ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 190
เซี่ยเหวินหยวนสวมเสื้อคลุมมีหมวกที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอกสีดำ
ช่วงที่เขาลงจากรถม้า คนในหมู่บ้านก็เงียบกริบ
ร่ำรวยมาก คนนี้นั่งบนรถม้าสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่มีราคาแพง เวลาไปในเขตอำเภอก็น้อยครั้งที่จะเห็นคนแต่งตัวแบบนี้
เริ่นจื่อเซิงแปลกใจมาก เขารีบเดินไปต้อนรับ “ท่านพี่ ท่านมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”
คนในหมู่บ้านเริ่มนึกขึ้นได้ มีคนมาจากจวนโหว
ท่านพี่? อัยยะ พี่เขยก็มาด้วย
นี่พากันมาหมู่บ้านเหรินจยาเพื่อทำอะไรกัน รถม้าคันหลังนั่นใครนั่งมา?
เมื่อเริ่นจื่อเซิงสั่งคนให้นำรถม้าคันหลังกลับไปที่เรือนเก่า คนในหมู่บ้านก็เข้าใจแล้วว่า น่าจะเป็นภรรยาของเริ่นจื่อเซิงที่ตามกลับมาด้วย
สะใภ้คนนี้ไม่ธรรมดา ตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเริ่นเคยมาไหว้บรรพบุรุษแค่ปีเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้นางจะนั่งอยู่ในรถห่างจากทุกคนไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ออกมาแสดงตัวและไม่ลงจากรถม้า
พวกป้าอ้วนรีบมองซ้ายมองขวา พวกนางชะเง้อหาเริ่นหลี่เจิ้ง
สาวแต่งงานแล้วอายุน้อยนางหนึ่งถามขึ้น “พี่สาวกำลังมองหาอะไรหรือ?”
“ข้ากำลังคาดเดาว่า หลี่เจิ้งของพวกเราคงมีอาการไม่ดีขึ้นแล้วล่ะ”
ความหมายคือ ใกล้หมดลมหายใจแล้วหรือไม่
มิเช่นนั้นคนในจวนโหวจะมากันทำไม ลูกสะใภ้ก็ยังกลับมาด้วย
ทุกคนรีบกลับมาดูใจครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่ โดยเฉพาะเริ่นหลี่เจิ้งก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
หญิงสาวคนนั้นได้ฟังก็ตกใจ ไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงของตนเองได้ “คงไม่ใช่หรอกนะ? ข้าไม่ได้ยินว่า เริ่นหลี่เจิ้งจะไม่ไหวแล้ว”
“เจ้านั่นแหละน่าจะไม่ไหวแล้ว เจ้ากล้าสาปแช่งพ่อข้าหรือ?” เริ่นจื่อเฮ่ารีบพูดขึ้น
เริ่นจื่อจิ่วรีบเข้าไปห้ามปรามน้องชาย และโบกมือให้ทุกคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พูดจาเหลวไหล แยกย้าย แยกย้ายกันไปได้แล้ว ที่ไหนมีเรื่องก็มีพวกเจ้าที่นั่น ว่างมากจนไม่มีอะไรทำหรือไง!”
เซี่ยเหวินหยวนเห็นรถม้าของน้องสาวออกไปแล้ว เขาถึงหันกลับมาถามเริ่นจื่อเซิงว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
ทำไมรถขนข้าวสารถึงจอดอยู่ที่นี่ น้องเขยเจ้าทำไมต้องถอดรองเท้า? เจ้าไปเจอพวกชาวบ้านเหล่านั้นหรือยัง? ให้พาเขาไปพบเจอหน่อย
ชาวบ้านที่หูดีได้ยินเข้า ทุกคนก็รีบกระจายข่าวทันที
ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำเป็นที่พักอาศัยของพวกอพยพลี้ภัยมาตั้งรกราก เริ่นจื่อเซิงกลับมาก็เพื่อพบคนพวกนั้นหรือ?
เพิ่งมาตั้งรกรากก็สามารถทำให้เริ่นจื่อเซิงตั้งใจกลับมาเจอ คนของจวนโหวก็อยากพบเจอ นี่มีความสัมพันธ์อะไรระหว่างกัน?
คนพวกนั้นเพิ่งมาถึงเมื่อคืนก่อน นี่เกิดเรื่องอะไรกัน?
