ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 223
เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่อยู่ เช่นนั้นก็จั่งกุ้ย อยู่หรือไม่ “ตอนนี้อยู่ข้างบนกำลังคุยกับลูกค้า เจ้ารอสักครู่”
ซ่งฝูหลิงใช้มีดตัดขนมเค้กที่เมื่อครู่ถูกตัดแบ่งจากชิ้นใหญ่สิบหกชุ่นมาหนึ่งชิ้น อันนี้เก็บไว้ให้เจ้าของโรงเตี๊ยมชิม และขนมเค้กที่เหลือยังแบ่งออกเป็นสองชิ้น โดยนางขอจานกับเสี่ยวเอ้อร์เพื่อใส่ขนม เสี่ยวเออร์ให้นางรอตรงนี้ หลังจากจัดจานเสร็จจึงรบกวนเสี่ยวเอ้อร์นำขนมเค้กกับน้ำชา เอาไปส่งให้จั่งกุ้ยกับลูกค้าที่กำลังคุยธุระกันอยู่
และสิ่งที่นางส่งไปนั้นกลับทำให้ซ่งฝูหลิงเองก็คิดไม่ถึง นางกลับได้คู่ค้าที่นอกเหนือจากโรงเตี๊ยมกับร้านน้ำชา
เพราะจั่งกุ้ยต้องแบ่งขนมหนึ่งก้อนให้กับคนที่คุยธุระอยู่ด้วย คนที่คุยอยู่ตรงนั้นคือใครนะหรือ เขาคือผู้ดูแลหอนางโลมชิง
จริงๆ แล้ว ผู้ดูแลนางโลมก็คือแมงดา เป็นผู้ช่วยดูแลเด็กหญิงสาวเท่ากับเป็นคนจัดการต้นห้อง ผู้ดูแลท่านนี้เป็นผู้จัดการใหญ่ฝ่ายต้อนรับ ดูแลความปลอดภัย และยังทำหน้าที่อื่นๆ อะไรที่แมงดาไม่ทำ ท่านผู้นี้จะดูแลทั้งหมด
หอนางโลมชิงมักร่วมงานกับโรงเตี๊ยม คือ หญิงสาวที่อยู่ในหอนางโลมชิง บางครั้งต้องมาดื่มเหล้าหรือไม่ก็ร้องเพลงเป็นเพื่อนแขกที่นี่
เพราะฉะนั้น ผู้ดูแลต้องมาคุยธุระจัดการเรื่องค่าตอบแทนกับจั่งกุ้ย และคิดเงินส่วนที่ต้องให้นางโลม
เขาลองชิมขนมเค้กนี้ ชิมอย่างออกรสออกชาติ
ดังนั้น เมื่อจั่งกุ้ยที่ลงมาจากชั้นบน มองแค่หางตาก็จำซ่งฝูหลิงได้ เขาจำซ่งฝูหลิงได้อย่างแม่นยำ จั่งกุ้ยคิดว่านางเป็นคนรู้จักจึงหัวเราะและก็พูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับคู่ค้าอีกคน แต่ข้อตกลงก็เหมือนกัน โรงเตี๊ยมอื่นเจ้าจะไปขายขนมเค้กอีกไม่ได้ จะต้องขายให้ข้าเท่านั้น ข้าจะต้องจองใช่หรือไม่ ข้าจองขนมกับเจ้าแปดชิ้นทุกวัน วันนี้เจ้าเอามาด้วยหรือไม่”
ซ่งฝูหลิงยังใช้แผนเดิมที่คุยกับจั่งกุ้ยโรงน้ำชา
“ข้อที่หนึ่ง ท่านวางใจ ข้าไม่ได้วางแผนจะไปขายให้โรงเตี๊ยมอื่นเป็นแน่ ข้าตั้งใจมาขายที่นี่ ข้าอยากให้ขนมเค้กของพวกเราเป็นสินค้าท้องถิ่น ในแต่ละวันพวกเราผลิตได้ไม่เยอะ…
…ข้อที่สอง ไม่ๆๆ ท่านจะเอาขนมวันนี้เลนไม่ได้ วันนี้ข้าจะเอาไว้ให้ท่านหนึ่งก้อนใหญ่ หรือเท่ากับสิบสองก้อนเล็ก…
…ในตะกร้าเหลือก้อนใหญ่อีกหนึ่งก้อน แต่เมื่อครู่ถูกตัดแบ่งไปแล้วบ้าง”
ผู้จัดการหอนางโลมได้ยินคำนี้ เขาที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบนพอดี จึงถามว่า “ไม่ใช่แบ่งขายหรอกหรือ”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้า ใช่แล้ว
