ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 236
ผู้หญิงวัยกลางคน ตัวอวบอ้วน ผิวขาว เดินเข้ามาพร้อมต่อว่า “เจ้าไม่ทำงานอีกแล้ว แอบมาอู้อีกแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ ท่านแม่ ท่านลองดมกลิ่นดู นี่ใช่กลิ่นทอดน้ำมันหมูหรือไม่”
“เจ้าตามกลิ่นนี้มาหรอกหรือ ข้าคิดว่ากลิ่นเหมือนน้ำมันหมู ทั้งตัวมีแต่น้ำมัน ขี้เกียจเกินมนุษย์ ย้ายเตียงเตานั่งไปเรื่อยๆ”
ท่านป้าที่กำลังสั่งสอนคนคนนี้ก็หมดปัญญาเหมือนกัน
นางต่อว่าหลานสาวที่ยกให้แต่งกับลูกชายตัวเอง ที่บ้านนางมีลูกสะใภ้ทั้งหมดห้าคน คนนี้เป็นคนขี้เกียจที่สุด แม้แต่ลำไส้ก็ยังขี้เกียจจนเขียว
“ใช่แล้ว กลิ่นอะไรมาจากทางโน้น ข้าไม่ได้โกหก พวกเจ้ารีบมาดมเร็ว”
“ดมหาอะไรละ ใครที่ไหนกินน้ำมันหมู ตอนนี้น้ำลายเต็มปากข้าไปหมดแล้ว…
…คนพวกนั้นอพยพมามาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นพวกเขามาซื้อเต้าหู้ที่บ้านของนางเลยสักก้อน ยังมีน้ำมันหมูและของหายากอื่นๆ อีกด้วย พวกเขาซื้อเฉพาะตาข่ายสำหรับห้อยไหใบเล็ก แต่หลังจากนั้นสองวันก็ใช้เสื่อที่ทำจากหญ้าคลุมข้างบนกระโจม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเข็นอะไรออกไปแลกเงิน”
ท่านป้าคนนี้ ที่ทำได้คือใช้มือบิดและหยิกดึงหลานสาวและลูกสะใภ้กลับบ้านไป
ลูกสะใภ้และแม่สามีสองคนเพิ่งจากไป ท่านย่าหม่ากับซ่งอิ๋นเฟิ่งก็เข็นรถที่มีเสื่อถักจากหญ้าที่ผุพังคลุมอยู่กลับมาแล้ว
ทั้งสองคนหนาวจนสั่นสะท้านเป็นน้ำแข็ง หมวกก็กลายเป็นน้ำแข็ง หัวไหล่ รองเท้ามีแต่หิมะ พวกเขาเข็นเข่งนึ่งเปล่าๆ กลับมา
เวลาผ่านไปไม่นาน นางเห็นเหอซื่อกับจูซื่อเดินมาหาเพื่อช่วยเข็นรถเข็น และยังเรียกทั้งสองคนให้ช่วยเอาเข่งนึ่งลงจากรถ “อ่อ…นี่คือกุญแจ ขนเข้าไปในห้องทำขนมเลยก็แล้วกัน รอให้ค่ำๆ ค่อยมาล้างก็ได้”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งรู้ว่าท่านแม่ต้องการไล่ลูกสะใภ้ทั้งสองคนให้กลับไป แล้วแอบเดินออกไปข้างนอกเพื่อจะไปบ้านลูกสาม เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนรู้ว่านางซื้อเนื้อมาให้บ้านลูกสาม
ใช่แล้ว ท่านย่าหม่าซื้อเนื้อมาหนึ่งชิ้น เป็นเนื้อแดงติดมัน ราคาแพงกว่าเนื้อมันธรรมดาหนึ่งเหวิน
นอกจากเข่งนึ่งก็ซื้อเนื้อหมูมาด้วย โดยนางตั้งใจไปซื้อที่ตลาด
นางเห็นหลานของนางตั้งหน้าตั้งตาอบขนม กลางคืนไม่หลับไม่นอน กลางดึกก็ตื่นมาหิว จึงให้แม่ของนางทำบะหมี่เนื้อหมูไว้ให้กิน
