ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 222
“ท่านย่า ซาลาเปาไส้เนื้อสี่ลูก พวกเราแบ่งคนละสองลูกนะ”
“นี่เจ้าจะทำอะไร ข้าอิ่มแล้ว เจ้ากินให้หมด” ท่านย่าหม่าบอกว่าตัวเองอิ่มแล้ว และยังพูดไม่หยุดว่าบะหมี่เส้นเล็ก กินลงไปแล้วแน่นท้องมาก ตอนนี้อิ่มจนกินอะไรไม่ลง นางกินขนมเค้กไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือ
ซ่งฝูหลิงก็ไม่ยอม รีบวางตะเกียบลง
ท่านย่ากัดขนมเค้ก แค่สองคำ อย่างนั้นเรียกว่ากินหรือ นั่นเรียกว่าชิมเท่านั้น
เช้านี้พวกเรารีบเดินทาง ท่านยังแบกตะกร้าเอง และยังบอกข้าว่าไม่หนัก ไม่ยอมให้ข้าลำบาก ห่วงขนมเค้กที่อ่อนนุ่ม บอกว่าถ้าเจ้าช่วยแบกขนมเค้กอาจจะเละได้ ท่านย่าจึงแบกคนเดียวตลอดทาง
“ไม่ได้ ถ้าท่านไม่กินซาลาเปาสองลูกนี้ ข้าก็ไม่กิน พวกเราสองคนจะวางไว้ให้เย็นใช่หรือไม่”
“เจ้านี่นะ” ท่านย่าหม่าไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูด “ก็ได้ๆๆ” ท่านย่ารีบหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมา ท่านย่าหม่าบอกว่า พวกเรากินอิ่มท้องแล้ว ถึงเวลาต้องทำงานใหญ่แล้วใช่หรือไม่
นี่ช่างดูน่าตื่นเต้น ตอนที่ลูกสาวและท่านพ่อมาขายถั่วเมล็ดสนที่นี่ บรรยากาศไม่เหมือนกัน
เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา มีตรงไหนที่ไม่รู้จัก
ถ้าให้ท่านย่ามาคนเดียวคงมืดแปดด้าน โดยเฉพาะตอนนี้ที่หลานสาวเป็นคนนำทาง เดินเข้าไปข้างในตลาด ยิ่งเดินยิ่งครึกครื้น ไอ้หยา…นี่คือตลาดสด จะยืนขายกันที่ไหนดี
ซ่งฝูหลิงเดินไปเรื่อยๆ แต่กลับหยุดกะทันหัน นางมองไปที่ทางฝั่งขวามือ มีป้ายร้านยา แต่ไม่แน่ใจ จึงมองเข้าไปใกล้ๆ และเดินเข้าไปข้างใน
เอ้า? เอ้า? เจ้าเด็กคนนี้ ท่านยาหม่าไม่มีวิธีอื่น จึงต้องเดินตามเข้าไปเท่านั้น
ซ่งฝูหลิงรู้สึกอาย แต่ก็นั่งอยู่ตรงหน้าหมอ “ท่านมียารักษาเหาหรือไม่”
“คร่อก คร่อก คร่อก…” ท่านย่าหม่าเพิ่งเดินเข้ามา ได้ยินเสียงสำลักน้ำลายตัวเอง
หมอที่นั่งตรวจอยู่ด้านหน้าบอกว่า มี ความหมายคือให้เสี่ยวเออร์ไปหยิบออกมาให้ด้วย
เสี่ยวเอ้อร์ไม่สนใจเสียงไอของท่านย่าหม่า เขาแนะนำสินค้าไปว่า
“ยาฆ่าเหาร้านพวกเราประสิทธิผลดีเยี่ยม เจ้ารู้ไหมว่ามีใครมาซื้อบ้าง เป็นลูกสาวตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นลูกสาวที่โตแล้วด้วย…
