ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 189
เริ่นหลี่เจิ้งนั่งหรี่ตาอยู่บนเตียง จิตใจสับสน
นี่มันอะไรกัน?
หูของเขามีปัญหาหรือเปล่า?
เมื่อครู่ที่ลูกชายคนโตพูดออกมาหมายความว่าอะไร
ถ้าลูกชายคนโตพูดความจริง…
ไม่…ไม่ใช่…
เริ่นกงซิ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
เขาทุจริตข้าวสารเพียงเล็กน้อย รวมมูลค่าแล้วก็ไม่กี่ตำลึงเงิน เงินเพียงแค่นี้ทางการต้องเข้ามาดูแลด้วยหรือ
และที่ออกมาควบคุมดูแล คือ จวนกั๋วกง
นี่ยิ่งดูเหมือนเป็นเรื่องตลกมาก
จวนกั๋วกงคงว่างมากจนไม่มีเรื่องอะไรทำ ข้างนอกมีพวกทุจริตเงินหลายพันหลายหมื่นตำลึงก็ไม่ออกไปจับ ทำไมต้องมาจับคนแก่อย่างเขาเพื่อเค้นเอาความจริงอยู่ได้ อีกทั้งยังถามถึงเรื่องข้าวไม่ขัดสีอีกต่างหาก
อย่าว่าแต่จวนกั๋วกงเลย แม้แต่นายอำเภอก็ยังไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้
เริ่นกงซิ่นคิดถึงตรงนี้ เขาก็มองลูกชายคนโตและรู้สึกพูดไม่ออก
แรงคงหมดสิ้น คิดถึงตรงนี้ก็มองไปที่ลูกชายคนโต คิดจะพูดออกมาแต่ก็ต้องสงบปากไป
นี่เป็นเรื่องที่ลูกชายคนโตพูดออกมา ถ้าเป็นคนอื่นพูด เขาคงจะตบปากและไล่ตะเพิดออกไปแล้ว พูดโกหกในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามคนในหมู่บ้านแล้วพูดอีกรอบ จวนกั๋วกงเข้ามาดูแลเรื่องทุจริตข้าวสารไม่ขัดสี ใครได้ยินก็ไม่เชื่อ ทำให้คนหัวเราะจนฟันแทบหลุด
เริ่นจื่อจิ่วกับเริ่นจื่อเฮ่ามองเริ่นจื่อเซิงด้วยความรู้สึกว่าพี่ชายคนโตของเขาใกล้จะเป็นโรคประสาท
ทั้งสองคนถามขึ้นพร้อมกันด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?”
โง่เขลา ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ไม่รู้จะพูดกับพวกเขาอย่างไรแล้ว ก่อนตายก็คงจะไม่รู้ว่าตายเพราะอะไร
เริ่นจื่อเซิงบอกความจริงกับท่านพ่อและน้องชายทั้งสองว่า อย่าสงสัยในคำพูดของเขา
ทันใดนั้นถ้วยน้ำชาในมือก็ถูกขว้างลงพื้น บ่งบอกว่าเขาโกรธมากจนอดกลั้นไม่ไหว
เพล้ง…เสียงถ้วยน้ำชาแตก
ถ้วยชาตกอยู่ข้างเท้าของภรรยาน้อยที่เริ่นหลี่เจิ้งแต่งงานใหม่ ทำให้ฮูหยินน้อยคนใหม่คนนี้ตกใจร้องออกมา
“ไสหัวออกไป” เริ่นจื่อเซิงตะโกนขึ้นมา สายตาไม่แลฮูหยินน้อยคนนั้น
เริ่นหลี่เจิ้งมองสีหน้าของลูกชาย เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อารมณ์ในใจที่สงบก็เกิดการแปรปรวน จิตใจก็เหมือนดิ่งลงเหวในทันที
“จื่อเซิง เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไป พ่อถามเจ้าครั้งสุดท้าย มันเป็นเรื่องจริงหรือ? ที่จวนกั๋วกงจะลงมาจัดการข้า?”
