ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 211-1
ซ่งฝูเซิงไปเจอลูกสาวก้มหน้ามองไปที่ปลายเท้า ในใจรู้สึกแปลกๆ
เรื่องนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่
เขาโกหกต่อหน้าคนอื่น จะไม่โกหกได้อย่างไร การโกหกเรื่องที่ยิ่งใหญ่โดยปกติเขาไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด แต่ต่อหน้าลูกสาว เขาไม่รู้ว่าทำไมไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน
เพื่อให้ทำให้ลูกสาวของเขามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากคิดคำโกหกเล็กๆ ไปจนถึงเป็นร้อยคำโกหกแล้ว และไม่อยากให้ลูกสาวรู้สึกลำบากกับเขา
ซ่งฝูเซิงพาท่านย่าหม่าเดินออกไปนอกบ้าน
และยังเรียกท่านลุงซ่งกับพวก บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา พวกเราเดินไปด้วยคุยไปด้วย
ที่แรกที่ซ่งฝูเซิงไปก็คือ แปลงปลูกพริก
ตอนนี้เป็นระยะเวลาที่ต้นกล้ากำลังงอก ยังไม่โผล่จากดิน
ต้นอ่อนยังอยู่ในเมล็ด นั่นก็คืออยู่ในถาดไม้ ถาดไม้กินพื้นที่ไม่กว้างมาก จึงไม่ต้องกลัวคนอื่นจะมาพบเข้า ถ้าใครไม่สังเกตดีๆ ห้องนี้ก็จะเป็นห้องว่างเปล่า ถึงแม้ว่าลักษณะภายในจะดูแปลกไป กระดาษแก้วที่เอามาคลุมราคาค่อนข้างแพง ถ้าไม่รู้จักเขา คงต้องคิดว่าจะเลียนแบบฝูกุ้ยที่ปลูกดอกไม้ไปขายตลาดข้างนอก
แน่นอนว่าพื้นที่ตรงนี้ต้องระวังไม่ให้ใครมาเจอ ซึ่งไม่ใช่กลัวคนของพวกเรา แต่เขากลัวคนจากนอกหมู่บ้านมาพบเข้า
ซ่งฝูเซิงเดินเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่ดูคือเตาไฟ เขาเดาว่าเฉียนเพ่ยอิงเพิ่มฟืนแล้ว น่าจะเพียงพอที่จะเผาไหม้ไประยะเวลาหนึ่ง เขาจึงไม่เพิ่มฟืนเข้าไปอีก
และใช้มือจับไปที่กำแพงไฟ ความร้อนยังอยู่ในเกณฑ์ดี เขาจึงเปิดผ้าเก่าๆ ปิดประตูและเดินออกไป
ซ่งฝูเซิงบอกท่านลุงซ่งว่า ถ้ากลับไปครั้งนี้จะไปซื้อแม่กุญแจ รอให้เมล็ดพันธุ์โตสักหน่อยโดยเฉพาะถึงตอนที่ได้ผลผลิต คนที่เดินเข้าออกจะต้องมีลูกกุญแจเท่านั้น
ท่านลุงซ่งเห็นด้วยกับความคิดนี้
ใบหน้าของท่านลุงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หน้าบานเหมือนดอกเก๊กฮวย ห้องใต้ดินต้องใส่กุญแจ ถึงจะใส่กุญแจได้ ทุกคนไม่ได้ขาดแคลนเงิน ถ้าใส่กุญแจทั้งหมดจะได้ไม่ต้องกลัวจนและตกใจกลัว ว่าพวกเขาจะมาแอบเรียนรู้เรื่องการปลูก