“งั้นเจ้าถือเอาส่วนที่ตัดออกแล้ว มากับข้า ข้าจะเอากลับไปแบ่งนางโลมในหอได้ลองชิม”
นางโลมหรือ
จั่งกุ้ยบอกว่า “คนที่ข้าจะแนะนำให้รู้จักคือ ท่านผู้นี้ ไปเถอะ ไปกับผู้ดูแลหม่าแห่งหอม่านชุน”
ครั้งแรกที่ส่งซ่งฝูหลิงได้ยิน ในใจก็อยากจะถามว่า ไม่ๆๆ ไม่ต้องแนะนำลูกค้าร้านอื่นให้ข้าแล้ว ตอนนี้ทุกวันต้องทำขนมเค้กก้อนใหญ่สิบเอ็ดก้อน แค่นี้ก็ทำให้นางเหนื่อยแล้ว นางจึงไม่อยากรับงานอีกแล้ว นางคิดยังไม่ถึงและยังไม่ได้ปฏิเสธ
เรื่องดีๆ อย่างนี้ ท่านย่าหม่าจะปฏิเสธได้อย่างไร มันช่างพอเหมาะ ได้เวลาและโอกาสเสียจริง พระเจ้าช่วย เทวดากำลังช่วยหลานสาวข้า ยิ่งผู้ดูแลแซ่หม่า แซ่เดียวกันอีก นางตื่นเต้นจนใช้พู่กันเขียนคำว่าหม่าไม่ออก
ท่านย่าหม่ายืนวางท่าวางทาง หลังจากรับเงินเก้าสิบหกเหวินก็ไม่นับสักนิด ท่านย่าที่สวมผ้าคาดหัวสีชมพู เดินจากไปกับผู้ดูแลหม่าแล้ว
ซ่งฝูหลิงจึงบอกจั่งกุ้ยว่า ต่อไปวันมะรืนข้าจะมาส่งขนมแปดก้อน คนที่มาส่งจะเป็นหญิงสูงวัยที่มีผ้าโพกหัวสีชมพูท่านนั้น
ประตูด้านหน้าหอนางโลมชิง
ซ่งฝูหลิงรีบจับแขนท่านย่า ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือสถานที่อะไร ถ้ามองจากโคมไฟ มิน่าถึงเรียกว่าหอม่านชุน
ที่ไหนหรือ
ซ่งฝูหลิงกระซิบบอก ท่านย่าหม่าถึงกับยืนตกตะลึงไปสักพัก “……”
“เช่นนั้นเจ้ารอข้างนอก เดี๋ยวข้าเข้าไปเอง”
“ไม่ใช่ ท่านย่า ไม่ต้องเข้าไป พวกเราทำไม่ทันหรอก และอีกอย่าง ท่านทำไหวหรือ” ซ่งฝูหลิงรู้สึกสงสัย”
ท่านย่าหม่าคิดในใจ ทำไมจะทำไม่เสร็จ เด็กคนนี้ ทำไมจะต้องกลัวว่าเงินจะกัดเอาหรือ วันนี้ไม่เห็นมีอะไรที่ทำไม่ไหว
นางหันไปพูดกับซ่งฝูหลิง “เจ้าคิดได้อย่างไรว่าข้าจะทำไม่ไหว ข้าทำได้” จากนั้นท่านย่าก็เดินเข้าไปในหอเรียบร้อยแล้ว
คนที่รออยู่ด้านนอกกลับเป็นซ่งฝูหลิง นางคิดไม่ออกเลยว่า เมื่อท่านย่าหม่าอยู่ในหอม่านชุนจะเป็นท่าทางอย่างไร
ท่านย่าหม่าเข้าไปไม่นาน นางก็ได้เห็นกระโจมเล็กใหญ่เรียงรายเต็มไปหมด ในใจรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในสวนของบ้านเศรษฐี
ไอ้หยา นี่คือหอชิงหรือนี่ สถานที่นี้เอาไว้ให้ท่านชายออกมาระบายความเครียด นางต้องเข้ามาดูว่าพวกเขามาระบายความเครียดเช่นไร
ใช่แล้ว ท่านย่าหม่ามาจากหมู่บ้านเล็กๆ ไม่เคยเห็นโลกกว้าง แค่เห็นกระโจมก็มึนไปหมด แต่นางก็ยังเข้าใจว่า ถึงแม้คนที่ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่จะไม่เคยเห็นหมูวิ่งคงเป็นไปไม่ได้ นางเคยได้ยินมา