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังข้ามสะพาน คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ทั้งสองคนจะมาต้อนรับพวกเขา
จูซื่อใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมตะโกนว่า “ท่านแม่ พอดีเลย แป้งจี่ไส้หมูหม้อแรกเสร็จพอดี ข้าทำไว้รอท่าน นี่มันช่างบังเอิญ ท่านกลับมาแล้วจริงๆ”
“แป้งจี่หรือ มีไส้อะไรบ้าง”
“ไส้หมูแครอท ท่านดู มีเนื้อด้วย”
เนื้อหมูถูกส่งมาที่หน้าบ้าน เป็นหมูป่าที่พวกเขาตีจนตายเมื่อเช้านี้
ไอ้หยา…ท่านย่าหม่าอ้าปากหัวเราะจนเห็นรอยยิ้ม พออ้าปาก ปากแห้งเกินไปจึงมีเลือดไหลซึมออกมาด้วย
หนึ่งวันที่ไม่ได้อยู่บ้าน พวกเจ้าแสดงความสามารถออกมาได้เรื่อยๆ เลยนะ
“ท่านแม่ เย็นนี้ขายขนมเค้กไปได้เท่าไหร่หรือ ขายไปไม่น้อยใช่หรือไม่”
สีหน้าท่านย่าหม่าเปลี่ยนไป ไม่มีรอยยิ้มเหลือบนใบหน้าแล้ว “จำนวนเงินเท่าไรไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบมาช่วยเข็นรถก่อน”
ท่านย่าหม่าเข้าไปในเมือง ไม่มีเวลาสนทนากับผูใด มีแค่ส่งรอยยิ้มเป็นการทักทาย บอกว่า วันนี้จะออกมาก่อน เมื่อออกมาก็ไปที่บ้านซ่งฝูเซิงทันที
นางจะเอาเนื้อที่ซื้อมาไปให้ซ่งฝูหลิง “ให้แม่ของเจ้าเก็บให้ดี อย่าให้ป้าใหญ่กับป้ารองเห็น” จากนั้นใช้มือตีไปที่เอวสองสามครั้ง “เงินเหวินเดียวก็ไม่ขาด รอสักพักพวกเราค่อยมานับเงินกัน นับเสร็จเดี๋ยวข้าจะเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง
“ท่านย่า ท่านไปทำอะไรมาหรือ เพิ่งกลับมายังจะยุ่งขนาดนี้ รีบไปนั่งบนเตียงเตาให้อบอุ่นก่อน”
“ไม่แล้ว ไม่กี่วันนี้มานี้ข้าแบ่งข้าวสารกลับไปบ้านแล้ว ยังจะกลับไปกินแป้งจี่ไส้หมู จะมากหรือน้อยเจ้าก็ต้องไปออกแรงทำงานช่วยเหลือกันถึงจะมีหน้าไปกินอาหารกองกลางใช่หรือไม่ ตอนนี้ไม่มีเวลาไปนั่งบนเตียงเตาให้อบอุ่นเลย
ห้องโถงของส่วนกลาง
หญิงสูงวัยหลายคนใช้สองมือนวดแป้งแล้วแบ่งเอาแป้งเข้าไปติดข้างหม้อเพื่ออบและรมควัน พร้อมทั้งพูดคุยกันหัวเราะสนุกสนานเฮฮา
ท่านยายทั้งหลายสนทนาหัวเราะต่อกระซิกกันจนฟันแทบจะหลุดออกมา นี่ถึงเรียกว่า สบายใจ แต่ว่าท่านยายทั้งหลายเหล่านี้ ตอนนี้ก็ยังรอให้ท่านย่าหม่ากลับมา
ถ้าท่านย่าหม่ากลับมาเล่าเรื่องแค่คำสองคำ พวกนางคงรู้สึกเสียดายมาก เพราะการได้ฟังนางก็เหมือนกับได้ฟังเรื่องราวในหนังสือจากสวรรค์
“ข้าจะเล่าให้ฟัง เงินที่เก็บหน้าร้านน้ำชากับเงินที่เก็บหลังร้านนั่นไม่เหมือนกันหรอกนะ…