ในขณะเดียวกัน ท่านลุงรีบถือสมุดบัญชีกับปากกาที่ทำขึ้นเอง ถามซ่งฝูเซิงว่ากุญแจราคาเท่าไหร่ เงินจำนวนนี้ต้องจดลงในบัญชีท่านลุงซ่ง ในใจท่านลุงซ่งไม่ได้มองที่การค้าขายพริกที่ซ่งฝูเซิงมีส่วนแบ่งเจ็ดส่วนในสิบส่วน เขามีส่วนแบ่งส่วนมากกว่า แต่ความเป็นจริงแล้ว ซ่งฝูเซิงมีส่วนแบ่งห้าส่วนและอีกสองส่วนให้หมี่โซ่วเก็บไว้ เพราะตระกูลเฉียนเป็นคนให้เมล็ดพันธุ์พืชแปลกนี้มา ดังนั้นเงินเจ็ดส่วน จึงเป็นส่วนที่เขาขอร้องให้ซ่งฝูเซิงเก็บไว้
ต้องพูดถึงพริกพวกนี้ สุดท้ายจะขายได้เท่าไหร่ ท่านลุงซ่งคิดว่า เป็นคนต้องไม่ทุจริต ต้องไม่เสียความซื่อสัตย์
ซ่งฝูเซิงได้รับส่วนแบ่งเจ็ดส่วน ตอนนี้ยังไม่ประชุมชี้แจง
แต่ความจริงแล้ว ท่านลุงซ่งได้บอกกับทุกคนตั้งนานแล้ว เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ซึ่งท่านลุงซ่งสร้างความเข้าใจโดยพูดออกไปอย่างชัดเจน
จะต้องไม่ให้ครอบครัวซ่งฝูเซิงเสียเปรียบ กระเทียมเหลืองแบ่งออกมาส่วนใหญ่ ทำไมต้องแบ่งให้เท่ากันน่ะหรือ ทุกคนไม่สามารถบอกกับพวกเราว่าจะแบ่งได้หรือไม่ คิดถึงตอนที่เข้ามาในเมืองสิ พวกเขาเคยปล่อยให้พวกเราทุกคนดำเนินชีวิตแบบอดอยากปากแห้งหรือ
ถ้าผลการเจรจาตอนนั้นไม่ได้ข้าวสารมา ท่านลุงคงหมดความหวัง
เพราะไม่มีใครคิดว่าซ่งฝูเซิงได้ส่วนแบ่งเยอะเกินไป ยังมีอีกสิบครอบครัวที่แสดงความคิดเห็นว่า อย่าพูดว่าแค่เจ็ดส่วน ซ่งฝูเซิงจะได้ส่วนแบ่งเก้าส่วนก็ย่อมทำได้ พวกเราแค่ออกแรงทำงาน ได้รับเงินส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของค่าแรงก็น่าจะพอ ในปีนี้ ชีวิตไร้ค่า ทำงานใช้แรงจะมาคิดมากอะไร พวกเราไม่เอาเงินสักเวิน แค่ช่วยงานซ่งฝูเซิง ถึงไม่มีค่าแรงก็สมควรแล้ว
คนที่พูดแบบนี้ได้ก็ต้องเป็นเกาถูฮู่ผู้ที่พูดมากและพูดเก่ง แต่ในวันปกติ เขาจะไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ เขาชอบทำงาน เขาได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสนับสนุน คำพูดนั้นทำให้ลดปัญหาได้เยอะ ใช่ๆๆ ความหมายเป็นอย่างนั้น ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร และความคิดทุกคนเหมือนกัน ถ้าให้ซ่งฝูเซิงทั้งหมดจะทำไม
