ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 20 ควายตัวเดียวจะนำไปสู่การฆาตกรรม
ครานี้เหล่าหนิวรู้สึกหนักใจมาก เกรงว่าคุณหนูของเขาจะถูกฟ้องหย่าในไม่ช้า เพราะว่าไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
เขาก็รู้สึกงุนงงอย่างมาก หรือเป็นเพราะว่าท่านเฉียน คุณชาย ฮูหยินน้อยเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน ตระกูลเฉียนเหลือเพียงแค่คุณหนูคนเดียว ทำให้คุณหนูได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนักถึงทำอะไรเต็มที่ตามอารมณ์?
ได้ยินซ่งฝูเซิงเข้าไปในรถเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม”
เหล่าหนิวถอนหายใจ ซื่อจ้วงที่นั่งอยู่ข้างเขาก็โล่งใจ สบายใจขึ้น
เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาตอบกลับ “เจ้าว่ามาสิ ตกใจแทบตายอยู่แล้ว และยิ่งกลัวว่าจะโดนปล้น กลัวว่ารถจะคว่ำ ยังมีไข่พะโล้ในกระทะนั้นอีก ดีที่ดับไฟไปก่อนเลยไม่ร้อนมาก มันหกลงมาใส่ตัวข้าหมดเลยเนี่ย”
พูดจบก็ไม่ได้ตรวจดูตนเอง รีบดึงเฉียนหมี่โซ่วมาก่อน นางเช็ดซีอิ๊วสีออกแดงบนหน้าผากของเฉียนหมี่โซ่ว เช็ดไปก็เอ่ยไป
“ข้าให้เจ้าอยู่ห่างๆ ออกไปหน่อยเจ้าก็ไม่ฟัง เป็นอย่างไรล่ะ เจ็บละสิ ครั้งนี้จะได้จำไว้…
…รอพวกญาติของลุงเจ้ามาแล้ว คนก็เยอะขึ้นไปอีก เวลากินข้าวถ้าไม่แย่งก็ไม่ได้…
…เจ้าต้องจำไว้ว่า ต่อไปไม่ว่าพี่สาวของเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าก็ต้องอยู่ที่นั่น นางสายตาดี คงไม่ถูกเอาเปรียบ เจ้าก็จะพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย”
เฉียนหมี่โซ่ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ๆ ขอบตาเขาก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาทันที แอบร้องไห้อย่างเงียบๆ กอดเอวของเฉียนเพ่ยอิง หัวซุกเข้าสู่อ้อมอกของเฉียนเพ่ยอิง
เด็กน้อยนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจและซาบซึ้ง ตอนที่หม้อตะแคงล้มจะมาโดนร่างของเขา ท่านป้าไม่สนใจสิ่งใด รีบเอาตัวเข้าบังด้านหน้า ดึงเขาเข้าสู่อ้อมกอดเพื่อปกป้อง
เขาคิดว่าท่านป้าจะทำดีกับพี่สาวแตกต่างกับเวลาดีต่อเขาเสียอีก
แต่เฉียนเพ่ยอิงคิดว่าเด็กน้อยตกใจกลัว นางจึงตบหลังปลอบประโลม ปากก็เอ่ยคำตำหนิ
“เจ้าดูสิ ในรถคันนี้กระจัดกระจายไปหมด พวกฉีจื่อไคว่ต่างก็สกปรกหมดแล้ว พวกเจ้าลองดมกลิ่นไข่พะโล้บนร่างของข้านี่ ตอนนี้ไม่ต้องแอบแล้ว แค่ได้กลิ่นข้าก็รู้ว่ากำลังทำไข่พะโล้อยู่ รอจนเสื้อผ้าแห้งแล้ว นี่เดี๋ยวคงมีแมลงวันมาตอมอีก”
ซ่งฝูหลิงกำลังเก็บสิ่งของอยู่บนรถ เมื่อฟังแม่ของนางพูดเช่นนี้จึงก้มหน้าและกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ตอนหัวเราะก็ไม่กล้าส่งเสียง เลยดูเหมือนร้องไห้จนไหล่สั่นเทา
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกำลังเก็บของก็เอ่ยถามบุตรสาวเสียงเบา “ลูกรัก เมล็ดล่ะ”
“เมล็ดอะไร”
ชิ เด็กคนนี้ ตอนเขาออกจากพื้นที่พิเศษ ยังนำ 21จินเหวยทา และเลือกเชอร์รี่ลูกใหญ่สองลูกมาให้
จินเหวยทาถูกโยนเก็บไว้ในกระเป๋าแล้ว วางแผนไว้ว่าตลอดการเดินทางจะให้ภรรยาและเด็กๆ กินวันละหนึ่งเม็ดตอนอยู่ในรถคันนี้ เขาคิดว่าให้บุตรสาวไปแล้ว
“อ๊าห์” ซ่งฝูหลิงเพิ่งเข้าใจ นางพูดกระซิบกับพ่อของนาง คนพวกนั้นช่างไร้คุณธรรม ท่านแม่ควรด่าทอหลายประโยคหน่อย
เพราะตอนนั้นนางกำลังแอบกินเชอร์รี่ แล้วก็เสียดายที่ไม่ได้เคี้ยวจนละเอียด อมนิ่งๆ ไว้เกือบครึ่งวัน อมจนนิ่มแล้ว พอตอนเคี้ยวยังไม่ทันลิ้มรสชาติเปรี้ยวหวาน รถลากเทียมลาก็เริ่มเลี้ยวไปมาพร้อมกับร้องเสียงดัง ทำให้นางถึงกับตกใจกลืนเข้าไปจนหมดทั้งลูก
“เฮ้อ ช่างเถอะ” ซ่งฝูเซิงถอนใจ
“ทำไมหรือ?”