ทุกคนเริ่มซุบซิบนินทาเรื่องที่เกิดขึ้น
นอกจากชาวบ้านจะได้ยินคำพูดของเซี่ยเหวินหยวนแล้ว เซี่ยเหวินหยวนก็ยังได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน
เมื่อเริ่นจื่อเซิงชี้มือไปยังฝั่งตรงข้ามและอธิบายรายละเอียดให้ฟัง เซี่ยเหวินหยวนเกือบจะโมโหจนหัวเราะออกมา
ฟังจากชาวบ้านพูด พวกอพยพลี้ภัยเพิ่งมาถึงเมื่อตอนกลางดึกของคืนก่อน
พ่อของเจ้าสามารถทำเรื่องได้มากมายถึงขนาดนี้
จัดให้คนพวกนั้นไปอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่นั่นไม่มีแม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยาแม้แต่คนเดียว แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน
ส่วนเรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์นั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
และยังสั่งทำลายสะพานข้ามแม่น้ำอีก
อย่าบอกเขานะว่า สะพานขาดเป็นเรื่องบังเอิญ
ตอนนี้เซี่ยเหวินหยวนกลับรู้สึกดีใจขึ้นมา
ยังดีที่เพิ่งผ่านไปแค่สองวัน มิเช่นนั้นพ่อสามีของน้องสาวคงจะสติเลอะเลือนทำเรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้
ในขณะเดียวกัน เซี่ยเหวินฮุ่ยก็กลับมาถึงบ้านของพ่อสามี
เมื่อนางเข้าไปในเรือนก็ได้ยินว่าพ่อสามีที่ก่อเรื่องอยู่ในบ้าน เซี่ยเหวินฮุ่ยก็โมโหขึ้นมาอีกครั้ง
พี่ชายของนางต้องลำบากมาถึงที่นี่เพราะเรื่องนี้ แม่ของนางต้องคุกเข่าอยู่ในห้องพระ ปรากฏว่าตาเฒ่าที่ทำให้เกิดเรื่องราวกลับหลบอยู่แต่ในบ้าน แกล้งป่วย บอกว่าหลังศีรษะกระแทก พื้นจนมึนงง เจ้าช่างแสดงละครเสียจริง
เซี่ยเหวินฮุ่ยโยนถ้วยน้ำชา นางชี้ไปที่ภรรยาน้อยที่เริ่นหลี่เจิ้งแต่งเข้ามาใหม่ “เจ้าจะเอาน้ำร้อนมาลวกข้าหรือไง”
ทำให้ฮูหยินน้อยที่แต่งเข้ามาใหม่ตกใจ นางจะเอ่ยขอโทษก็ไม่ได้ ไม่ว่านางจะเป็นอย่าง ไรก็อยู่ในสถานะ “แม่” ไม่เอ่ยขอโทษก็กลัวเซี่ยเหวินฮุ่ยไม่พอใจ
นางจึงค่อยๆ หลบออกไปอยู่นอกประตูพร้อมกับดวงตาอันแดงก่ำ
ภรรยาของเริ่นจื่อจิ่วพาหญิงสาวแรกรุ่นวัยเพียงสิบสี่สิบห้าปีเดินเข้ามา นางเรียกพี่สะใภ้ด้วยท่าทีสนิทสนม และรีบเทน้ำชาให้ใหม่
ถามพี่สะใภ้ว่ามาที่บ้านได้อย่างไร
เซี่ยเหวินฮุ่ยเหลือบมองหญิงสาวอ่อนเยาว์คนนั้นก่อน
ภรรยาของเริ่นจื่อจิ่วแนะนำว่า นี่คือภรรยาคนที่สองของบ้านสองที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ ท่านพ่อบอกว่าตระกูลเริ่นควรจะมีลูกหลานเยอะๆ ข้าพามาให้พี่สะใภ้ดู
“สิ่งของอะไรกัน ยังกล้าเอามาอยู่ตรงหน้าข้า”
ภรรยาน้อยของเริ่นจื่อจิ่วที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ ก็พลอยถูกด่าไปด้วย
เซี่ยเหวินฮุ่ยโมโหมากเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอกประทุออกมาเป็นระลอก โดยเฉพาะเมื่อพบเจอภรรยาน้อยของเริ่นหลี่เจิ้งกับภรรยาน้อยของเริ่นจื่อจิ่ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำให้โมโหมากขึ้นไปอีก
แต่ละคนมีพฤติกรรมไม่ดีก็พลอยทำให้คนรอบข้างเรียนรู้ในสิ่งไม่ดีไปด้วย
แต่ละคนกินดีอยู่ดีอาศัยบารมีของพวกเขาอยู่อย่างมีหน้ามีตา ยังกล้าทำเรื่องอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้
แต่ละคนไม่มีอะไรดีเลย นางมองใครก็ไม่เข้าตา เป็นตัวถ่วงกันทั้งหมด
เซี่ยเหวินฮุ่ยถือผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือชี้หน้าด่าทอภรรยาของเริ่นจื่อจิ่ว ด่าให้เริ่นหลี่เจิ้งฟัง ตาเฒ่าแกล้งทำเป็นป่วย ด่าเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะด่าลูกสะใภ้ของเจ้า
เซี่ยเหวินฮุ่ยด่าทอ “ข้าทำให้พวกเจ้าขาดเหลืออะไร? กินอิ่มนอนหลับจนไม่มีอะไรทำแล้ว สมองไม่ทำงานแล้วหรือ? สมองของแต่ละคนมีแต่เรื่องแต่งภรรยาน้อยเข้าบ้านหรือไง?”
