ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 195
กัวปาทั้งหมดใช้กระทะใบใหญ่หุง หลังจากหุงข้าวเสร็จก็ตักข้าวทั้งหมดออกมา ข้าวที่เหลือติดก้นกระทะแน่นจะต้องใช้เกรียงค่อยๆ เลาะออกมา มันจะออกมาเป็นแผ่นเกรียมๆ เรียกว่า กัวปา
หม้อหุงข้าวในยุคปัจจุบันข้าวไม่ติดก้นหม้อแล้ว เมื่อหุงข้าวจึงไม่เหลือกัวปา ถึงอยากทำกัวปาก็ทำไม่ได้
ในความทรงจำของซ่งฝูหลิง กัวปากับเนื้อแผ่นกลิ่นหอมๆ ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
ตอนนั้นพ่อของนางเป็นเชฟอยู่หลายปี เขาตั้งใจทำกัวปาและตอนนางยังเป็นเด็กอยู่บ้านหลังเล็ก ก็ใช้กระทะใหญ่ทำกัวปา
แต่ในตอนหลังมีโอกาสได้กินน้อยลง
นางหวนรำลึกถึงอดีต นางไม่สนใจท่านย่าหม่าที่ถลึงตาใส่ ตอนนี้นางหยิบมันกินไปแล้ว
เฉียนหมี่โซ่วเห็นพี่สาวกินกัวปาเขาก็อยากกินด้วย
ในความรู้สึกของเด็กน้อย รู้สึกว่าพี่สาวฉลาดที่สุดแล้ว สิ่งที่นางกินจะต้องอร่อยที่สุดแน่อีกอย่างเขาก็ไม่เคยกินกัวปา
ที่ผ่านมาเขามีคนคอยป้อนอาหารให้กินทุกมื้อ เขาเป็นคุณชายน้อยในตระกูลที่มีฐานะ หลายเดือนที่ผ่านมานี้เขาต้องทนลำบากมาไม่น้อย
เฉียนหมี่โซ่วก็ไม่ได้อยากกินข้าวสวย เขากลับสนใจกัวปาเพราะไม่เคยกินมาก่อน
เฉียนเพ่ยอิงเหลือบตามองพวกเขาแล้วก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสองอีก เพียงแต่ให้ซ่งฝูหลิงช่วยดูแลหมี่โซ่ว อย่าให้กินเยอะเกินไป เขายังเป็นเด็ก กลัวว่าอาหารจะไม่ย่อย ความหมายคือกินแค่คำสองคำก็พอ แล้วเปลี่ยนมากินข้าวสวยแทนเถอะ
ซ่งฝูเซิงตักข้าวของตัวเอง เขาก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสอง เขาราดน้ำซุปผักกาดขาวลงบนข้าวสวย เขาหาที่นั่งบนก้อนหินใหญ่ กินข้าวและฟังท่านลุงซ่งกับเกาถูฮู่รายงานเรื่องบัญชีกับเขา
เมื่อคนเป็นพ่อแม่ไม่สนใจ แต่คนอื่นเห็นซ่งฝูหลิงกินแบบนั้นก็รู้สึกรับไม่ได้
พวกเขาคิดว่าเด็กจะรู้เรื่องแล้ว
จะปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวของซ่งฝูเซิงกินแบบนั้นได้อย่างไร มันไม่สมควร
ไม่มีซ่งฝูเซิงก็คงจะไม่มีพวกเขาในวันนี้ ใครจะอดกินข้าวมื้อหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่จะให้ลูกสาวของซ่งฝูเซิงอดข้าวไม่ได้
ซ่งฝูหลิงกลับคิดว่ากัวปานั้นอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ นางหัวเราะพร้อมกับปฏิเสธ “ท่านยายหวัง ข้าไม่เอา ข้าอยากกินสิ่งนี้จริงๆ”
“ท่านย่าใหญ่ ข้าไม่เอาจริงๆ ท่านรีบกินเถอะ”
“ท่านลุงกัว ไม่เอา ข้าไม่เอาจริงๆ…”
ใครมาตักข้าวก็จะพยายามเอาข้าวสวยของตนเองมาให้พั่งยา พั่งยาทำไรไม่ได้ นางจึง ออกมาจากห้องครัวที่อบอุ่น และพาหมี่โซ่วนั่งกินกัวปาตรงมุมกำแพงด้านนอก
ทุกคนไม่เข้าใจเป็นอย่างมากและไม่มีทางเข้าใจได้
นั่นยิ่งทำให้ท่านย่าหม่าโกรธมาก นางมองค้อนซ่งฝูหลิง นางรู้สึกเสียเปรียบ คนอื่นต่างกินข้าวสวย แต่ทำไมหลานสาวคนเล็กของตนเองต้องกินกัวปา หลานสาวกลับเต็มใจที่จะเสียเปรียบ เจ้าลองพูดมาสิ? อย่างนี้เรียกว่าคนโง่ไหม
ท่านย่าหม่าโมโหจนพูดตำหนิพั่งยา “เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข กลับไม่รับรู้ถึงความสุขว่าเป็นเยี่ยงไร เจ้าลองฟังทุกคนพูดสิ”
ซ่งฝูหลิงยิ้มให้ท่านย่าอย่างอารมณ์ดี “อืม”
ท่านย่าหม่า “…”
ซ่งฝูกุ้ยตักข้าวสวยใส่ถ้วยไม้จนพูน เขานั่งลงบนกระดานไม้ที่ผุพัง ยังไม่ทันขยับตะเกียบก็ถามขึ้นมาก่อน “ข้าวสวยมีรสชาติอย่างไร”
“ฝูกุ้ยไม่เคยกิน? มื้อเดียวก็ไม่เคยกิน?”
