี้
เนื้อไก่ก้อนนี้ไม่ถูกหนูกินไปเสียก่อน นับว่าโชคดีมาก
“ท่านย่า ทำไมท่านไม่เอาไปซ่อนไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ต้องทำแบบนี้”
“ส่งเสียงเบาหน่อย ไก่ป่ามีกี่ตัวกัน ได้ยินเสียงพวกเรามันก็บินหนีแล้ว ซื่อจ้วงใช้วิทยายุทธ์จึงสามารถจับมันได้ครั้งละหนึ่งตัว รวมกันแล้วเนื้อก็มีเพียงเล็กน้อยไม่พอแบ่ง บางคนยังไม่ได้กินเลย ยิ่งตัวโตเท่าเจ้าแม้แต่ขนไก่ก็ตักไม่ทัน นี่เป็นเพราะย่าของเจ้าเก็บไก่ให้เจ้าหนึ่งชิ้น เจ้าดูสิ ข้าเก็บชิ้นใหญ่ไว้ให้”
ท่านย่าหม่าบ่นพึมพำพร้อมใช้แรงค่อยๆ เปิดไห “เจ้าชอบกินเนื้อสัตว์ไม่ใช่หรือ? รีบกินเถอะ กินเสร็จแล้วก็เช็ดปากด้วยนะ”
“ท่านกินแล้วหรือยัง?”
“ไม่ต้องห่วง ข้ากินแล้ว ดื่มน้ำซุปไปหลายถ้วย เจ้ารีบหน่อย”
อากาศหนาวแบบนี้ เนื้อไก่ในไหก็แข็งตัวไปแล้ว
เนื้อหน้าอกไก่ชิ้นหนึ่งมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ
พวกเราไม่รู้ว่าท่านย่าทำไมถึงสามารถซ่อนเนื้อไก่ชิ้นโตขนาดนี้ได้โดยไม่มีใครพบเห็นและพบเจอ
ซ่งฝูหลิงถือไหอยู่ในมือ นางมองเนื้อที่อยู่ข้างใน พลันก็คิดว่า เจ้านะเจ้า กินซอสเนื้อวัวไปตั้งเยอะ ยังจะกินเนื้อไก่อีก
“ข้าไม่กินหรอก ท่านไม่อุ่นให้มันร้อน ถ้าข้ากินแล้วท้องเสียจะทำอย่างไร”
ท่านย่าหม่าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
เด็กอะไรพูดจาไม่ระวัง หลายวันมาแล้วที่ไม่ได้กลิ่นคาวของเนื้อ แม้แต่น้ำมันหนึ่งหยดก็ไม่ได้กินมาหลายวัน เมื่อเจอเนื้อไก่ก็บอกให้นางอุ่นให้ร้อนก่อน ทำเรื่องให้มันยุ่งยากอีก
“เจ้าอย่าเรื่องเยอะนักเลย ข้าเอาไปอุ่นให้เจ้า คนอื่นก็รู้สิว่าข้าทำอาหารแล้วแอบซ่อนอาหารส่วนหนึ่งไว้ ต่อไปข้าจะซ่อนอย่างไร?”
“โอ้ ท่านย่า สถานการณ์ไม่ดีแล้ว มีคนมา เร็วเข้า” ซ่งฝูหลิงเหมือนคนบ้าขึ้นมา บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างตึงเครียด นางรีบหยิบชิ้นไก่ยัดเข้าปากท่านย่าหม่า นางย่ำเท้าอยู่กับพื้นคอยเร่งย่าของนาง “เร็วเข้า ท่านย่ารีบกินซะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น”
ท่านย่าหม่ารีบกลืนกินอย่างรวดเร็ว กินชิ้นเนื้อไก่เย็นเยือก นางกินเสร็จก็รีบใช้มือเช็ดปาก และสอดส่องสายตามองไปทั่วบริเวณโดยรอบ ไม่เว้นแม้แต่ช่องแคบเพราะกลัวคนแอบมองเข้ามาในช่องว่าง “คนล่ะ อยู่ไหน?”
ซ่งฝูหลิงวางไหไว้บนพื้น ก่อนจะเดินถอยหลัง “ดูเหมือนข้าจะหูแว่วไป ท่านย่า ข้าไปก่อนนะ ต้องไปกรองน้ำแล้ว”
“เจ้านี่?”
