ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 219-1
สะพานซ่อมเสร็จตั้งแต่สองวันที่แล้ว เงินค่าแรงคงจ่ายไปไม่น้อย ค่าแรงจากการขนแผ่นหิน แผ่นหินทั้งหนักและขนาดใหญ่ และสะพานกว้างยาว คนที่มาทำงานต้องอย่างน้อยสามสิบถึงห้าสิบคน พวกเขาคาดคะเนว่าคนในหมู่บ้านเหรินจยาที่เป็นแรงงาน คงมาทำงานเกินครึ่ง ซึ่งงานหนักขนาดนี้ต้องเหนื่อยจนแทบไม่ไหว ถ้าไม่ให้เงินค่าจ้างหรือไม่ให้ข้าว คงไม่มีใครยอมมาทำงานใช้แรงขนาดนี้ ยังดีที่ตอม่อของสะพานไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย
วันนี้ซ่งฝูเซิงโชคดี วันก่อนนั้นที่เขาจูงวัวไปกินหญ้า เป็นวันที่สะพานซ่อมเสร็จพอดี จึงเดินขึ้นสะพานและข้ามไปได้ ตอนนี้เขากับซ่งฝูกุ้ยกำลังเข็นรถเข็นว่างเปล่าข้ามสะพาน ยังรู้สึกว่ายืนบนสะพานแล้วไม่ได้สบายใจขนาดนั้น แต่ก็ยังดีกว่าตอนมาครั้งแรกที่ต้องข้ามสะพานไม้ที่เก่าผุพังนั่น
คิดถึงวันแรกที่มาถึงหมู่บ้านเหรินจยา ตอนนั้นเป็นเวลากลางดึกและยังต้องแบกกระสอบถั่วเมล็ดสนคนละกระสอบ มือยังต้องเข็นรถเข็นคันแล้วคันเล่าผ่านสะพานไม้ที่ผุพังนี้ ซ่งฝูกุ้ยตางหากที่รู้สึกสมน้ำหน้า
“น้องชายฝูเซิง เจ้าได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง”
“เรื่องอะไร”
“ตาแก่เฮงซวยเริ่นหลี่เจิ้ง เขามีทั้งเรื่องดีและเรื่องเศร้า ข้าขอพูดเรื่องเศร้าก่อน เหอะๆๆๆ ตาแก่นั่นล้มหมอนนอนเสื่อแล้ว ได้ยินว่าเขาสั่งให้ลูกชายคนรองไปส่งข้าวให้พวกเราวันนั้น วันถัดมาก็เข้าอำเภอไปหาลูกชายคนโต ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนกลับเข้ามาถึงต้องหามเข้าบ้าน จนถึงตอนนี้ยังต้องนอนซมบนเตียงเตา ลุกไปไหนยังไม่ได้”
ซ่งฝูเซิงกำลังคิดว่า เขาน่าจะเดาออกว่าเริ่นหลี่เจิ้งป่วยเป็นอะไร
เพราะตอนที่เขาเข้าเมืองไปซื้อวัวนม จำเป็นต้องเดินทางผ่านเมืองเฟิ่งเทียน
เมืองเฟิ่งเทียนเป็นเมืองอะไรนะหรือ ก็เมืองศูนย์กลางแห่งอำนาจการปกครองอย่างไรล่ะ
เขาไปโรงเตี๊ยมเพื่อสอบถามราคาผักกุยช่ายเหลือง ได้ยินคนข้างในโรงเตี๊ยมพูดถึงเรื่องนี้
พวกเขาลือว่ากันขุนนางเมืองเจิ้นเจียงใจกล้ายิ่งนัก ข้าวสารบรรเทาทุกข์ของคนในเมืองทั้งหมดไม่ได้แจกจ่ายไปตามจริง จึงถูกตัดหัวเอามาประจาน แขวนไว้บนกำแพง และยังมีป้ายประกาศ ประจานคนทำผิด
และญาติที่ใกล้ชิด ทั้งลูกชายที่ร่วมกันทุจริตข้าวสารบรรเทาทุกข์นั่น ก็ถูกตรวจสอบไปเจอเรื่องทุจริตเกลือ สุดท้ายก็ไม่รอด จึงถูกตัดหัวแล้วเช่นกัน