เมื่อเริ่นหลี่เจิ้งได้ยินคำด่านี้ก็แกล้งป่วยต่อไปไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมานั่งบนตั่ง
และได้ยินลูกสะใภ้ใหญ่กำลังด่าทออยู่ในห้องโถง นางพูดถึงเรื่องถูกตัดหัว เริ่นหลี่เจิ้งก็รู้สึกหวาดกลัวและโกรธจนหน้าแดง โมโหจนไอคอกแค่ก
เขาจะเป็นอย่างไร ก็มีสถานะเป็นพ่อสามี มีสะใภ้ที่ไหนที่กล้าชี้นิ้วด่าบรรพบุรุษเยี่ยงนี้
บุตรสาวจวนโหวอะไร พูดออกมามีแต่คำหยาบคาย ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่
ผู้หญิงแบบนี้ ถ้านางไม่ได้เกิดในตระกูลของจวนโหว เขาจะให้ลูกชายคนโตทำเรื่องหย่าแน่นอน
เซี่ยเหวินฮุ่ยด่าเริ่นหลี่เจิ้งจนต้องออกจากบ้าน นางถึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบกินเหมือนเป็นการพักชั่วคราว
ด้านริมฝั่งแม่น้ำ
เริ่นจื่อเซิงวางแผนให้เริ่นจื่อจิ่วกับเริ่นจื่อเฮ่านำขบวน ให้นำรถขนข้าวสารเดินเส้นทางอ้อมไปส่งก่อน
เริ่นจื่อเซิงคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เย็นนี้ข้าวสารจะต้องถูกนำไปส่งให้ถึงก่อน
เมื่อข้าวสารถูกขนลงจากรถแล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องรับ ไม่รับก็ต้องรับ
ในเมื่อรับแล้ว ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพ่อของเขาทุจริตเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ได้ ถ้าจะพูดก็พูดได้เพียงเริ่นหลี่เจิ้งช่วยพวกเขานำเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ส่งมาให้ช้าหน่อย ช้าแค่หนึ่งคืนเท่านั้นเอง
ช้าเพียงหนึ่งคืน ระยะเวลาระหว่างทางขนส่งสามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้มากมาย
ถ้าช้าไปหนึ่งถึงสองเดือนแล้วเรื่องนี้ถูกเปิดเผย นั่นก็?
เฮ้อ ยังดีแค่ผ่านไปแค่หนึ่งวันกับอีกครึ่งวัน
เริ่นจื่อเซิงหันกลับมาบอกกับคนในหมู่บ้าน ไม่ปิดบังแต่พูดความจริงไม่หมด และบอกกับพวกเขาว่าอยากข้ามไปฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ใครมีแพบ้าง?
มีคนตอบกลับมา ตั้งแต่มีสะพาน ใครยังจะใช้แพไม้ พวกมันถูกนำไปเผาไฟหมดแล้ว
มีบางคนบอกว่าบ้านของข้ามีแพ แต่ผุพังมากเพราะไม่ได้ใช้มาสองปีแล้ว กลัวว่าจะรั่ว จะเอาหรือไม่?
ในตอนนี้ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมีสามคนปรากฎตัวขึ้น ในมือแบกแพที่มีน้ำหนัก
ซ่งฝูกุ้ยพาลูกชายสองคนของเขาต้าเหนียนกับเอ้อร์เหนียนและนำแพไม้ที่เพิ่งทำเสร็จแล้วแบกมาที่ริมแม่น้ำ
ท่านลุงซ่งสั่งกำชับไว้ พวกซ่งฝูเซิงยังไม่กลับมา อีกสักพักพวกเขากลับมา แต่ไม่มีสะพานแล้ว พวกเขาจะกลับมาได้อย่างไร?
ดังนั้นซ่งฝูสี่ได้วางงานทั้งหมดที่ทำอยู่ในมือลง รีบทำแพไม้ขึ้นมา โดยมีชายร่างกายแข็งแรงกำยำสิบกว่าคนช่วยกันทำ ใช้เวลาสักพักในการทำถึงมาต่อกันเป็นแพไม้ออกมาใช้ได้ชั่วคราวก่อน
หลังจากนั้นก็ให้ซ่งฝูกุ้ยไปรอครอบครัวของฝูเซิงอยู่ที่ริมน้ำ ถ้าเห็นซ่งฝูเซิงมาถึงแล้วก็พายไปฝั่งตรงข้ามเพื่อรับกลับมา
ผู้ติดตามเริ่นจื่อเซิงเห็นดังนั้นจึงรีบโบกมือและตะโกนเรียก “นี่ สหาย!”