หัวข้อสนทนาเดิมกลับมาอีกครั้ง สุดท้ายก็คือ ครอบครัวซ่งฝูเซิงหลังจากการซื้อขายพริกจะได้ส่วนแบ่งเจ็ดส่วน ทุกคนในหมู่บ้านนี้จะได้ส่วนแบ่งไปสามส่วน แต่สามส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ทุกคนได้เหมือนกัน เป็นการค้าขายแบบส่วนรวม ท่านลุงซ่งจึงเข้าใจว่าเงินที่เอาไปซื้อกุญแจจะไม่ใช้เงินของซ่งฝูเซิง ท่านลุงซ่งจะไม่ยอมให้เขาเสียเปรียบได้
ซ่งฝูเซิงบอกท่านลุงซ่ง ไม่ใช่กุญแจดอกเดียวแต่เป็นสามดอก เจ้าซื้อทำไมตั้งเยอะแยะ ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่พี่สอง ซ่งฝูสี่ที่กำลังทำกำบังลม
กำบังลม ซ่งฝูเซิงเข้าไปตรวจสอบ ลักษณะคล้ายกับประตูเหล็กดึงขึ้นลงได้ ไม่เลว การสั่งงานพี่รอง
เงินที่เสียไปไม่ได้สูญเปล่าจริงๆ
แต่งานที่สั่งให้ซ่งฝูสี่ทำยิ่งมากขึ้น เขาเหนื่อยจนทนแทบไม่ไหว
เพราะงานที่เข้ามาแทรก แค่ไม้ที่เอามาทำกำบังลมก็เป็นงานแทรกเช่นกัน เวลาทำต้องก้มหน้าทำทั้งสัปดาห์ จากตะวันขึ้นจนตะวันลับฟ้า เหนื่อยจนยืดเอวไม่ได้ มือของเขาเต็มไปด้วยตุ่มพุพอง
ที่สำคัญที่สุด ทุกครั้งที่ซ่งฝูสี่บอกว่าทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ อย่าเสียเวลาทำ
ให้ไปหาคนที่เก่งเฉพาะทางมาทำจะดีกว่า เพราะบางอย่างพวกเราไม่เคยเจอ แต่หลานสาวของเขากลับเอากระดาษหนึ่งแผ่นที่เขียนแบบเรียบร้อยส่งให้เขา อธิบายพร้อมทั้งสั่ง จะหลบก็หลบไม่ได้
ไอ้หยา ยังดีที่มีหลานสาว คิดไม่ถึงว่าจะทำออกมาได้ จะได้ไม่รู้สึกไม่ดีกับน้องสาม แค่ทำงานช่วยเหลือได้ แค่นี้ก็ดีแล้ว
ความรู้สึกในตอนนี้ แสดงให้ทุกคนเห็นว่า การนำกำบังลมปิดแปลงพริกด้านหน้าสุด ถ้าปิดสนิทแล้ว ให้กำบังลมตั้งตรงทั้งสองด้าน เขาตั้งใจให้ไม่เหมือนกับกำบังลมปกติ กำบังลม ของพวกเขาสามารถพับงอได้
งอได้แล้ว ซ่งฝูเซิงตั้งใจชี้ให้ทุกคนเห็นถาดไม้ที่จะทำต่อ
เคยพบหรือไม่ แนบติดกัน สามารถใช้งานได้พอดิบพอดีนี่ เขาคำนวณมาแล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น เจาะรูติดที่ไส่กุญแจ ด้านหนึ่งเป็นกำบัง และอีกด้านเป็นโครงสร้างไม้แล้วใส่ที่ใส่กุญแจเข้าไป สามารถล็อกได้ทั้งสองด้าน ถ้ามีคนเปิดกำบังลมเข้ามาดู กระดาษแก้วข้างในก็บังไว้ ดูอะไรไม่เห็น ดึงก็ดึงไม่ออก
เวลาปกติไม่มีคนมา ไม่ต้องปิด เปิดไว้ให้แสงแดดส่องเข้ามา แต่ถ้ามีคนมาก็ต้องปิดไว้ เพราะพวกเราต้องการให้แปลงปลูกเป็นความลับ
ถึงแม้พวกเขาจะเอาเมล็ดพันธุ์ไปไม่ได้ แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปพูดในทางไม่ดี