…รู้จักเจ้าเมืองหรือไม่ ลูกสาวบ้านท่านก็มาซื้อไปแล้ว แค่ทาบนผมและใช้เวลาเพียงห้าวัน แค่นั้นก็รักษาหาย ในนี้มีน้ำมันชะเอม และยังมียาอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าเปลือกของต้นเลี่ยนขู่จือเป็นสมุนไพรจีนใช้สำหรับฆ่าแมลง”
ซ่งฝูหลิงถามราคาว่า “ขายอย่างไร”
“ราคาครึ่งตำลึง”
“คร่อก คร่อก คร่อก…” ท่านย่าหม่าเพิ่งหยุดไอและสำลักอีกครั้ง
เพื่อฆ่าเหา ต้องใช้เงินครึ่งตำลึง หลานสาว เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ เจ้าต้องบ้าไปแล้วจริงๆ
เมื่อออกมาอยู่ข้างนอกร้านยา ท่านย่าหม่าโกรธจนหน้าแดง
“ที่เคยบอกข้า ไม่ใช่ว่าแค่ทาน้ำมันก็ฆ่าเหาได้หรือ จริงๆ แล้ว ย่าเข้าใจว่า น้ำมันสิบกว่าเหวินราคาหนึ่งจิน ถ้าเจ้าอย่างจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องผม ข้าไม่ยอม อย่างน้อยน้ำมันหนึ่งจินใช้ทาผมได้นานกว่า เจ้าต้องฟังย่า เข้าใจหรือไม่ วันนี้ข้าจะกัดฟันรีบไปขายขนมเค้ก เจ้าอย่าสนใจแต่เรื่องเหาอยู่เลย”
เทวดาฟ้าดิน ข้าต้องยอมหลานสาวข้าแล้ว
เงินครึ่งตำลึง เจ้าจะซื้อหรือ ข้าตามใจเจ้าไม่ได้ ตามใจเจ้าไม่ได้จริงๆ เป็นบ้าอะไรหรือจะเอาเงินครึ่งตำลึงทาลงบนหัวให้เหากิน น้ำมันสำหรับใช้ทาใบหน้ายังไม่เคยได้ใช้ ท้องของพวกเรายังไม่เคยกินเนื้อราคาครึ่งตำลึงเลยด้วยซ้ำ
ซ่งฝูหลิงไม่พูดต่อหัวข้อนี้ ตอนนี้นางรู้วิธีรักษาเหาที่ดีกว่า นางไม่ฟังพ่ออีกต่อไปแล้ว และยังรู้สึกสงสัยวิธีทำน้ำมันทาผมของพ่อนางอีกด้วย
เขาเอากลิ่นเหม็นมาเป็นจุดเด่นของยา นางใช้มันทาหัวมาสองวันแล้ว แต่อาการคันไม่ได้ลดลง แสดงว่าผลการรักษาแบบนี้ยังช้าเกินไปอยู่
ว่าแต่ นางยังต้องการซื้อยาฆ่าเหาให้ได้
“ท่านย่า ท่านอย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่น ข้าขอถามท่าน ท่านจำตำแหน่งร้านได้แล้วหรือ”
ท่านย่าปิดปากสนิทไม่ตอบ “ถ้าท่านไม่ตอบ แสดงว่าท่านจำได้แล้ว พวกเราสองคน มีส่วนแบ่งเป็นสี่ต่อหกไม่ใช่หรือ ถ้าพวกเราขายหมด พวกเราก็จะได้เงินครึ่งตำลึง ท่านย่า ข้าขอร้องช่วยข้าซื้อสักหนึ่งขวด ท่านอย่าทำอย่างนี้ได้หรือไม่ ถ้าข้ารู้ ต่อไปเงินที่ข้าใช้ก็เป็นส่วนของข้า”
ข้าจะไม่ตามใจเรื่องนี้กับเจ้า ถึงจะใช้เงินที่เจ้าหามาได้ ข้าก็ไม่ให้ซื้อ