ซ่งฝูกุ้ยบอกว่าไม่เคยกิน ตระกูลของเขาทั้งแปดชั่วอายุคนต่างก็มีฐานะยากจนกันหมด จนรู้สึกแปลกใจ ครอบครัวของเขาไม่มีรุ่นไหนที่จะสามารถพลิกชีวิตขึ้นมาใหม่ได้…
…ถ้าเป็นครอบครัวอื่นอาจจะมีบางรุ่นที่มีคนมีอนาคตไกล แต่ครอบครัวของเขากลับไม่มี…
…ดังนั้นที่ดินของบรรพบุรุษทั้งแปดรุ่นที่ทิ้งไว้ให้ เมื่อมาถึงรุ่นเขาก็ยังคงมีที่ดินเท่าเดิม ลูกหลานก็มากมาย ไม่ใช่พวกเขาไม่ตั้งใจทำงาน แต่ถึงจะทำงานอย่างไร ก็ไม่พอกิน จะสามารถกินข้าวสวยได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยกินเลยสักครั้ง
เขาพูดเสร็จก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะตักข้าวสวยกิน ทันใดนั้นสายตาเขาก็เปร่งประกาย “โอ้ว…แม่เจ้า…หอมมากเลย” เขารีบเรียกลูกชายคนเล็กของเขา “เนียนปามานี่สิ พ่อจะแบ่งข้าวสวยให้เจ้า”
เกาถูฮู่รีบเข้าไปห้าม “เจ้ากินของเจ้าเถิด ในหม้อยังมีอีกเยอะ พอกิน อีกอย่างเสี่ยวเนียนปาก็เคยกินแล้ว อาศัยพั่งยาถึงได้กิน เจ้ากินของเจ้าไปเถอะ อย่าลืมจดจำรสชาติว่าเป็นอย่างไร”
ทำให้ทุกคนหัวเราะกันอย่างครื้นเครงขึ้นมา
หลังจากเสียงหัวเราะหยุดลง ไม่เพียงแค่ซ่งฝูกุ้ยถอนหายใจ ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้กินข้าวสวยมาหลายปีแล้ว
ซ่งฝูหลิงได้ยิน นางก็หยุดแทะกัวปาทันที
ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติ ยามอากาศร้อน ข้าวที่หุงไว้เกิดบูดเน่าขึ้นมาก็ต้องเททิ้ง แต่ที่นี่กลับเป็นความทรงจำที่มีค่าของคนอีกหลายคน
หญิงแต่งงานแล้วหลายคนบอกว่า “ตอนเด็กป่วยเคยกินข้าวต้มแค่ครั้งสองครั้ง ไม่เคยกินข้าวสวยมาก่อน เพราะพ่อแม่ต้องเก็บไว้ให้น้องชายกับพี่ชาย ช่วงปีใหม่ก็หุงข้าวสวยให้เด็ก ผู้ชายกินเท่านั้น”
มีชายหลายคนออกความคิดเห็น “ตอนเป็นเด็กเคยกินสองถึงสามครั้งตอนปีใหม่ แต่ข้าวก็ไม่ได้ดีแบบนี้ ข้าวที่หุงออกมาไม่ได้เป็นเม็ดๆ แต่เป็นเศษข้าวที่หัก”
พวกท่านยายที่สูงวัยทั้งหลายก็รีบตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าวสารดีๆ ก็ต้องนำออก ไปขาย”
พวกผู้ชายต่างหัวเราะและหันไปมองลูกของตนเองพลางพูดขึ้น “ตอนเป็นเด็กใช้ชีวิตดีที่สุด ตอนเป็นเด็กพวกเขายังสามารถกินข้าวสวยได้หลายครั้ง พอโตขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ต้องเก็บไว้ให้ลูกตัวเองได้กิน”
พวกหูจือ ต้าหลังได้ยินคำพูดนี้ก็พูดออกมาตามตรง “ใช่ ท่านพ่อออกไปทำงานก็นำเงินไปแลกเป็นข้าวกลับมาให้พวกเรากิน ท่านพ่อก็ไม่ได้กิน”
