ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 221
เด็กที่มีความคิดมากกว่าวัยอย่างหมี่โซ่ว หลังจากที่กินขนมฝีมือของพี่สาวที่ท่านลุงตั้งใจตัดชิ้นใหญ่พิเศษให้เขา วันนี้เด็กน้อยแสดงออกความรู้สึกเหมือนเด็กห้าขวบออกมา
เขานั่งอยู่ขอบๆ เตียงเตา ดวงตากลมโตเหมือนไข่ห่านของเขา หลับพริ้มเมื่อกัดขนมเค้กไปคำแรก แววตาเป็นเปล่งประกายมองไปที่ซ่งฝูเซิง และยังรีบยกขนมในมือขึ้นไปกัดมาอีกหนึ่งคำ
ซ่งฝูเซิงถามเด็กน้อย อร่อยหรือไม่ เจ้าเคยกินมาก่อนหรือเปล่า
เด็กน้อยไม่มีเวลาพูดออกมา มือสองมือจับไปที่ขนมเค้ก “อือ…อือ…อือ…”
เฉียนหมี่โซ่วรีบกัดเข้าไปอีกหนึ่งคำ คราวนี้เขาค่อยๆ ซึมซับรสชาติ ทั้งยังใช้นิ้วหัวแม่มือกดไปที่แก้มที่ป่องออกมา ช่างหอม ช่างหวานอร่อย และยังนิ่ม เมื่อเข้าไปอยู่ในปาก ละลายได้เลย
ท่าทางยิ้มแบบพึงพอใจของเขา อีกทั้งขาที่เหยียดลงไปนอกเตียงเตาก็กระดิกไปมาไม่หยุด เฉียนเพ่ยอิงถือถ้วยน้ำนมวัวแรกเข้ามา นมถ้วยนี้อุ่นด้วยการนึ่ง กำลังร้อน นางเอาให้หมี่โซ่วกินกับขนม
ซ่งฝูเซิงใช้มือจับที่หัวของเด็กน้อยแบบอารมณ์ดี เขาอยากหยอกหมี่โซ่ว “หมี่โซ่วเข้ามาให้ลุงดมดูสิ ทั้งตัวมีแต่กลิ่นนมสดหรือไม่ ไม่ใช่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหมือนแต่ก่อนแล้ว” พูดเสร็จเขาทำท่ารีบเดินเข้าไปเหมือนจะไปหอมเด็กน้อยจริงๆ
เฉียนหมี่โซ่วหัวเราะ ฮาๆ พร้อมทั้งวิ่งหลบ เขากระโดดลงจากเตียงเตา วิ่งหลบท่านลุง
ซ่งฝูเซิงทำท่าจะวิ่งตาม
หมี่โซ่วมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเฉียนเพ่ยอิง
“โอ้ยยย…ระวัง ชนข้าแล้ว ดูถ้วยนมด้วย ถ้วยนมจะหกแล้ว”
ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆ
“ท่านป้า ท่านรีบกินขนมสิ อร่อยมาก”
“ป้ากินแล้ว หมี่โซ่วรีบกินเยอะๆ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้ากินหมดก้อนนี้เลยได้ไหม”
“หมี่โซ่ว เจ้าจำไว้นะ ต่อไปถ้าบ้านเรามีของกินอะไร หากเจ้ากินยังไม่อิ่มให้บอกป้า พวกเราจะต้องกินให้อิ่มท้อง”
ในบ้านของซ่งฝูเซิงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
นอกจากนี้ ซ่งฝูเซิงได้นำขนมเค้กก้อนใหญ่แบ่งให้หลานคือซ่งจินเป่า แต่ว่าที่บ้านท่านย่าหม่า นอกจากไม่มีเสียงหัวเราะแล้ว ยังมีแต่เสียงของซ่งจินเป่าร้องเจี้ยวจ้าวเสียงดัง เกือบโดนไม้เรียวเข้าแล้ว
เกิดอะไรขึ้น
ซ่งจินเป่าได้ขนมเค้กก้อนใหญ่จากลุงสาม กินเสร็จแล้วไม่แสดงอาการว่าอร่อยเหมือนคนปกติ แต่เขานอนตัวงอบนเตียงเตา ท่าทางตื่นเต้น มือไม้สะบัดไปมา ทั้งเอะอะโวยวาย
“ขนมนี้อร่อยมาก ไอ้หย่า…พระเจ้าช่วย…อร่อยจริงๆ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่อยาก
มีชีวิตแล้ว
ตึ้งตั้ง ตึ้งตั้ง ตึ้งตั้ง เสียงดังบนเตียงเตา ในใจเขายิ่งมีความสุข ขาทั้งสองข้างยิ่งยกขึ้นยันพื้นไปมา เสียงดังตึ้งตั้ง ตึ้งตั้ง