“ท่านย่า ข้าคงไม่รู้สึกอยากจะตื่นตั้งแต่เช้ามาทำงานแล้วล่ะ ระหว่างทางข้าก็บอกกับท่านแล้วไม่ใช่หรือว่านี่เป็นขนมฝีมือของข้า ไม่ใช่ใครก็สามารถเรียนรู้ได้ ถ้าผิดพลาดไปเล็กน้อยก็จะไม่ได้เค้กที่มีรสชาติดีแบบนี้นะ…
…คิดว่าก็แค่อบ ให้คนยืนข้างๆ เรียนไปด้วยก็ได้ จะฝึกตามฝีมือข้า แต่จะขโมยฝีมือข้าเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อ ท่านย่า กลับไปข้าจะสอนท่าน เงินที่ลงทุนไปหลายสิบหวินต้องเสียไปเปล่าๆ ท่านลองดูว่า ท่านจะเรียนได้หรือไม่”
ไอ้หยา เจ้ากล้าพูดอย่างนี้กับท่านย่าที่แก่ชราได้อย่างไร เด็กคนนี้น่าตีจริงๆ
“ถึงเจ้าจะอบขนมได้ดีขนาดไหน เจ้าก็ต้องขายออกไป แล้วเจ้าขายออกไปได้แล้วหรือ ตั้งแต่มาถึงประตูเมือง พวกเรายังไม่ได้ทำงานจริงจังสักนิด เจ้าคิดถึงแต่จะใช้เงิน”
“ไป ไปขายขนม ข้าจะขายให้ท่านดู ข้าใช้เงินเป็น ข้าก็หาเงินเป็นเช่นกัน”
หลังจากนั้น ตั้งแต่วันนี้ ท่านย่าหม่าจะเห็นหลานสาวในอีกด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางตกใจ นางทำได้ดีมากขึ้นทุกครั้ง
ขายขนมเค้กขายแบบนี้ก็ได้หรือ ที่โรงน้ำชา ตอนนี้โรงน้ำชายังไม่เปิดให้บริการ คนจะมากินน้ำชาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำ และจะมีการแสดงสามรอบ
คนที่มาโรงน้ำชา ส่วนมากจะเป็นผู้ชาย
ซ่งฝูหลิงเดินนำท่านย่าหม่า สองย่าหลานใช้ผ้าโพกหัวสีชมพูลายดอกไม้เดินไปที่ลานต้อนรับ ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นแต่มีผ้าโพกหัวสีชมพูของท่านย่า แค่เดินออกไปก็ทำให้ทุกคนตลกขบขันและเป็นที่น่าสนใจอีก
เสี่ยวเออร์จ้องไปที่ฝูหลิง มองสักครู่ก็จำได้
นั่นคือคนขายถั่วเมล็ดสนและมายืมเข้าห้องน้ำคนนั้นนั่นเอง
จะมาขอเข้าห้องน้ำอีกหรือ ไม่…มาครั้งนี้ มาขายของของกินอีกด้วย
ไม่นานนัก จั่งกุ้ยเดินออกมาจากห้องครัวด้านหลัง หลังจากชิมขนมเค้กแล้ว เขามองมาที่ซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงจ้องตากับจั่งกุ้ย สองตาประสานกัน ท่านจั่งกุ้ยคนนี้เป็นคนมองการณ์ไกล
ซ่งฝูหลิงจึงรอให้จั่งกุ้ยเปิดหัวข้อสนทนาก่อน
แน่นอน สิ่งแรกที่จั่งกุ้ยสนใจก็คือ ถ้าเขาต้องการขนมเค้กขนาดสิบหกชุ่นเป็นของกินเล่นคู่กับน้ำชา ต้องมาส่งทุกวัน และเจ้าจะต้องไม่ขายให้ร้านน้ำชาอื่นได้หรือไม่
