ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 229
เตาอบจากอิฐขาวหกเตา ถูกก่อให้เป็นเตาอบติดกับด้านหนึ่งของกำแพง เป็นรูปครึ่งวงกลม ซึ่งซ่งฝูหลิงเริ่มต้นจะทำเตาอบดินปั้นตรงนั้น แสดงออกถึงไม่ความลงตัวตามแผนเท่าที่ควร
ในกลางห้องมีโต๊ะสี่ตัว โต๊ะสี่ตัวถูกวางเป็นวงกลม
จะมองเห็นโต๊ะเป็นสองแถวที่มีความยาวเท่ากัน ด้านซ้ายด้านขวาเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม ทางฝั่งด้านขวามือโต๊ะจะสั้นกว่าทางด้านซ้าย ซึ่งตั้งใจเหลือไว้ให้สั้นกว่า ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเพื่อให้เดินเข้าเดินออกไปได้
และเมื่อซ่งฝูหลิงเดินเข้ามา นางจะถูกล้อมด้วยโต๊ะทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ขังเธอไว้อยู่ข้างใน
จัดเป็นแบบนี้ ทำให้สะดวกกับการหยิบจับของใช้ ไม่ว่าจะหันหน้า หันหลัง หันซ้าย หันขวาก็สะดวก เพียงแค่ต้องการนมวัว ยื่นมือไปก็หยิบกลับมาได้ ถ้าต้องการไข่ไก่ แค่เอื้อมมือออกไปก็หยิบได้
นี่เป็นงานที่นางออกแบบเอง
แต่นี่เป็นงานที่ทำด้วยเวลากระชั้นชิด ถ้าไม่อย่างนั้นนางจะให้ท่านลุงรองช่วยทำโต๊ะอ่านหนังสือที่มีลิ้นชักด้วย จะยิ่งสะดวกขึ้นไปอีก
ถึงตอนนี้ ซ่งฝูหลิงกินอิ่มนอนหลับอย่างที่พึงพอใจแล้ว เรื่องแรกที่จะทำต่อไปก็คือจุดไฟเตาอบ ทำให้เตาอบเตาแรกร้อนเข้าไว้
แค่เห็นไฟค่อยๆ ลุกโชน นางก็ถอดเสื้อคลุมออก เหลือบมองไปที่นาฬิกาเพื่อจับเวลา หลังจากนั้นจึงเดินเข้ามาข้างในตรงกลางโต๊ะ
เริ่มนวดแป้ง นางนวดแป้งไปด้วยหัวใจกระยิ้มหย่อง
เริ่มต้น นางกลัวว่าถาดที่ปั้นจากดินเหนียวจะแตกง่าย จึงปั้นและเผาไฟไว้หลายๆ อัน เผื่อการใช้งาน
ท่านวดแป้งขอนางดูมั่นใจ เพราะเคยใช้ท่าทางจากการปั้นดินเหนียว ของใช้คุณภาพไม่ดีมักจะถูกนำมาใช้ไปก่อน ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พวกเขาปั้นอ่างดินเหนียวและเผาไฟไปได้หลายชิ้นเหมือนกัน
นี่คือสิ่งที่นางต้องคิดวิเคราะห์ กลัวว่าเข้าหน้าหนาวแล้วดินจะกลายเป็นน้ำแข็ง หากถึงตอนนั้น ดินตามฝั่งแม่น้ำคงกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด หากเราอยากจะขุดดินเหนียวคงจะลำบากไม่น้อย ก็ต้องใช้ทุกวิธีที่จะทำให้ทุกอย่างสะดวกและสบายใจขึ้น และต้องอบขนมให้ออกมาสวยงามหลายๆ หม้อ แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญอย่างไรก็ไม่รู้ ขนมเค้กโบราณ ขนาดสิบหกชุ่นหม้อใหญ่นั้น นางอบครั้งเดียวได้เจ็ดหม้อพอดี
เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถที่จะคิดให้ละเอียดได้ บางอย่างต้องอาศัยสวรรค์มาโปรด