แต่ละรุ่นก็หมุนเวียนกันไปแบบนี้
บางทีพวกหูจือกับต้าหลังแต่งงานแล้ว ก็อาจจะไม่ได้กินข้าวสวยอีก ต้องเก็บไว้ให้ลูกของตนเอง
ไม่สิ พวกหูจือกับต้าหลังทำไมจะกินข้าวสวยไม่ได้ เพราะชะตาชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้พวกเขามีลุงสามปรากฏตัวเข้ามาในชีวิต
ซ่งฝูเซิงหัวเราะและพูดขึ้น “ต่อไปพวกเราจะต้องขยันทำงานเพื่อจะได้กินข้าวสวยอย่างนี้ทุกมื้อ”
กินทุกมื้อหรือ?
“อืม อย่างน้อยหากพวกเรากินแบบนี้ครึ่งปี ก็น่าจะกินข้าวสวยหนึ่งมื้อได้ทุกวันได้ใช่หรือไม่?” ซ่งฝูเซิงถามท่านลุงซ่งกับหนิวจั่งกุ้ยที่เป็นคนดูแลบัญชี ดูจากปริมาณน้ำหนักข้าวที่ชั่งแล้วน่าจะคาด คะเนได้
ท่านลุงซ่งทราบจำนวนดี แต่เขากลับคิดว่าจะนำข้าวสารพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นข้าว เปลือกในเมือง พวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนา มีฐานะอะไรถึงต้องกินดี ดังนั้นเขาถึงไม่ตอบ ได้แต่มองซ่งฝูเซิงด้วยความลังเลใจ
หนิวจั่งกุ้ยตอบกลับอย่างไม่ลังเล เขายิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ขอรับ นายท่าน ถ้านับจำนวนดูแล้วยังเหลือข้าวสารอีกเยอะ วันนี้พวกเขาขนมามีข้าวสารขาวยี่สิบเอ็ดตั้นกับเส้นหมี่สิบหกตั้น”
ซ่งฝูหลิงที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินก็ถึงกับตาโต เรื่องซื้อเสบียงอาหารนางเป็นคนรับผิดชอบ นางรู้ว่าข้าวสารหนึ่งตั้นมีน้ำหนักกี่จิน เส้นหมี่หนึ่งตั้นมีน้ำหนักกี่จิน
นางรีบคิดคำนวณในใจทันที ยี่สิบเอ็ดตั้นคือสองพันหกร้อยจินโดยประมาณ เส้นหมี่สิบหกตั้นก็เท่ากับสองพันสามร้อยจินโดยประมาณ อืม คนพวกนั้นให้เสบียงอาหารสี่พันเก้าร้อยจินกับพวกเราต่อหนึ่งเดือน? รวยแล้ว เทียบเท่ากับคนพวกนั้นให้เสบียงอาหารกับพวกเขาต้องใช้เงินถึงสามสิบเจ็ดตำลึง
ซ่งฝูเซิงหัวเราะออกมา เขาถามทุกคนว่า “ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม? ครึ่งปีต่อจากนี้ทุกวัน พวกเราจะกินเส้นหมี่และหมั่นโถว หรือไม่ก็กินข้าวสวยหนึ่งมื้อ ต่อไปพวกเจ้าต้องลืมเรื่องทุกข์ยากที่เคยผ่านมาไปเสีย…
…ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราจะใช้ชีวิตไม่เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา”
ทุกคนถึงกับตกตะลึง
พวกเขาแบกกระสอบเสบียงอาหารไปเก็บไว้ในห้อง แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้
นี่แสดงว่าต่อไปนี้การกินข้าวไม่ขัดสีจะกลายเป็น “อาหารสำรอง”? และการกินข้าวสวยกลายเป็นเรื่องปกติ?