เมืองเจิ้นเจียงคือที่ไหนน่ะหรือ จากที่ซ่งฝูเซิงวิเคราะห์ คล้ายกับเมืองต้าเหลียน พื้นที่อยู่ติดกับทะเล ทรัพยากรมีทั้งเกลือและข้าว ถ้าเจ้ากล้าทุจริต มีเส้นสายกับคนข้างนอกละก็…ได้ยินว่าญาติพี่น้องของขุนนางคนนั้นทั้งเก้าชั่วโคตร ทั้งหมดจะถูกเนรเทศออกให้ไปอยู่ทางเหนือ แบบนี้จึงเรียกว่าพี่น้องร่วมทรยศ เป็นเหตุต้องโทษเก้าชั่วโคตร
นอกจากนี้ ยังได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาว่าเมืองอื่นๆ ก็มีเรื่องทุจริตเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญเท่ากับขุนนางเมืองเจิ้นเจียงคนนั้น แต่ที่เมืองเฟิ่งเทียนกลับกำลังสอบสวนอย่างจริงจัง
คนที่ถูกสั่งให้มาทำงานนี้ ถูกส่งมาจากเมืองเฟิ่งเทียนไปยังทุกอำเภอ ใช้ม้าเร็วกระจายไปทั่วสารทิศและรับผิดชอบคนละเรื่องโดยเฉพาะ ทั้งยังใช้คำพูดแบบชาวบ้านๆ เพื่อประกาศข่าวสำหรับคนไม่รู้หนังสือ “ยินดีต้อนรับชาวบ้าน เข้ามาร้องเรียนกับพวกข้าโดยตรงได้เลย ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องที่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ”
ตั้งแต่นั้นมา ก็สอบสวนได้ข้อมูลเรื่องราวมากมาย และเรื่องที่เข้ามาร้องเรียนก็มีหลากหลาย
มีบางแห่งของอำเภอ บางตำแหน่งของหมู่บ้าน พวกเขาไม่ได้ทำเพื่ออาหาร แต่เพื่อต้องการควบคุมพวกชาวบ้าน จะใช้วิธีโบยให้ทำตามคำสั่ง มีบางหมู่บ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่ หรือบางหมู่บ้านมีการทะเลาะวิวาทถูกตีจนตายก็มี
ระหว่างอพยพบางบ้านที่มีลูกสาว อาศัยบ้านนั้นมีสมาชิกอยู่น้อยและไม่มีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือ จึงไม่มีหนทางเลี่ยง ยังมีเรื่องลวนลามข่มขืนเด็กสาวอีกด้วย
และยังมีกลุ่มที่ทำเหมือนสุนัขร้อนตัวกระโดดข้ามกำแพง เมื่อมีม้าเร็วเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อบอกกับชาวบ้านที่อพยพมาว่าจะเป็นปากเป็นเสียงให้ ลับหลังม้าเร็วออกไป ก็มีพวกที่ไม่ทำตามคำสั่งและกลัวถูกร้องเรียน รีบใช้ยาพิษใส่ลงในอาหารเพื่อจะฆ่ากันให้ตาย
หลากหลายร้อยพันเรื่องราว เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ถูกใส่ร้ายป้ายสีมีทั้งหมด
จากที่ซ่งฝูเซิงได้ยินก จึงนำมาวิเคราะห์ว่า เริ่นหลี่เจิ้งเข้าไปในเมืองเพื่อไปพบกับลูกชายคนโต ลูกชายของเขาน่าจะบอกกับพ่อว่า ถ้ามีใครกล้าทำอะไรกับข้าวสารบรรเทาทุกข์ ต้องพบจุดจบที่ไม่สวยนัก บางคนถูกตัดหัว ตาแก่คนนั้นคงตกใจกลัวจนล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา ถ้าไม่เช่นนั้น คงไม่ให้เริ่นจื่อจิ่วเป็นคนมาส่งของ วันที่มาส่งของวันนั้น เริ่นจื่อจิ่ว แม้แต่ลมก็ไม่กล้าผายออกมา แม้แต่คำพูดออกจากปากก็แทบไม่มี ส่งของเสร็จแล้วก็รีบกลับไป