ขณะเดียวกัน ซ่งฝูสี่กลับมาบ้านเพื่อเอาเครื่องมือช่าง เห็นลูกชายอยู่บนเตียงเตาดิ้นพล่านไปมา ก็เริ่มดุด่าเสียงดัง “ข้าจะให้เจ้าซ่อมเอง เตาเพิ่งก่อเสร็จ เจ้าจะทำให้มันพังลงมาอีกหรือ หา?? ข้าให้เจ้าได้กินของดีๆ ก็ไม่ยอมพูดภาษาคนแล้ว ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ งั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง”
“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว” ซ่งจินเป่ารีบกระโดดลงจากเตียงเตา วิ่งรอบหนึ่งรอบ พอวิ่งผ่านซ่งฝูสี่ได้แค่นั้น เขาก็ออกจากประตูตรงไปที่บ้านลุงสาม
ที่ประตูบ้านลุงสามกำลังครึกครื้น หน้าประตูมีเด็กสิบกว่าคนยืนล้อมรอบ
ขนมเค้กมีจำนวนจำกัด นอกจากเก็บไว้ให้หมี่โซ่ว ยังเหลือไว้อีกหนึ่งก้อน ที่เหลือไม่ถึงครึ่งก้อนขนาดแปดชุ่น ขนาดน่าจะหกชุ่นกว่า
แบ่งให้เด็กสิบกว่าคน จะแบ่งยังไงน่ะหรือ
ซ่งฝูเซิงหลบออกไปแล้ว ก่อนที่จะออกไป เขาให้หมี่โซ่วไปเรียกเพื่อนๆ มา ให้เฉียนเพ่ยอิงเป็นคนแบ่งขนม โดยแบ่งให้เด็กๆ คนละนิดหน่อย
เฉียนเพ่ยอิงจึงแบ่งเค้กเป็นเส้นเล็กๆ
ทีแรกคิดว่า เด็กๆ น่าจะแย่งขนม หรือใครกินไม่อิ่มต้องมาขอเพิ่ม
แต่คิดไม่ถึง ก่อนที่เฉียนหมี่โซ่วจะไปเรียกเพื่อนๆ เขาใช้วาทศิลป์คุยกับเพื่อนๆ เพื่อปรับทัศนคติก่อนแล้ว
ระหว่างที่เขาไปเรียกเพื่อนๆ และพาเพื่อนๆ ไปที่บ้าน ได้บอกไว้ว่า
“พี่สาวของข้า ตอนฟ้ายังไม่สว่างก็รีบตื่นขึ้นมาทำขนมเค้กให้พวกเรา นางยังไม่ได้กินสักคำก็ออกจากบ้านไปแล้ว”
“พี่สาวพั่งยาดีจริงๆ”
“ข้างในขนมมีทั้ง ไข่ น้ำตาล และนม ซึ่งมีราคาแพง ดังนั้นจะได้กินคนละไม่เยอะ ทุกคนลองชิมดู ดีหรือไม่”
“ดีมาก”
“ห้ามแย่งกัน ถ้าใครแย่ง ครั้งหน้าพี่สาวทำอีก ข้าจะไม่เรียกคนนั้นมากินอีกแล้ว”
“ไม่แย่ง ข้าจะไม่แย่งกัน”
เมื่อถึงตอนนี้ เด็กๆ เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ยืนล้อมเฉียนเพ่ยอิงไว้ ทุกคนได้กินขนมคนละหนึ่งชิ้น กินเสร็จแล้วพูดขึ้นพร้อมกันว่า อร่อยกว่านี้ไม่มีในโลกอีกแล้ว ใครไม่ได้กินต้องเสียใจไปจนตาย
เฉียนเพ่ยอิงกำลังซักผ้าปูที่นอนที่ทั้งสกปรกและเก่า เด็กๆ วิ่งเล่นรอบวงกันเป็นเลขแปด วิ่งรอบๆ ผ้าปูเตียงหัวเราะชอบใจ
ผู้นำที่พาวิ่งพาตะโกนว่า “อร่อยที่สุดดดด”
เด็กๆ ที่วิ่งตามมาก็ตะโกนตาม “ยังไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อน”
“ข้ายังอยากกินอีก”
“ข้ายังอยากกินอีกเหมือนกัน”
ประตูบ้านซ่งฝูเซิงเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
“ท่านป้า พี่สาวพั่งยาไม่ได้จัดตารางงานให้พวกข้าหรือ” ซ่งจินเป่าที่เพิ่งวิ่งมาถึงถามขึ้น
เฉียนเพ่ยอิงได้ยินหัวเราะขึ้น นางเห็นเด็กคนอื่นไม่วิ่งวุ่น พากันหยุดมองมาที่เขา