ส่งฝูหลิงหัวเราะออกมา นางบอกว่า “ข้าไม่ปิดบังจั่งกุ้ย ข้าทำการค้าเล็กๆ ไม่ได้วางแผนขยายกิจการทำขนม” นางตื่นแต่เช้าต้องใช้เวลาในการทำขนม วันหนึ่งทำได้ไม่กี่ก้อน ดังนั้นร้านชาอื่นนางไม่ไปขายแน่นอน จะเอามาส่งร้านนี้เพราะพวกเราเคยซื้อขายถั่วเมล็ดสนด้วยกัน
ได้เลย
ตกลง เช่นนั้นพวกเราเจอกันครั้งแรกก็นับเป็นคนรู้จัก เจอกันครั้งที่สองนับเป็นเพื่อนกัน แล้วราคาแปดเหวินล่ะ สามารถลดได้อีกไหม พวกข้าต้องการจองขนมเจ้าเป็นระยะเวลานาน และจะซื้อทุกวัน
ซ่งฝูหลิงบอกว่า พวกเราไม่ได้ขายส่ง และไม่ได้วางแผนจะขายที่อื่น ยังเป็นคำเดิมนี้ ลดราคาไม่ได้จริงๆ พวกเราไม่ได้กำไรเยอะ ถ้าไม่เชื่อท่านลองชิมดูว่าข้างในขนมใช้แต่ของดีๆ
นอกจากนี้ นางยังบอกว่า ขนมก้อนเล็กราคาแปดเหวิน ความเป็นจริงแล้วขนมก้อนใหญ่ขนาดสิบหกชุ่น คิดราคาสิบสองเหวิน ถ้าจั่งกุ้ยลองหาวิธีตัดดีๆ ท่านสามารถตัดได้ถึงยี่สิบก้อนได้ไม่มีปัญหา
จั่งกุ้ยใช้มือเคาะโต๊ะและคิดคำนวณในใจ
ของกินแบบนี้ ไม่มีใครเคยกิน และไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนนุ่มละลายในปาก
ที่อื่นยังไม่มีขาย อย่างน้อยโรงน้ำชาอีกร้านในเมืองถงเหยาเจิ้นก็ไม่มีขาย
ถ้ามีคนตั้งใจมาร้านเพื่อกินขนมนี่ล่ะ อีกอย่าง ทุกวันพวกเขาก็มีการเตรียมขนมหวานไว้กินกับน้ำชา ซึ่งก็จองกับร้านขนมเหมือนกัน พวกเขาก็แค่ลดปริมาณการสั่งขนมร้านอื่นลง แล้วเพิ่มเค้กนี้เข้าไปเท่านั้น
“ทุกวัน วันละสามก้อนใหญ่”
สามก้อนใหญ่ก็คือสามสิบหกก้อนเล็ก แปดเหวินต่อหนึ่งก้อน จองทุกวัน ท่านย่าหม่า “ไอ้หยา…พระเจ้าช่วย”
สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงไปกว่านั้น คือ จั่งกุ้ยบอกว่า ให้เริ่มจากวันนี้ หลานสาวของนางกลับบอกว่า “ไม่ๆๆ ต้องขอโทษจั่งกุ้ยด้วย วันนี้ข้าส่งให้ท่านได้เพียงสองก้อน พรุ่งนี้พวกเราค่อยเริ่มใหม่ อันที่จริงวันนี้ข้าเอาขนมมาครบตามจำนวนที่ท่านต้องการ แต่ข้าไม่อยากปิดบังท่านว่าโรงเตี๊ยมฝั่งโน้นได้จองไว้แล้ว วันนี้ข้าจะเอาขนมไปส่งเขา”
นางวางขนมไว้สองก้อน คิดเงินเสร็จก็เดินออกจากร้านน้ำชา
ระหว่างทาง ท่านย่าหม่าเก็บเงินเรียบร้อย แล้วถามขึ้นอย่างรีบร้อน “โรงเตี๊ยมจองขนมเราตั้งแต่เมื่อไหร่” ซ่งฝูหลิงชี้ไปที่โรงเตี๊ยม หัวเราะชอบใจ “นี่ไง ก็กำลังจะจองแล้วไง”