“ท่านพ่อ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลข้าจะมาที่บ้านทำไม? ท่านรีบบอกข้ามาเถอะ ท่านยังสร้างความลำบากอะไรให้กับพวกเขาอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ข้าจะไปพูดคุยกับพวกเขา จะได้รู้เขารู้เรา…”
เริ่นจื่อเซิงพูดยังไม่ทันจบ
“เอิ๊กกก” เริ่นหลี่เจิ้งเรอออกมาหนึ่งครั้ง ร่างกายก็อ่อนยวบลง หงายหลังด้านหลังศีรษะกระแทกกับเตียงตั่ง
“ท่านพ่อ” เริ่นจื่อเซิงรีบเดินเข้าหาเพื่อไปพยุงเริ่นหลี่เจิ้ง
เริ่นจื่อจิวกับเริ่นจื่อเฮ่าวิ่งเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไหม ศีรษะเป็นอย่างไรบ้าง”
เริ่นหลี่เจิ้งนอนหงายอยู่บนเตียง เขาไม่รู้สึกปวดด้านหลังศีรษะ ตาสองข้างจ้องมองไปที่เพดาน ปากสั่นไม่หยุด
ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งหลี่เจิ้ง เริ่นกงซิ่นก็ตั้งใจเรียนรู้การทำตัวเป็นข้าราชการ เขาเลียนแบบข้าราชการที่พูดออกมาเพียงครึ่งเดียว ไม่พูดออกมาหมด ทำท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่าง
เริ่นกงซิ่นจับแขนเริ่นจื่อเซิงด้วยดวงตาแดงก่ำ นัยน์ตาเอ่อไปด้วยน้ำตา
“ลูกชายคนโต เจ้าต้องช่วยพ่อนะ ข้าคิดไม่ถึง ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…
…ข้าเพียงแต่คิดว่า พวกเขาเป็นพวกอพยพลี้ภัย มีป้ายสีแดงสดแล้วจะทำอะไรได้…
…ป้ายสีแดงสดบ่งบอกว่าพวกเขามีเงิน…
…แต่มีเงินแล้วจะทำอย่างไรได้? เมื่อมาถึงพื้นที่ของข้าก็ต้องฟังคำสั่งข้า…
…ข้าคิดแต่เพียงว่า นอกจากพวกเขาจะมีเงินบ้างแล้ว พวกเขาก็ไม่มีญาติพี่น้องแม้แต่คนเดียว อยู่ต่างถิ่นไม่มีคนรู้จักพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้…
…ข้าแค่ต้องการให้พวกเขาลำบากหน่อย ทำให้พวกเขาลำบาก พวกเขาก็ไม่ได้อดตาย พวกเขามีเงินสามารถซื้อได้…
…ใช่แล้ว ข้าไม่คิดว่าจะให้พวกเขาอดตาย พวกเขามีเงินซื้อ แค่ไปซื้อก็ได้แล้ว ทำไมถึงต้องร้องเรียนข้าด้วย…
…สิ่งที่ข้าทำผิดเรื่องนี้ไป ก็เพราะคิดถึงอนาคตที่จะได้ควบคุมพวกเขาได้ง่าย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เริ่นกงซิ่นจับแขนลูกชายหลายคน เขาไม่สนใจอาการเวียนหัวรีบลุกขึ้น มา น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นทาง เขายังพูดกับลูกชายคนโต
“ข้าจะขนกลับไปคืนพวกเขาให้หมด ส่งคืนกลับไปก็ไม่ได้หรือ? เจ้าอย่าให้เจ้าหน้าที่มาจับข้านะ…
…จวนกั๋วกงออกคำสั่ง ข้าจะยังมีชีวิตดีอยู่หรือ? เข้าไปแล้วก็อย่าได้คาดหวังว่าจะได้ออกมา…
…เจ้ารีบไปขอร้องท่านโหว ข้าเป็นพ่อของเจ้า เจ้าเป็นบุตรเขยของเขา เรื่องเงินเล็กน้อยท่านโหวคงไม่นิ่งดูดายแน่ เพียงแค่เขาเอ่ยปากออกมา ใช่แล้ว ต้องทำอย่างนี้”
“ท่านพ่อ ข้าอยากจะถามท่านจริงๆ เงินเพียงเล็กน้อยนั้น ท่านขาดแคลนหรือ? ท่านถึงไม่รักษาหน้าตาของพวกข้าบ้าง”