อือออ…นางก็ไม่รู้ว่าที่เผาเครื่องปั้นเป็นชามออกมาสี่ใบ ก็เพราะความบังเอิญจากสวรรค์ด้วยหรือไม่
แน่นอน ตอนนี้ พรจากสวรรค์คงไม่สามารถช่วยให้ทำงานได้สำเร็จทุกครั้ง
สมองของซ่งฝูหลิงกำลังครุ่นคิดว่า อะไรที่มีแล้ว หรืออะไรที่ยังไม่มีบ้าง แต่มือก็ไม่หยุดที่จะทำงานไปด้วย ครั้งนี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นแล้ว
เมื่อถึงเวลาต้องใส่นม ก็เทนมใส่ เมื่อถึงตอนที่จะตีไข่ ก็ตีไข่ และเมื่อต้องใช้เครื่องตีไข่ที่มีความเร็วสูง ก็ใช้ความเร็วสูง เมื่อจำเป็นต้องใช้ความเร็วต่ำ ก็จะใช้ความเร็วต่ำ จึงทำให้เกิดฟองขึ้นมากมาย เมื่อเกิดฟองก็ใส่น้ำตาลลงไป โดยน้ำตาลต้องแบ่งใส่ลงไปเป็นสามครั้ง ตั้งแต่เริ่มจากการนวดแป้ง เราจะต้องกำหนดความเหมาะสมของการใส่น้ำ เกลือและน้ำส้มสายชู ทำด้วยความมั่นใจ ใช้มือนวดแป้งอย่างชำนาญ
การทำขนมเค้ก หากใช้คำพูดของซ่งฝูเซิงก็คืองานที่ถนัดที่สุดในตอนนี้ เขาทำขนมเค้กที่ลูกสาวของเขาเพิ่งสอนเมื่อวาน ตอนที่เขาทำอาจทำให้ตรงกลางของขนมมีความฟู
สิ่งเหล่านี้น่าจะเพราะการถ่ายทอดกันมาตามพันธุกรรม
ไม่เพียงเท่านี้ ครอบครัวตระกูลเถียนบวกกับซ่งฝูเซิงที่สามารถทำอาหารได้ พอถึงเวลาที่ซ่งฝูหลิงมีพัฒนาด้านการทำอาหาร ฝีมือนางก็ดีขึ้นมาก
ถึงซ่งฝูหลิงไม่ค่อยเก่งเรื่องทำอาหารจีน นางชอบทำอาหารฝรั่งที่มีความยากและซับซ้อน และยังชอบชงกาแฟ ทำแซนด์วิช แกงกะหรี่ รวมทั้งพิซซ่า อาหารประเภทเหล่านี้ โดยรวมๆ ในสายตาของพ่อนางจึงไม่สนใจว่าจะกินอิ่มหรือทำอาหารหลักเก่ง เพราะนางก็ทำได้ทั้งหมด
อย่างแรก ถาดขนมเค้กถูกนำไปอบแล้ว ที่เป่าไฟที่นางทำขึ้นกำลังส่องไปที่เตาและวางอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะพอเจาะ
หากจำเป็นต้องใช้ไฟแรง ก็แค่นั่งบนเก้าอี้ ดึงมือปั่นไปมา เครื่องเป่าไฟที่มีลมก็จะเป่าลมไปที่เตาไฟ ไฟก็จะลุกโชนขึ้น
นางกำลังครุ่นคิดว่า พรุ่งนี้ถ้านางใช้เครื่องเป่าไฟควบคุมเปลวไฟ จะต้องดูความเหมาะสมและต้องเปลี่ยนจังหวะเพลงและเนื้อเพลง ต้องดูว่าจะใช้เพลงคึกคักเหมือนเวลาออกรบหรือใช้เพลงที่มีจังหวะช้าๆ โรแมนติก ถึงจะเหมาะกับไฟของเค้กชนิดนี้มากกว่ากัน
ซ่งฝูหลิงถลกแขนเสื้อขึ้น หันไปดูเวลาอีกครั้ง นางคาดคะเนเวลาที่เตาอบจะเริ่มร้อน เวลาที่นางนวดแป้งเสร็จก็ส่งเข้าเตาอบ เมื่อถึงเวลาเอาเค้กออกจากเตาอบ เมื่อนั้นจะดูได้ว่าไฟที่ใช้ในการอบเค้กเบาหรือแรงไปหรือไม่
อืม ตอนนี้กำลังเตรียมถาดที่สอง