หลังจากที่นางเห็นแมงดาและยังเห็นนางโลมที่มีหน้าตา ทรวดทรงสวยงามเดินผ่านนางคนแล้วคนเล่า นางแนะนำขนมเค้กออกรสออกชาติได้ดีทีเดียว
ท่านย่าหม่าเป็นคนเริ่มพูดเปิดการค้าก่อนคำแรก “แม่นางทั้งหลาย ทำไมท่านช่างงดงามเช่นนี้” นางยังมีสำเนียงท้องถิ่นพูดชื่นชมหญิงสาวและยังพูดติดตลกกับทุกคน
“นี่เรียกว่าขนมเค้กโบราณ ขนมเค้กนี้ ส่วนผสมมาจากไข่”
หญิงสาวคนนี้ใช้พัดปิดบังหน้าครึ่งหน้า ใช้น้ำเสียงหวานใสไพเราะถามขึ้น “ขนมเค้กโบราณหรือ”
“ใช่ ขนมเค้กโบร้าณ” ท่านย่าหม่าพูดซ้ำ คำว่า ‘โบร้าณ’ ออกเสียงเพี้ยนไปเพราะสำเนียงท้องถิ่นแล้ว
“ฮ่าๆๆ” หญิงสาวหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “ชื่อขนมเค้กนี้น่าสนใจจริง”
ไม่เพียงชื่อน่าสนใจ กินเข้าไปยิ่งช่วยบำรุงใจ หญิงสาวทั้งหลายมาชิมเร็วเข้า
จริงๆ แล้ว นางอยากจะพูดว่า พวกเจ้ารีบซื้อซื้อเยอะๆ ก็ดี พวกเจ้าหาเงินได้เยอะ จะเก็บไว้ทำไม มีเงินก็เอามาใช้ ถ้าไม่ใช้จะเอาไว้ไปทำอะไรยังไงก็ไม่มีครอบครัวอยู่แล้ว
แต่นางก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น นางบอกว่า “ทุกคนกินเยอะๆ นะ ต้องดูแลตัวเองโดยเฉพาะปีนี้ ทุกคนต้องรู้จักรักตัวเอง ต้องให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตที่ดีที่สุด กินอะไรที่อร่อยที่สุด จะได้ไม่เสียดายเมื่อมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เค้กโบราณนี้ หากกินในตอนเช้า ผิวพรรณจะสวยงาม”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ท่านย่าหมาออกจากหอนางโลมชิงแล้ว
ข้างในมีคนสองร้อยกว่าคน แม้แต่ซ่งฝูเซิงก็ยังไม่เคยกล้าเข้ามาหอนางโลมชิง เพราะราคาที่จะต้องจ่ายแพงหูฉี่ วันนี้ท่านย่าหม่าเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว
ท่านย่าหม่าสะพายตะกร้าเปล่าออกมา นางรีบคว้ามือของหลานสาวและหัวเราะดีใจจนหน้าแดง หน้าผากมีเหงื่อผุด ผ้าโพกหัวสีชมพูก็บิดเบี้ยวไปข้างหนึ่ง
“หลานสาวที่น่ารักของย่า ไอ้หยา หลานสาวข้า ฮ่าๆๆ พวกนางเอาขนมที่เหลือในตะกร้าไปแบ่งกันชิม พั่งยา เจ้าคิดว่าข้าขายได้เท่าไหร่ พวกนางจองวันละสิบสองก้อนใหญ่ สิบสองก้อนใหญ่เลยนะ แบ่งเป็นก้อนเล็กได้หลายก้อน ตัดออกชิ้นเล็กราคาแปดเหวิน เจ้าช่วยย่าคิดทีสิ และผู้ดูแลคนนั้นยังบอกว่า ถ้าขายดี ลองเอามาขายสักวันสองวัน จะขึ้นราคาให้”
ซ่งฝูหลิงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ท่านย่าขายไปสามก้อนใหญ่ก็พอไปได้ กัดฟันยอมรับได้
แต่นี่ ขายไปตั้งสิบสองก้อนใหญ่ นางจะทำไหวได้อย่างไ รเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนของนางเลย จะทำออกมาได้จริงหรือ นางต้องเหนื่อยตายแน่