“ข้า?” เริ่นกงซิ่นร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่คำพูดที่เขาพูดต่อมาก็ทำให้เริ่นจื่อเซิงใจอ่อน
เริ่นกงซิ่นพูด เขาไม่ขาดแคลนเงิน แต่เขาเคยชินไปแล้ว
เขาพบเห็นอะไรที่เป็นผลประโยชน์ ก็จะวางแผนนำเข้าบ้าน
เขาถามเริ่นจื่อเซิงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถ้าข้าไม่เป็นอย่างนี้ ตอนที่ลูก(คนโต)เรียนจะเอาอะไรมาซื้อพู่กัน ที่ฝนหมึกกับกระดาษ…
…เจ้าไม่ใช่หลานชายของเริ่นโยวจิน เริ่นโยวจินสอนเจ้าในตอนแรกให้รู้จักตัวอักษร แต่ไม่ได้ให้เงินเจ้าซื้อพู่กันกับกระดาษ…
…ข้าเป็นคนดูแลจัดงานไหว้บรรพบุรุษ เริ่นโยวจินให้เงินเพียงแค่3-5ตำลึงให้เตรียมของไหว้บรรพบุรุษ เขาก็หักเงินจากส่วนนั้นมา ทำเรื่องแบบนี้หลายครั้ง เขาถึงมีเงินส่งเจ้าไปเรียนหนัง สือ”
เขาเคยชินแล้ว ชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว “ยุงแม้ตัวจะเล็ก แต่ก็มีเนื้อเหมือนกัน”
เริ่นจื่อเซิงเอามือกุมขมับพร้อมกับถอนหายใจ
เขาพบว่า ท่านพ่อของเขายังคงร่ำไห้และพูดคร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านคือพ่อของข้า พวกเรามาคุยเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นกันก่อน ข้าถามท่าน หมู่บ้านของพวกเราแบ่งที่นาทำกินให้พวกเขาไปเท่าไหร่ ท่านรู้หรือไม่?”
เมื่อเริ่นหลี่เจิ้งได้ยินลูกชายคนโตไม่สนใจเขา เขาก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ หนึ่งคนต่อสามไร่ ถ้าพวกเขาอยากได้พื้นที่เยอะกว่านี้ จะต้องจ่ายเงินให้กับหมู่บ้านเพิ่ม”
เริ่นจื่อเซิงรีบตัดบท “หมู่บ้านของพวกเราสามารถแบ่งที่ดินให้พวกเขามากสุดได้เท่าไหร่ ท่านสามารถตัดสินใจเองแบ่งให้พวกเขาเท่าไหร่?”
“ไม่มีแล้ว ในหมู่บ้านแถวนี้ไม่มีที่ดินเหลือแล้ว ทั้งหมดเป็นที่ดินดี พื้นที่รกร้างที่อยู่ใกล้ภูเขาแห่งนั้นเจ้าน่าจะรู้ดีว่ามีประมาณเท่าไหร่?”
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” เริ่นจื่อเซิงคิดในใจ ที่ดินรกร้างผืนใหญ่นั้น รอพวกเขาเจรจากันเสร็จแล้ว ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ยกที่ดินนั้นทั้งหมดให้พวกเขาไป ถึงอย่างไรที่ดินนั้นก็มีค่าไม่เท่าไหร่ เขาจะเป็นคนออกเงินเองโดยใช้ชื่อของชาวบ้านพวกนั้นดำเนินการซื้อขายตามระบบ
………..
“พี่ใหญ่?” เริ่นจื่อจิวกับเริ่นจื่อเฮ่าเดินตามหลังเริ่นจื่อเซิงไปทางริมฝั่งแม่น้ำ
เริ่นจื่อเฮ่าเดินไปก็รีบพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านจะไปพบพวกเขาด้วยตนเองหรือ? ให้ประโยชน์กับพวกเขาให้พวกเขาเปลี่ยนคำพูดก็พอแล้ว ข้าก็ไม่เข้าใจ คืนข้าวให้พวกเขาแล้ว แถมยังให้ผล ประโยชน์กับพวกเขา พวกเขาจะไม่เปลี่ยนคำพูดได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาจะไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านของเราอีกต่อไปแล้ว?”