“ข้ากำลังคิดหาวิธีเก็บเมล็ดไว้”
หากเป็นเมื่อก่อน หยิบเชอร์รี่มาหนึ่งถาด กินไปดูโทรทัศน์ไปไม่สนใจ ตอนนี้กินเชอร์รี่ยังต้องเก็บเมล็ดไว้ มันเหนือการคาดการณ์ของซ่งฝูหลิงมาก คาดไม่ถึงและตอบสนองไม่ทัน แต่ละคนต้องรู้จักปรับตัวกับการใช้ชีวิตจริงๆ
นางยื่นมือล้วงเข้าไปในกระโปรง เอ๊ะ? ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวว่า ต่อไปจะซ่อนสิ่งของก็คงไม่สามารถซ่อนในกระเป๋ากางเกงข้างในได้ เพราะหากคนภายนอกเห็นเป็นหญิงสาวแล้วยังยื่นมือเข้าไปในกางเกง มันคงจะดูไม่น่ามอง
ใช้แขนสะกิดพ่อของนาง เมื่อซ่งฝูเซิงหันกลับมามอง นางอาศัยจังหวะใช้มือหนึ่งส่งกลับไป นำลูกเชอร์รี่สุดท้ายที่เหลืออยู่ยัดเข้าไปในปากของพ่อนาง
แต่ซ่งฝูหลิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าพ่อของนางจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วฉับไว รีบนำเชอร์รี่คายออกไว้บนมือ แล้วรีบยัดใส่ปากเฉียนเพ่ยอิงที่กำลังบ่นพึมพำ
เฉียนเพ่ยอิงรีบอ้าปากและแน่นิ่งไปสักพัก ก่อนจะคายออกมา นางจับศีรษะเฉียนหมี่โซ่วที่อยู่ในอ้อมกอดเงยขึ้นมา แล้วรีบยัดใส่ปากเด็กน้อย และยังบอกให้เงียบ
ซ่งฝูหลิงปิดตา ไม่กล้ามอง
ช่างอนาถใจ แค่เชอร์รี่ลูกหนึ่ง ผ่านปากมาสองคนยังเสียดายไม่กล้ากิน
น่าคลื่นไส้ เชอร์รี่หนึ่งลูกเปื้อนน้ำลายถึงสามคน
มาถึงขนาดนี้แล้ว พ่อของนางยังยื่นมือไปใต้คางของเฉียนหมี่โซ่วเพื่อรอคอย “เมล็ดนั้นกินไม่ได้ มา คายมาที่มือลุง”
ซ่งฝูหลิงรีบกระซิบสอบถามพ่อของนาง “ท่านพ่อ ท่านคิดได้อย่างไร เข้าไปทั้งทีกลับนำผลไม้มาแค่สองลูก ท่านน่าจะเอามาเยอะหน่อยนะ”
“เอามาเยอะก็ซ่อนไม่หมด แบ่งให้ทุกคน? เจ้าโง่รึเปล่า สองลูกพอแล้ว เจ้าคนหนึ่ง แม่เจ้าคนหนึ่งเอาไว้กินเพื่อลิ้มรสชาติหวานๆ”
“หมี่โซ่วล่ะ”
“ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเขา”
“ตัวท่านเองล่ะ”
ครั้งนี้ซ่งฝูเซิงกระซิบข้างหูบุตรสาว “ตอนข้าเข้าไปข้างใน ข้ากินแอปเปิ้ลไปลูกหนึ่ง ในพื้นที่พิเศษสามารถรักษาความสดได้ เมล็ดแอปเปิ้ลก็ไม่ได้ทิ้ง เจ้าวางใจเถอะ อย่าเป็นห่วงข้า”
ซ่งฝูหลิงอิจฉา เลยไม่สนใจพ่อของนางเกือบครึ่งวัน
…
ยามตะวันตกดิน นกอินทรีโบยบินบนท้องฟ้า ทิวทัศน์แม่น้ำเจียงหลังจากฝนตก มองดูเหมือนแม่น้ำเชื่อมต่อกับขอบฟ้า รถลากเทียมล่อวิ่งเร็ว สองทุ่มกว่าจึงถึงหมู่บ้านต้าจิ่งชุน
ซ่งฝูเซิงคิดว่าเย็นขนาดนี้แล้ว ในหมู่บ้านคงเงียบสงัดมาก
เพราะตอนกลางวันทุกคนต่างก็ยุ่งกับการเก็บเกี่ยวพืชผลในฤดูใบไม้ร่วง ตอนเย็น หากนอนดึกจะทำให้หิวและเปลืองอาหารไปอีก โดยปกติ พอเวลาเริ่มมืด ทุกคนก็จะนอนหลับกันแล้ว