และอีกอย่าง ถ้าพระอาทิตย์ตกดินต้องล็อคกุญแจ เพราะพวกเราใช้กระดาษสาล้อมเอาไว้ จะสามารถรักษาความอบอุ่นได้
ท่านลุงซ่งเผลอพูดออกมา ของสิ่งนี้ใช้งานอย่างนี้นี่เองหรือ “ได้ๆๆ”
ได้ยินคนอื่นพูดถึง เขาก็รู้สึกชื่นชมฝูเซิงที่วางแผนก่อนจะทำงานหนึ่งก้าว และต้องคิดให้ดีเสียก่อน
ส่งฟูเช็งบอกราคากุญแจกับท่านลุงซ่ง และพาคนพวกนี้ ไปดูห้องใต้ดินอีกสี่ห้อง
กระเทียมเหลืองเริ่มออกแล้ว
โดยเฉพาะชุดแรกที่ได้เมล็ดพันธุ์กระเทียมเหลืองมา
กระเทียมเหลืองเจริญเติบโตอย่างดี
เขารู้สึกว่า แค่จากไปแค่สองวัน กระเทียมเหลืองดูโตขึ้นเป็นเท่าตัว การเจริญเติบโตดีพอสมควร
ซ่งฝูเซิงชี้ไปที่กระเทียมชุดแรก แล้วพูดว่า “ถ้ารอให้โตเจ็ดถึงแปดวันก็น่าจะพอขายแล้ว กระเทียมเหลืองในห้องใต้ดินพวกนี้สามารถเก็บผลผลิตไปขายได้ เก็บผลผลิตเสร็จ ปล่อยให้กระเทียมพักผ่อนสามวันแล้วค่อยรดน้ำ แล้วบำรุงดูแลต่อในรุ่นที่สอง”
เมื่อเดินไปห้องใต้ดินอื่นๆ ซ่งฝูเซิงดูไปด้วยบอกกับทุกคนไปด้วยว่า ถ้าไปตลาดครั้งนี้ เขาจะไปถามราคาผักกุยช่ายเหลือง
ยุคนี้กุยช่ายเหลืองมีขายแล้ว แต่ว่ามีขายเฉพาะในฤดูหนาว ราคาแพงไม่น้อย ต้องใช้เวลาในการดูแลค่อนข้างมาก
เพราะมีคนน้อยคนที่จะปลูกในห้องใต้ดิน ส่วนมากคนจะปลูกคล้ายกับการปลูกพริก ต้องหาอุปกรณ์ราคาแพง โดยเฉพาะกระดาษแก้ว เอามาทำเป็นเพิงปลูก
ถ้าปลูกแบบนั้นร าคาต้นทุนจะแพงมาก ราคาผักก็ต้องแพงขึ้นตามต้นทุน
และยังมีสิ่งที่ซ่งฝูเซิงคาดการณ์ไว้ ถึงแม้จะเข้าใจเทคนิคการปลูกแบบเพิง และยังมีคนคิดจะปลูกแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงทุน อยากรวยต้องกล้าเสี่ยง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง กลัวขาดทุนตั้งแต่แรก บางคนมีใจแต่ไม่กล้าที่จะลอง
และมีบางคนเข้าใจเทคนิคทั้งหมด เพราะเขามีช่องทาง
ช่องทางคืออะไรนะหรือ คือปลูกให้คนรู้จักในวังหลวง
ถ้ารู้ว่าในวังมีองค์ชาย องค์หญิง หรือแม้กระทั่งฮ่องเต้ สิ่งที่เขากินสดในฤดูหนาวก็คือกุยช่ายเหลือง ในฤดูหนาว คนที่ทำเพิงปลูกกุยช่ายเหลือง ความรู้เทคนิคก็ในการปลูกก็ถูกนำออกมาจากตรงนี้
ถ้าฮ่องเต้กับนางสนมกินกุยช่ายเหลือง เจ้าลองคิดดูสิว่าราคาจะแพงหรือไม่
สรุปแล้วคือ ซ่งฝูเซิงถามมาแล้ว เขาไปนั่งร้านอาหาร และลองสั่งกุยช่ายเหลือง ถามราคาว่าเท่าไร