ถาดที่สองที่กำลังเตรียม จะใช้เตาอบใหม่และจะใช้พร้อมกับเตาอบที่ทำจากดินเหนียวเมื่อวานนี้ เพราะถาดแรกทดลองแล้วแต่ผลยังไม่ออก จะต้องดูประสิทธิผลของถาดต่อไป และจะยิ่งปลอดภัยเมื่อลองใช้เตาอบใหม่อบสักถาดหนึ่ง ขนมเค้กก็จะสุกตามต้องการ
เมื่อเค้กถาดแรกใกล้จะถึงเวลาออกจากเตาอบ ซ่งฝูหลิงอยู่ในห้องที่ถูกล็อคประตูอยู่ด้านใน จึงไม่รู้เลยว่าข้างนอกประตูเต็มไปด้วยเด็กๆ รายล้อมอยู่
แม้แต่เด็กน้อยที่ใส่หมวกลายสีสายรุ้ง คือหมี่โซ่ว นั่นก็มารอแล้วเช่นกัน
ในมือของหมี่โซ่วถือฟืนแห้งๆ ยืนอยู่หน้าประตู สายตาจ้องไปที่ประตูที่ปิดสนิทอยู่ และควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นระยะ
ยิ่งเด็กคนอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ซูเหมียวจือหาวิธีจะเข้าไปในประตูที่มาของกลิ่นหอมเย้ายวนใจนี้
หอมมาก หอมเหลือเกิน
ยายายกมือขึ้นมานับ แล้วถามเพื่อนๆ ว่า “พวกเจ้าคิดว่า พี่สาวพั่งยาจะทำขนมเค้กเสียไหม”
ลูกชายบ้านของซ่งฝูกุ้ย เสี่ยวจิงปาอ้ายังไม่ได้ปากตอบ น้ำลายก็ไหลย้อยลงมาก่อน
ลูกบ้านลุงกัวบอกว่า “ได้สิ นางต้องทำเสียบ้างล่ะ”
ลูกฝาแฝดของเกาถูฮู่ ในใจเต็มไปด้วยความยินดี “ถ้านางทำขนมเสียก็เยี่มเลย ถ้าขายไม่ออก พวกเราก็จะได้กินขนมแล้ว”
เด็กๆ ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ต่างพากันเบียดกันเข้าไปอยู่ตรงหน้าประตู แอบฟังและตั้งหน้าตั้งตาฟัง
ได้ยินข้างในประตูเป็นเสียงของพี่สาวพั่งยา เสียงนั้นแปลกประหลาดเสียจริง เสียงมีความแข็งแรง ฮึกเหิม เสียงร้องเพลงคล้ายกับพูดกับตัวเอง
“เย้ สำเร็จแล้ว
ท่านอาจารย์เดินเหินเคล่องแคล่วเหมือนสายน้ำไหล ยิงกราดไปคล้ายกับลูกปืน ไม้ท่อนกวาดเรียบเป็นหน้ากอง
แต่ท่านกลับจับแขนเสื้อแล้วพูดกับข้าว่า รีบอบขนมปังเถอะ
การฝึกฝนต้องทำใต้แสงแดดจากดวงอาทิตย์ กลางคืนต้องอาศัยแสงจันทร์ส่องสว่าง ถ้าไม่ฝึกหนึ่งวัน สิบวันที่ฝึกไปก็จะเสียเปล่า
วีรบุรุษใช้เวลาฝึกสิบปี เมื่อขึ้นเวทีจริงแค่หนึ่งนาที ทั้งยากเข็นและเหงาจะมีใครเล่าเข้าใจ
ควงพลังหมัดลอยอยู่บนอากาศ ร่างกายเคลื่อนไหวราวมังกร การต่อยอดความฝันของการทำเค้ก”
อย่างที่บอกไป เด็กๆ หลายคนได้ยินเนื้อเพลงที่ซ่งฝูหลิงกำลังร้อง มันคือเพลง “วีรบุรุษหนุ่ม”
ซ่งจินเป่าก็มาแล้ว
ซ่งจินเป่ากำลังทำตามธรรมเนียม “ก่อนที่จะถูกทำโทษ พวกเจ้ารีบตามพี่ชายออกมาเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่า พวกเรายังอยากดมกลิ่นหอมอบอวลนี้อยู่เลยนะท่านพี่”
“ไม่ต้องดมแล้ว นั่นเป็นของซื้อของขาย พวกผู้ใหญ่เห็นพวกเจ้าเฝ้าตรงนี้เพื่อรอกินขนมละก็จะต้องโดนทำโทษเป็นแน่” ซ่งจินเป่าถามขึ้น “พวกเจ้าเก็บฟืนเพียงพอแล้วหรือยัง”