ไม่คาดคิดว่าแค่เข้าหมู่บ้านมาก็กลับได้ยินเสียงด่าทอของท่านแม่ของเขาดังขึ้น มีเสียงคนด่าตามด้วยเสียงหมาในหมู่บ้านเห่า ตลอดจนพวกเพื่อนบ้านจุดไฟ ยืนพูดไกล่เกลี่ยอยู่ด้านนอก ดูอึกทึกกันเป็นอย่างมาก
“ทุกคนให้ความเป็นธรรมหน่อย เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่คนนอก พี่น้องแท้ๆ ไม่เคยเห็นใครใจดำเช่นนี้ วันนี้ข้าจะพูดคุยเหตุผลกับพวกเขา ข้าอัดอั้นตันใจ หากอดกลั้นอีกไม่ได้ ข้าก็คงเผาบ้านเขาไปแล้ว”
หญิงชราคนหนึ่งเช็ดน้ำตาด้วยความน้อยใจ แต่น้ำเสียงก็ไม่ได้เบาลง
น้องสะใภ้ ตอนที่ยังไม่ได้แยกบ้าน เสี่ยวซูป่วยมาหลายปีต้องจัดยา พวกเรายังไม่พูดอะไร…
…ตอนหลังมาแยกบ้าน ท่านพ่อของสามีข้าก็บอกว่า เขาต้องช่วยเหลือเจ้าทำงานมากหน่อย บอกว่าเสี่ยวซูร่างกายไม่ดี ต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ…
…เมื่อเสี่ยวซูไม่อยู่แล้ว ฝูเซิงบ้านเจ้าก็ต้องไปสอบ พ่อสามีก็ให้ที่ดินไปสองลี้ ทางบ้านยังตัดใจไม่ได้ ยังแอบซับน้ำตา เจ้าพูดออกมาว่า จะเผาบ้านของข้าได้อย่างไรกัน”
“เจ้าผายลม!” แม่ของซ่งฝูเซิงโมโหมาก โกรธจนกระทืบเท้าด่า
“แยกบ้านเจ้า ให้ท่านพ่อเป็นคนแบ่ง เจ้าเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม แบ่งบ้าน แบ่งที่ดิน ไม่ว่าจะแบ่งอะไร พวกเจ้าก็ได้เปรียบตลอด พวกเจ้ายังเสแสร้งเป็นคนดีอีก…
…ยังบอกกับท่านพ่อว่า พ่อของฝูเซิงเสียชีวิตไปก่อน เกรงว่าข้าจะดูแลไม่ได้ แบ่งให้พวกเจ้ามากกว่า หากข้าดูแลได้ พี่น้องก็ไม่ปล่อยให้หลานๆ อดตาย…
…สุดท้ายพื้นที่บ้านก็แบ่งมาได้น้อย ได้ พวกข้ายอมรับแล้ว…
…แต่พอท่านพ่อเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน พวกเจ้าก็รีบจูงควายไป ควายตัวนั้นเป็นของท่านพ่อตอนมีชีวิตอยู่ ท่านนำมาช่วยทำงานบ้านข้า บอกพวกข้าคนน้อย ไม่มีพ่อของฝูเซิงคงลำบาก…
…ตอนนี้ควายอยู่บ้านใครล่ะ เจ้าไปจูงมาให้ข้าสิ!…
…ยังมีคำพูดที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้อีก พวกเจ้าลองสัมผัสใจของพวกเจ้าดู หากลุงใหญ่คำนึงถึงฝูเซิงไปสอบ ปีนั้นทำไมเขาไม่ออกเงินแม้แต่ตำลึงเดียว? ข้าไปยืมที่บ้าน เจ้าก็ร้องไห้ว่ายากจน ตอนนั้นข้ายังโง่เขลานัก เจ้าร้องไห้คร่ำครวญ ข้าก็เกือบนำเงินหลายอีแปะในกระเป๋าให้ไป”
พูดจนจบ นางก็รู้สึกว่าคงจะคุยกับพี่สะใภ้ที่ชอบทำตัวน่าสงสารไม่รู้เรื่อง คนในหมู่บ้านไม่มีใครว่าพี่สะใภ้ไม่ดี นางตะโกนเรียกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ลุงใหญ่ ท่านออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าแอบอยู่หลังภรรยาแล้วแสร้งทำเป็นคนดี…
…วันนี้หากว่าพวกเจ้าพูดเหตุผลออกมาไม่ได้ ข้าจะไม่เผาบ้านแล้ว แต่จะฆ่าควายตัวนี้แทน พวกเราจะได้หมดกังวล”