เฉียนเพ่ยอิงบอกว่า พี่พั่งยารีบออกไปแต่เช้า จึงไม่มีเวลาแบ่งงานให้พวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าต้องดูกันเองว่ามีงานอะไรทำได้ ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็ไปช่วยเก็บฟืน
“ไป พวกเราไปเก็บฟืน”
“ใช่แล้ว ไปเก็บฟืน พี่สาวพั่งยาต้องใช้ฟืนก่อไฟ”
เฉียนหมี่โซ่วก็ตามเพื่อนๆ ไปด้วย
เฉียนเพ่ยอิงรีบคว้าแขนหลานไว้ ดึงแขนหลานเข้าไปในห้อง ใส่หมวกบนหัวหมี่โซ่ว
หนังสีต่างๆ เป็นของเหล่าสุ่ยฝากมาให้สองวันก่อน ก่อนนอนกลางคืน นางจุดตะเกียงไฟเพื่อเย็บหนังรวมกันหลายๆ สีจนเป็นหมวกให้หมี่โซ่ว
เฉียนเพ่ยอิงกลั้นหัวเราะไม่ได้ จึงหัวเราะออกมา
หมี่โซ่วใส่หมวกสีสันสวยงาม ไส่เสร็จเอียงหัวไปมา เขารู้สึกว่ามันช่างสวยงามไม่น้อย วันนี้เขาคิดว่าตัวเองดูดีมาจากข้างใน และยังถูกกลุ่มเด็กๆ บ่นคิดถึงพี่สาวพั่งยาไม่หยุดหย่อน ป่านนี้คงถึงถงเหยาเจิ้น
ท่านย่าหม่ามาถึงในเมืองที่มีสีสันครึกครื้นอย่างเมืองถงเหยาเจิ้นครั้งแรก
นางคิดไว้ว่า เมื่อถึงแล้ว น่าจะต้องจัดการอย่างนี้
“เค้กโบราณ เค้กโบราณ ขายเค้กโบราณ” นางเรียกขายตั้งแต่ประตูเมือง
และท่านย่าสูงวัยได้วางแผนไว้แล้ว หลานสาวนางอายุยังน้อย หน้าบาง คงไม่กล้าตะโกนขายขนม
ดังนั้นคนที่รับหน้าที่ตะโกนเรียกแขกขายเค้กโบราณคงต้องเป็นนาง
ถ้ามีคนถามว่าราคาเท่าไหร่ จะบอกขายหนึ่งก้อนราคาแปดเหวิน ราคาค่อนข้างแพง นางก็เตรียมคำตอบไว้แล้ว
“แพงหรือ น้องสาว ขนมนี่ราคาไม่แพงหรอก ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะตัดแบ่งให้เจ้าลองชิมดู…
…รสชาติหอม หวาน เนื้อนุ่ม ทุกคนได้ชิมแล้ว อร่อยจนไม่กล้าที่จะกลืน…
…เจ้ารู้ไหม ในขนมมีส่วนผสมอะไรบ้าง น้ำตาล น้ำตาลทรายสีขาวสะอาดตา เจ้าลองไปถามดูก็ได้ว่ามันราคาแพงเท่าไหร่…
…นมวัว เจ้ารู้หรือไม่ บ้านข้าซื้อวัวมาราคาตัวละเท่าไหร่…
…เจ้าดูสิ ขนมหนึ่งก้อนมีไข่ไก่กี่ใบ…
…เจ้าบอกว่าแพง ดูของพวกนี้ ราคาต้นทุนก็ไม่น้อยแล้ว”
ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น
“บะหมี่เส้นเล็กสองถ้วย ซาลาเปาไส้เนื้อสี่ลูก” ซ่งฝูหลิงที่มีผ้าสีชมพูลายดอกไม้โพกอยู่ศีรษะ นั่งบนโต๊ะและตะโกนสั่งอาหาร
สั่งอาหารเสร็จ นางอ้าปากบอกท่านย่าให้จ่ายเงิน
ใบหน้าท่านย่าหม่ายับย่นยู่ยี่ “อะไรกันเนี่ยพั่งยา”
พั่งยาตอบกลับอย่างมีเหตุผล “ท่านย่า ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่ว่าพวกเราสองคนยังไม่ได้กินข้าวเช้า เดินทางระยะทางไม่น้อย อากาศก็หนาว ถ้าไม่กินให้อิ่ม พวกเราจะเอาแรงที่ไหนขายของ”
ท่านย่าหม่า “ตกลง ตกลง รีบกินเสีย” ท่านย่าหม่าค่อยๆ ควักเงินที่อยู่ในกระเป๋าคาดเอวออกมาอย่างระมัดระวัง อาหารแพงมาก กินข้าวที่นี่แพงจริงๆ ถ้าข้ารู้อย่างนี้ ข้ารีบตื่นแต่เช้าเตรียมกับข้าวให้หลานสาวเรียบร้อยแล้ว