……
อาหารเย็นคืนนี้มีขนมปังกับซุปผักกาดร้อนๆ
บ้านกระท่อมหลายหลังช่วยกันนึ่งขนมปัง
หญิงชราแทบไม่มีเวลายืดเอวให้ตรงเลย พวกนางนึ่งอาหารแห้งห้าร้อยหกสิบอันแล้ว
ขนมปังห้าร้อยกว่าอัน ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ไม่สามารถกินตามอำเภอใจได้ ถ้าให้พวกเด็กหนุ่มกับพวกชายฉกรรจ์กินเต็มที่ แต่กินไปเท่าไหร่ก็ยังคงรู้สึกหิวอยู่ดี
พวกเขาก่อกองไฟต้มซุปผักกาดหน้าบ้าน โดยใช้ไม้ค้ำสี่ด้านเพื่อวางหม้อใบใหญ่และต้มน้ำจนเดือด นำผักกาดขาวที่ล้างสะอาดแล้วใช้มีดหั่นผักกาดใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ใส่เกลือแล้วใช้ทัพพีคนให้เข้ากัน
โดยไม่ได้ใส่น้ำมันลงไปในน้ำซุปแม้แต่หยดเดียว ทุกคนก็สามารถกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
บางคนก็ยืนกิน บางคนก็นั่งยองๆ ถือถ้วยน้ำซุปดื่ม ถ้วยไม่พอใช้ ใครใช้เสร็จก่อนก็ยื่นส่งต่อให้กับคนอื่น ครอบครัวเดียวช่วยเหลือกันใช้ร่วมกัน
ซ่งฝูหลิงดื่มน้ำซุปอย่างเอร็ดอร่อย นางซึมซับบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเห็นคนอื่นกินอย่างเอร็ดอร่อย นางก็รู้สึกว่าซุปผักกาดมีรสชาติอร่อยไม่ใช่เล่น
ซ่งฝูเซิงดื่มน้ำซุปร้อนๆ ไปสี่ถ้วย เขาไม่ค่อยจะกินขนมปังนัก เขานำขนมปังที่อยู่ในมือให้หมี่โซ่วกิน เขาไม่ค่อยหิวเท่าไร ถ้าหิวก็กินของที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ
เขารู้สึกหนาวและคอแห้ง ไม่มีอาหารร้อนๆ ตกถึงท้อง เขาอยากดื่มน้ำซุปร้อนๆ วันนี้ทั้งวันพูดคุยกับคนนั้นคุยกับคนนี้ ยังไม่ได้ดื่มน้ำอุ่นแก้กระหายเลย
ถ้าพูดถึงครอบครัวนี้สามคน มีเฉียนเพ่ยอิงคนเดียวที่ตั้งใจกินอาหาร
เฉียนเพ่ยอิงดื่มน้ำซุปผักกาดไปสามถ้วย กินขนมปังไปสองอัน วันนี้นางทำงานทั้งวันเหนื่อยจนทนแทบไม่ไหว ทั้งตักน้ำ ตัดหญ้า และเดินตามพวกผู้ชายไปบนภูเขาช่วยพวกเขาเก็บกิ่งไม้แห้งกับใบหญ้าแห้งมามัดกัน ก่อนแบกเป็นถุงลงมาจากภูเขาไม่หยุดหย่อน
เมื่อครู่เหล่าซ่งยังแอบต่อว่านางไม่ฉลาด แขนของนางมีบาดแผลลึก ทำไมไม่หาเหตุผลอู้งานบ้าง
จะหาคำแก้ตัวแบบนั้นก็ได้ แต่คงรู้สึกไม่ดี
โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่านลุงอายุไม่น้อยแล้ว ในแต่ละวันเขาก็ไม่ค่อยได้นอน เขาโน้มตัวลงตัดหญ้าตามทางเดินจนปวดเอว นางจึงไม่กล้านั่งเฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไร
หม้อซุปผักกาดตั้งไว้ข้างนอกก็มีประโยชน์เหมือนกัน ทำให้ทุกคนสามารถนั่งพูดคุยกัน และยังสามารถผิงไฟไปด้วยได้ มิเช่นนั้นบ้านกระท่อมผุพัง ในห้องมีแต่อิฐดินเต็มไปหมด ทุกคนอยากอยู่รวมกันก็ไม่มีแม้กระทั่งที่ยืน