“แม่เจ้า! ฝูเซิง ทุกเดือนสามารถทำแบบนี้ได้จริงหรือ? เจ้าแน่ใจไหม?”
แต่ละคนไม่อาจนิ่งเฉยได้
ซ่งฝูเซิงบอกว่า “ได้สิ เขาไปหลอกเอามา”
สามารถหลอกคนได้สำเร็จ ข้อหนึ่ง ต้องขอบคุณหมี่โซ่ว
ซ่งฝูเซิงกวักมือเรียกเฉียนหมี่โซ่วมากอดไว้แนบอกแล้วพูดขึ้น “เด็กคนนี้เป็นเด็กที่สวรรค์คอยดู”
เดิมทีเฉียนหมี่โซ่วกำลังกินกัวปาอยู่ แต่ถูกท่านลุงเรียกมากอดในอ้อมอก ทำให้เขาสำลักจนหน้าแดง
ซ่งฝูเซิงเอามือตบหลังหมี่โซ่วเบาๆ แล้วบอกกับทุกคนว่า “พวกเราสี่คนเข้าไปในเมือง พวกข้าทั้งสามคนไม่มีใครพบเห็น มีแต่เขาที่เห็นท่านแม่ทัพเล็กและยังได้พูดคุยกัน นอกจากนี้ยังนำเรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ที่พวกเราไม่รู้เรื่องพูดออกมาด้วย”
ดังนั้น
ข้อสอง ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพเล็ก
ท่านแม่ทัพเล็กเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา จากนั้นเขาก็พูดถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้อีกรอบ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งฝูเซิงอธิบายเรื่องราวอย่างชัดเจนให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ พวกเรามีเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ แต่เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ทั้งหมดเป็นข้าวไม่ขัดสี
คำนวณข้าวไม่ขัดสีที่ได้รับ ผู้สูงอายุ เด็ก คนวัยทำงานจะได้รับไม่เท่ากัน แต่นำมารวม กันแล้วทุกเดือนจะได้ประมาณยี่สิบตั้น มีไม่มากเท่าไหร่ ถ้าแบ่งให้ทุกคนเท่ากันก็ยังไม่พอกิน พวกเรายังต้องซื้อเสบียงอาหารเองบางส่วน ทางการจะแจกให้แค่หกเดือน
แต่ว่ามูลค่าของเสบียงอาหารสิบกว่าตำลึงที่ได้รับจากทางการถูกหลี่เจิ้งของหมู่บ้านเหรินจยาขนไป ขนไปไว้ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้
ถ้าไม่ได้พบกับท่านแม่ทัพเล็กโดยบังเอิญ พวกเราก็คงต้องยอมรับในชะตากรรมชั่วคราว เอากลับมาไม่ได้ เอากลับมาไม่ได้แน่นอนเพราะเขาไม่ยอมรับ นอกจากจะไปร้องเรียนกับศาล
การไปร้องเรียนเป็นเรื่องยาก ใครไปร้องเรียนจะต้องถูกโบยสามสิบไม้ โบยเสร็จขุนนางถึงจะรับเรื่องร้องเรียนนั้น เป็นลูกชายคนโตของหลี่เจิ้ง คนที่มาในวันนี้เริ่นจื่อเซิงเป็นลูกเขยของจวนโหว และทำงานรับราชการอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียน หากพวกเราร้องเรียนคิดว่าจะชนะไหม? เขามี ความสัมพันธ์อันดีกับนายอำเภอถงเหยา
ซ่งฝูเซิงพูดถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเริ่นหลี่เจิ้งอีกรอบ
เป้าหมายของเขาที่พูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่ต้องการให้ทุกคนรู้สึกเสียใจ แต่อยากให้ทุกคนทำใจ อย่าคิดว่าครั้งนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว นั่นเป็นแค่ความโชคดีของพวกเราเท่านั้น
อยากให้ขุนนางเห็นแก่ประชาชนเป็นหลัก ให้ความเสมอภาคกับทุกคน แต่มันเป็นเรื่องยาก พวกเราทำสำเร็จได้เพราะท่านแม่ทัพเล็ก ไม่ใช่เพราะพวกเรามีเหตุผลแล้วชนะ นี่คือสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
ท่านลุงซ่งสูบไปป์จีนพ่นควันออกมา เขาหรี่ตา เรื่องราวเป็นอย่างนี้นี่เอง
เมื่อวานเขาฟังฝูเซิงพูดหลายประโยค แต่รายละเอียดไม่ชัดเจน วันนี้เพิ่งจะเข้าใจอย่างถ่องแท้
ท่านลุงซ่งคิดในใจ ท่านแม่ทัพเล็กไม่ได้เป็นเพียงแค่ท่านแม่ทัพเล็กอีกแล้ว แต่เป็นคุณชายของจวนกั๋วกง ถ้างั้นจะเจรจากับฝูเซิงดีหรือไม่ ถ้าปลูกกุยช่ายสำเร็จจะส่งไปที่จวนกั๋วกงบางส่วน เฮ้อพวกเขาจะรับหรือไม่? พวกเราทำได้เพียงส่งสิ่งที่พวกเราปลูกไปให้บางส่วน กุยช่ายน่าจะเป็นของที่หายากใช่หรือไม่?