เริ่นจื่อจิ่วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ข้าคิดว่า ข้าจะไปตกลงกับพวกเขาเอง ท่านมีตำแหน่งใหญ่โต พวกเขาเป็นเพียงพวกอพยพลี้ภัยไม่เหมาะกับการที่ท่านลดตัวลงไปเจรจาเอง”
เริ่นจื่อเซิงเดินอยู่ข้างหน้าอย่างรีบร้อน เขาพูดโดยไม่หันมามอง“หุบปาก”
“ไม่ใช่สิ” เริ่นจื่อจิ่วยังพยายามที่จะพูดต่อ “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ข้าไม่อยากให้ท่านไป แต่ท่านไปไม่ได้”
ริมฝั่งแม่น้ำ
เริ่นจื่อเซิงชี้ไปที่สะพานข้ามแม่น้ำที่ขาด เขาหันกลับมาจ้องมองน้องชายทั้งสองคน
ถลึงตามองเริ่นจื่อจิ่วกับเริ่นจื่อเฮ่าจนพวกเขาถึงกับต้องก้มหน้า
อย่ามองพวกข้าแบบนี้ ท่านพ่อเป็นคนสั่งให้ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำนั่น
“นายท่าน?”
เสียงของพ่อบ้านดังขึ้นมา
พ่อบ้านนำข้าวสารสิบคันรถมาถึงแล้ว
วันนี้หมู่บ้านเหรินจยาดูคึกคักเป็นพิเศษ
พวกป้าอ้วนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นก็ออกมาแล้ว พวกนางออกมาดูด้วยความประหลาดใจ
นอกจากพวกผู้หญิงที่ชอบนินทาแล้ว เมื่อชาวบ้านได้ยินว่าลูกชายคนโตที่มีอนาคตไกลของเริ่นหลี่เจิ้งกลับมาแล้ว ใต้เท้าเริ่นที่ได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตกลับมาแล้ว ชาวบ้านทั้งหญิงและชายที่มีเวลาว่างต่างก็พากันออกมาดูเหตุการณ์เหมือนกัน
พวกเขาทุกคนรู้สึกประหลาดใจ ลูกชายคนโตของเริ่นหลี่เจิ้งกลับมาทำอะไร?
โอ้ว ทำไมใต้เท้าเริ่นถึงเดินลงไปในแม่น้ำนะ
พวกป้าอ้วนเบียดมายืนอยู่ด้านหน้า พูดอย่างตกใจ “เขาทำอย่างนี้ไปทำไม?”
เริ่นจื่อจิวดึงแขนพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ น้ำในแม่น้ำเย็นเฉียบ และยังมีเกล็ดน้ำแข็งอีกนะ”
เริ่นจื่อเฮ่าก็ดึงแขนของเริ่นจื่อเซิง “พี่ใหญ่ ข้า…ข้าจะพาท่านเดินถนนเส้นเล็กๆ เอง พวกเราอย่าเดินลุยน้ำเลย ท่านดูสิ มีก้อนน้ำแข็งลอยมาแล้ว”
เริ่นจื่อเซิงโมโหมาก สมองแทบจะลุกเป็นไฟ
เขารู้จักถนนเส้นเล็กนั้นดี แต่ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว ตะวันลับขอบฟ้าแล้ว อีกครู่หนึ่งท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว
ให้เขาเดินลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กใกล้ภูเขาไปหรือ? ข้าวสารต้องแบกไปทีละกระสอบ ถนนเส้นนี้ที่ผ่านเขามันแคบมาก ไม่สามารถใช้รถบรรทุกผ่านไปได้
แค่พูดถึงเรื่องหมาป่า เขากลัวจะถูกหมาป่ากัด ได้ข่าวว่าถนนเส้นเล็กนี้ผ่านเขาครึ่งลูก บนยอดเขาเป็นที่อยู่ของหมาป่า
ถ้าเขาต้องเดินบนถนนเส้นเล็กสายนั้น ช่วงจังหวะที่ท้องฟ้ามืดครึ้มแล้ว ถ้าเกิดมีหมาป่าลงมาจากภูเขาสักตัวสองตัวล่ะ
ตอนนี้มีรถม้าเข้ามาในหมู่บ้านเหรินจยา
เป็นรถม้าสองคัน