ซ่งหลี่เจิ้งกินเสร็จแล้ว มือหนึ่งก็หยิบสมุดบันทึกเก่าๆ ขึ้นมา อีกมือหนึ่งหยิบไปป์จีนที่ไม่มีใบยาสูบด้วยความเคยชิน ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดก็จะสูบไปป์จีนไปหนึ่งครั้ง
“ตอนนี้ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากัน ข้าขอพูดอะไรสักคำ…
…ในสถานการณ์ตอนนี้ ข้าจะรายงานบัญชีให้เข้าใจง่าย ส่วนของนั้นยังซื้อมาไม่หมด…
…อย่างเช่น น้ำมัน เกลือ ซอส น้ำส้มสายชู เกลือซื้อกลับมาไม่เยอะ ผักที่ต้องเก็บตุนไว้กินยามหน้าหนาว แม้กระทั่งน้ำมันงาก็ยังไม่มีเวลาไปซื้อ ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก…
… ส่วนรายละเอียดนั้นข้าก็จะไม่พูดแล้ว ข้ากับฝูเซิงสองคนช่วยกันควบคุมดูแล”
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ต้องรายงานบัญชีให้พวกเราฟัง พวกเราบอกท่านลุง หลายครั้งแล้ว”
ซ่งฝูกุ้ยยังถือถ้วยซุป เขายืนขึ้นพูดเสียงดัง “ถ้าใช้เงินหมดแล้ว ท่านลุงกับฝูเซิงบอกกันสักหน่อย ถ้าเงินไม่พอ พวกเราจะไปรับจ้างทำงานชั่วคราวที่เมืองถงเหยา ไปหางานดูว่ามีงานไหนที่พอทำได้ ไม่มีก็ต้องคิดวิธีหาเงิน”
“เจ้าสายตาไม่ดีเช่นนั้น ใครจะกล้าจ้างเจ้าทำงาน หุบปากซะ ทั้งหมดฟังข้าพูดก่อน วันนี้มีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกพวกเรา พูดข่าวดีก่อนแล้วกัน” ท่านลุงซ่งถอนหายใจ ดูสีหน้าของเขาเหมือนไม่ได้มาแจ้งข่าวดี
ท่านลุงซ่งตั้งใจหยุดพูดสักพัก เพื่อสงบสติอารมณ์เมื่อได้ยินข่าวนี้ในตอนแรก “วันนี้ฝูเซิงขายถั่วเมล็ดสนได้เงินหนึ่งร้อยสามสิบเก้าตำลึง!”
หา…ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ตอนนั้นถูกเจ้าหน้าที่ของอำเภออู่เฉวียนทำลายเสียหายหลายกิโล ยังสามารถขายได้เงินเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?
คนเข้ามาบริเวณนี้ก็ต้องหยุดฝีเท้า ไม่คิดว่ามาครั้งแรกก็จะได้ยินจำนวนเงินถึงหนึ่งร้อยสามสิบเก้าตำลึง
เกาเถี่ยโถวสายตาดี เขายื่นคบไฟส่องไปทางถนน “มีคนมา”
คนผู้นั้นเดินมาทางหลังบ้าน เขาแนะนำตัวเอง “ข้าคือ เริ่นโยวจิน ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้าน”
ท่านลุงซ่ง “มีเรื่องอะไรหรือ?” เขาเห็นคนแซ่เริ่นแล้วก็รู้สึกโมโห เมื่อรู้เรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์จากซ่งฝูเซิง
ซ่งฝูเซิงลุกขึ้นยืน รับแผ่นกระดาษมา
บนกระดาษเขียนว่า ‘ที่อยู่ช่างขุดบ่อน้ำเมืองถงเหยา’
นี่ช่วยได้มากจริงๆ วันนี้เขาไปเมืองถงเหยาก็สอบถามหาช่างขุดบ่อน้ำ เพราะหน้าหนาวน้ำในแม่น้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วพวกเราจะดื่มอะไร
แต่เมื่อสอบถามไปมา ช่างที่ทำเป็นก็บอกว่าช่วงฤดูนี้ไม่ค่อยมีใครยอมทำเพราะเจาะหาตาน้ำลำบาก
“ท่านพ่อบอกว่า ให้เจ้าถือกระดาษนี้ไปหาช่าง อย่างน้อยก็สามารถลดราคาเงินได้ครึ่งพวง ข้าขอตัวก่อน”