“พวกเราหรือ”
ซ่งจินเป่ากำลังพยายามต่อรอง “อย่าต่อรองอีกเลย ลุงสามบอกว่าลูกของคนจนๆ ต่างต้องออกไปทำงานแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่สามารถที่จะคิดและทำได้ตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง”
“แต่ว่า…ฮือ ฮือ ฮือ” ยายารู้สึกเสียใจ น้ำตาผุดออกมาเป็นเม็ดๆ นางใช้มือเล็กๆ ปาดน้ำตาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้า
นางเพิ่งอายุสี่ขวบ จะเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองได้อย่างไรกัน
ยายาร้องไห้เสียงดัง เสี่ยวจิงปาก็พากันร้องไห้ตามไปด้วย แต่ว่า เด็กๆ ไม่กล้าจะร้องเสียงดัง เพราะกลัวเสียงร้องไห้จะเรียกพ่อกับแม่เข้ามาหา หากเป็นอย่างนั้น ความหวังคงหมดสิ้น
เด็กๆ หมดความหวังจึวพากันทยอยเดินจากไป พวกเขาไม่รู้เลยว่าพี่สาวพั่งยาอบขนมก้อนที่ยี่สิบกว่าและไม่ได้ร้องเพลงแล้ว แต่กลับตะโกนว่า “ท่านอาจารย์ ข้าอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว”
เมื่อถึงถาดที่สามสิบกว่า พี่สาวพั่งยาก็ไม่พูดอะไรแล้ว ทำงานไปอย่างปวดใจ เมื่อหิวก็จะดื่มแต่น้ำเท่านั้น
เฉียนเพ่ยอิงมาส่งข้าวให้เพื่อเติมพลังให้ลูกสาว เมื่อนางเดินเข้ามาก็ส่งยิ้มและหัวเราะ ถึงแม้จะดูไม่ค่อยจริงใจ แต่นางก็กลั้นไม่ไหวจริงๆ
สีหน้าของลูกสาวเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “ถ้าไม่อย่างนั้นก็หยุดทำเถอะ ท่านย่าของเจ้ากับท่านน้ากลับมาแล้ว คงไม่กล้าเข้ามารบกวนเจ้า แม้แต่ไข่ที่ซื้อมาก็ไม่กล้าเอามาส่ง เมื่อครู่ท่านย่ายังบอกว่าให้เจ้ากลับบ้านไปนอนบนเตียงเตาสักครู่ แล้วค่อยกลับมาทำใหม่”
“ไม่ พวกเขาไม่เข้าใจ ถ้าข้านอนลงไปก็จะลุกขึ้นไม่ไหวอีกแล้ว” เมื่อถึงถาดที่ยี่สิบสี่ ข้างนอกฟ้ามืดสนิท เด็กๆ ได้ดมกลิ่นหอมของขนมเค้กทั้งวันจนรู้สึกชินชา ตอนกลางคืนพวกเขาอาศัยกลิ่นขนมเค้กเป็นกับข้าว แค่กินขนมแป้งจอก ก็รู้สึกหอมเหมือนขนมเค้กแล้ว
เมื่อดึงเค้กถาดที่ยี่สิบหกออกจากเตา ซ่งฝูหลิงถือขนมเค้กออกมา มือสั่นเล็กน้อย และวางไว้โดยไม่สนใจ รีบเอาเครื่องตีไข่กลับเข้าไปไว้ในพื้นที่พิเศษ ดึงผ้ากันเปื้อนออกแล้วโยนไปด้านข้างผนัง สองมือรีบเปิดประตูจากห้องอบขนมไปทันที
ข้างนอกของประตู ท่านย่าหม่ายิ้มแบบปลอบใจ ไม่ยิ้มปลอบใจก็คงไม่ไหว เพราะกลัวทำให้หลานสาวโมโห เจ้าดูเหนื่อยจนแววตาไม่มีแววแล้ว “ย่าจะเข้าไปเก็บของให้ เจ้าวางไว้ตรงนั้นแหละ ย่ารับรองว่าจะเก็บให้เจ้าอย่างดี เจ้ารีบกลับไปนอนเถอะ”