นอกจากนี้ แม้แต่ซ่งฝูเซิงเอง เมื่อได้ยินเรื่องนี้ที่โรงเตี๊ยม พวกเขาพูดกันแซงแซ่จนน้ำลายกระเด็น ในก้นบึ้งหัวใจของเขาก็รู้สึกคลายความอึดอัดขึ้นมาก
เขารู้สึกว่าเขามีกำลังภายในซ่อนอยู่ เพราะว่าเขาเป็นคนทำให้เกิดกระแสเรื่องกินข้าวเลือดผลเลือด เขาไม่สามารถที่จะพูดเรื่องนี้กับใครเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาก่อขึ้นมานั่นเอง เห้อ
“จะยินดีดีไหม”
“ต้องยินดีสิ เหอะๆๆๆ” ซ่งฝูกุ้ยที่หัวเราะพร้อมมือเข็นรถเข็น “ตาแก่คนนั้นกำลังจะได้เป็นพ่อคน ภรรยาเล็กท้องกำลังโต ถ้าพูดไป ไอ้หยา ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว”
ซ่งฝูเซิงรู้สึกแปลกใจ “เรื่องใต้เตียงของคนอื่น เจ้าไปรู้ได้อย่างไร”
“พวกท่านยายทั้งหลายในหมู่บ้านเป็นคนบอกข้า”
ไม่แปลกใจเลย เจ้าดูสิ ฝูกุ้ยเมื่อข้ามสะพานลงมาฝั่งนี้ ก็ทักทายผู้หญิงสูงวัย ใครๆ ก็รู้จักเขา
ท่านป้ากำลังมัดฟืนก่อไฟหรือ
ท่านป้าหยู๋ ได้ยินว่า หมูบ้านท่านป่วยหรือ ใช่แล้ว…หน้าหนาว ท่านต้องทำคอกให้อบอุ่นเข้าไว้
พี่สะใภ้สี่ ท่านจะไปถงเหยาเจิ้นหรือ รีบเอาสัมภาระวางไว้บนรถข้า ข้าจะเข็นให้
พี่สะใภ้สี่บอกว่า “ไม่เป็นการรบกวนเจ้าไปหรอกหรือฝูกุ้ย”
“รบกวนอะไร คนหมู่บ้านเดียวกัน ยังพูดเรื่องเกรงจงเกรงใจอีก ไปกันเถอะ…พวกเราไปทางเดียวกัน”
พี่สะใภ้สี่ส่งยิ้มจนเห็นฟันขาวให้ซ่งฝูกุ้ย แต่ซ่งฝูกุ้ยกลับแสดงความเกรงใจ จึงได้แต่ผงกศรีษะ
ซ่งฝูเซิงไม่เข้าใจ ซ่งฝูกุ้ยออกไปรับซื้อโอ่งแตก ไหเก่า มาใช้หมักซอส แต่กลับกลายเป็นคนในของหมู่บ้านเสียแล้ว
นอกจากนี้ เขายังมีพรสวรรค์ อาศัยช่วยพี่สะใภ้สี่เข็นกระเป๋าสัมภาระ ชวนสนทนาสัพเพเหระ แม้กระทั่งร้านขายสบู่ ของชำร้านไหนถูก ร้านเสื้อผ้าร้านไหนขายฝ้ายเหลือใช้ ก็รู้จักไปเสียหมด
และยังบอกว่า พี่สะใภ้สี่ชอบสนทนากับซ่งฝูกุ้ย ทั้งยังแนะนำเทคนิคซื้อของให้ราคาถูกกับเขา
แต่พอถามกลับพวกเขา พวกเจ้าอยู่ฝั่งทางโน้นยุ่งวุ่นวายอะไรกันทุกวันหรือ คำถามของพี่สะใภ้สี่กลับไม่ได้คำตอบ พูดไปพูดมา ยังถูกฝูกุ้ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีก
เมื่อเข้าถึงเมืองถงเหยาเจิ้น
ซ่งฝูเซิงบอกซ่งฝูกุ้ยว่า เจ้าคุยเรื่องอะไรก็ได้หมด ยังมีพี่สะใภ้สี่คอยแนะนำ ถ้าอย่างนั้น พวกเราแบ่งงานกันทำเถอะ เจ้าไปซื้อสิ่งของที่ทุกคนฝากซื้อ และช่วยข้าซื้อฝ้ายยี่สิบจิน
“ยี่สิบจินหรือ”