เมื่อทุกคนฟังแล้ว ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างกันออกไป
บางคนก็รู้สึกเหมือนท่านลุงซ่ง รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ ท่านแม่ทัพเล็กช่วยพวกเรามาหลายครั้ง พวกเราไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร มีแม่เฒ่าหลายคนบอกว่าจะทำป้ายสักการะให้ท่านแม่ทัพเพื่อเป็นการขอบคุณ คอยกราบไหว้ก็ถือว่าไม่ได้มากมายจนเกินไป
บางคนก็สมองไวดังเช่นซ่งฝูหลิงที่ชอบคิดบัญชี นางรีบถามกลับมา
“หลี่เจิ้งผีแก่นั่น หน้าไม่อาย เขาเอาเสบียงอาหารของพวกเราไปยี่สิบตั้น ผลสุดท้ายก็เหมือนโยนหินใส่เท้าตนเอง เขาต้องหาเสบียงอาหารคืนพวกเราสามสิบเจ็ดตั้น เขาอยากจะเอาเปรียบพวกเราทุกเดือนสิบกว่าตำลึง สุดท้ายทุกเดือนเขาจะต้องส่งเสบียงอาหารให้พวกเรา ถ้าเทียบเป็นเงินก็ประมาณสามสิบเจ็ดตำลึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
บางคนก็อ้าปากด่าอย่างเดียว ข้าวไม่กินแล้ว ตั้งหน้าตั้งตากัดฟันด่า
โดยมีท่านย่าหม่าเป็นแกนนำ
ด่าเมื่อครู่ทำไมสายฟ้าไม่ผ่าลงมาบ้าง หลี่เจิ้งนั่นก็ไม่รู้สึกสำนึก คนหน้าหนา ยังกล้านั่งบนตั่งที่บ้านของพวกเราอีก
ถ้าตอนนั้นรู้ก็จะเข้าไปข่วนเขา นี่ยังให้เสื่อเอาไว้ห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นอีก? น่าจับเขาแก้ผ้าแล้วโยนลงแม่น้ำให้แข็งตายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำเลย
เมื่อพูดถึงแม่น้ำ แม่เฒ่าทั้งหลายก็ด่าทอกันต่างๆ นาๆ “ไม่ควรช่วยพวกเขาขึ้นมาเลย น่าปล่อยให้จมน้ำตายอยู่ตรงนั้น ให้สวรรค์เอาพวกเขากลับไป แม้แต่เทพแห่งสายน้ำก็คงรู้ว่าพวกเขาทำความผิด แพไม้ถึงได้พลิกคว่ำ”
มีคนสงบสติอารมณ์ได้ “ไม่ได้สิ อย่าให้พวกเขาตายในแม่น้ำ ถ้าเจอพวกเราแล้วตายไป พวกเราจะพลอยซวยไปด้วย”
หมี่โซ่วรู้สึกมึนงงมาก เขากระพริบตา
เขาใช้มือปิดหูไว้แน่น แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดเข้ามา และยังจดจำคำด่าเหล่านั้นได้
แต่พี่สาวกับท่านแม่ทัพเล็กบอกไม่ให้เขาเรียนรู้คำด่านี่นา
เขาควรทำอย่างไรดี ไม่รู้จะทำอะไรได้