ซ่งฝูกุ้ยยังไม่ได้ยินคำตอบ แต่พี่สะใภ้สี่ ดวงตาเปล่งประกายถามขึ้นมา
“อือ” ซ่งฝูเซิงตอบตามมารยาท และยังบอกซ่งฝูกุ้ย “เมื่อซื้อเสร็จพวกเราไปเจอกันที่ประตูเมือง ใครถึงก่อนให้รอจนกว่าอีกคนจะไปถึงประตู”
“ตกลง”
หลังจากนั้น ซ่งฝูเซิงรีบไปจองหม้อเบอร์ใหญ่กับเครื่องมือทำการเกษตร
การทำเครื่องเหล็กในอดีต ไม่ใช่ว่าซื้อเสร็จแล้วก็เอากลับได้เลย พวกเขาจะต้องทำการจองโดยใช้เงินมัดจำบางส่วน จองเสร็จแล้วค่อยตีเหล็ก ตีเหล็กเสร็จค่อยทำเป็นเครื่องมือออกมา ร้านมักจะนัดรับของหลังจากจองสองวัน ทำเสร็จถึงมารับได้ ซ่งฝูกุ้ยจากไปแล้ว พี่สะใภ้สี่ถามฝูกุ้ยระหว่างทาง ผู้นำของพวกเจ้า แต่ก่อนเป็นคนมีเงินใช่หรือไม่ เป็นครอบครัวมีฐานะใช่หรือไม่
ซ่งฝูกุ้ยได้โอกาสโม้ต่อไป บอกว่า อืม…ใช่แล้ว เป็นครอบครัวคนมีฐานะ แต่เป็นคนมีเงินหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ครอบครัวของเขามีความสามารถ อ่านออกเขียนได้ รู้จักหรือไม่ เด็กอัจฉริยะ รู้จักหรือเปล่า บัณฑิต เคยได้ยินหรือไม่ แต่ระหว่างเดินทาง พวกเขายังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าทางไหนเป็นทิศเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ว่า ไม่มีอะไรที่พี่ซ่งฝูเซิงไม่รู้ ถ้าไม่มีเขา ตอนอพยพพวกข้าคงหลงทาง หิวตายไปแล้ว
“เขาเป็นบัณฑิตทำไมไม่สอบซิ่วไฉล่ะ ตระกูลเริ่นในหมู่บ้านข้า สอบได้เป็นซิ่วไฉ ปีนั้นถึงกับตีกลอง ร้องเพลง แห่เข้าหมู่บ้าน”
ซ่งฝูกุ้ยพูดไปตามน้ำ ความจริงแล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่ ทำไมถึงสอบไม่ติด จากที่ดู ไม่น่าจะไม่ผ่าน เขาดูเป็นคนมีความรู้ไม่น้อย “บ้านเก่าที่พวกข้าอยู่ไม่มีความยุติธรรม ถ้าคนมีตำแหน่งมีความยุติธรรม บ้านเมืองจะแตกหรือ พวกเขาดูแลบ้านเมืองไม่ดี จึงเกิดเรื่องโกลาหลมากมาย ฝูเซิงน้องข้าน่าจะไปสะดุดเท้าคนใหญ่คนโต เลยต้องถูกกระทำ ถึงสอบก็สอบไม่ผ่าน”
“อ๋อ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้”
“ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้ แต่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ต้องรอให้สอบเคอจวี่ พี่สะใภ้สี่ ถ้าไม่เชื่อต้องคอยดูน้องชายข้า ซ่งฝูเซิงสอบซิ่วไฉเป็นเรื่องง่ายดายจริงๆ” แต่คำว่าจอหงวนถูกเขากลืนลงคอ “ท่านชายซิ่วไฉ”
พี่สะใภ้สี่พาเขาไปซื้อของด้วยความกระตือรือร้น เกิดเป็นคนต้องมีความเมตตา ถึงแม้พวกเขาเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน แต่ว่าถ้าสมมุติว่าสอบได้เคอจวี่แล้ว คนในหมู่บ้านก็จะได้อาศัยบารมีเขา