…ข้างหน้าร้านจะเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่ สามารถนั่งดื่มชาร้อน กินขนมเค้ก แต่ยังสามารถให้เสี่ยวเออร์นั่งคุกเข่าเพื่อนวดขา นวดก็ไม่ใช่ว่านวดเปล่าๆ ต้องให้เงินพิเศษด้วย…
…ด้านหลังทางฝั่งประตูจะไม่มีเตาถ่าน เจ้าต้องนั่งเก้าอี้ยาว…
…คนข้างนอก ยิ่งมีเงินมีทอง ดวงตาจะมีแววตาเฉพาะ ถ้าใครมีเงินถึงจะถูกเรียกว่าเตี่ย”
“ฮ่าๆๆ ท่านยายหวัง แล้วเจ้าล่ะจะเอาเงินไปเก็บที่ไหน เจ้ามีคนทั้งหมู่บ้านเรียกว่า เหนียง เรียกท่านยายก็ยังมี”
“ไอ้หยา ข้ามีลูกชายไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ดีใจที่จะเป็นยายของคนพวกนั้น เด็กพวกนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเลี้ยงยังไงให้โตเหมือนกัน”
แล้วท่านย่าหม่าพูดขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะเล่าต่อว่า ดูหอนางโลมนั่น พวกเจ้าเข้าใจว่าพวกเขาซื้อขนมเค้กข้าใช่ไหม” ท่านย่าหม่าพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มพอใจ “แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นเพราะพวกเขาต้องการขึ้นไปที่ชั้นสอง”
“ความหมายว่าอย่างไรหรือ คนที่อยากขึ้นชั้นสองก็ต้องสั่งของมากกว่าคนข้างล่างงั้นหรือ”
“ความหมายก็คือ หอนางโลมยังมีขนมอย่างอื่น สามารถซื้อของหรือของขนมต่างๆ ที่จัดอยู่ชั้นหนึ่งได้…
…ถ้ามีแขกอยากจะเรียกสาวๆ แมงดาจะให้ซื้อขนมที่อยู่ชั้นหนึ่ง แต่จะคิดเงินกับเจ้าเยอะมาก เรียกว่า ลองตลาด อันนี้คือตั้งใจ แต่ถ้าเจ้าจ่ายเงินไม่ได้ล่ะ”
“ถ้าไม่มีเงินจะทำยังไง” ท่านยายหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบ
“ถ้าไม่มีเงินจ่ายแต่เจ้าอยากจะมาพบเด็กสาว ก็จงคลานกลับไปบ้านแม่ของเจ้าเถอะ”
ท่านย่าหม่ายังพูดต่อว่า “จะต้องซื้อขนมที่ราคาไม่แพงก่อน แต่ต้องจ่ายเงินจำนวนมาก ต้องให้แม่เล้ารู้ว่าท่านมีเงินในกระเป๋าไม่น้อย ในกระเป๋ามีของมีค่าจึงจะสามารถขึ้นไปชั้นสองได้ ชั้นสองไม่เหมือนกับชั้นหนึ่ง จะมีเด็กสาวมานั่งเป็นเพื่อนถึงจะกินขนมบ้านข้าได้ เข้าใจหรือไม่”
“ไอ้หยา ขนมบ้านพวกเรา แพงขนาดนั้นเลยหรือ” “อย่างที่บอก ต้องเป็นคนมีเงินถึงจะขึ้นไปกินได้ และเป็นพวกประเภทคนรวยที่มีฐานะ แล้วสมมุติว่ายังไม่ได้กินล่ะ” เหล่าหญิงสูงวัยพากันสอบถามอย่างตื่นเต้น
พวกเจ้าคงคิดไม่ถึง และไม่กล้าคิด ต้องรู้สึกภาคภูมิใจไปด้วย
พรุ่งนี้พวกเราจะออกไปดู ถึงฤดูใบไม้ผลิก็ต้องปลูกผัก
นางบอกกับคนอื่นว่า “ขนมที่ที่ผลิตจากบ้านข้า สามารถเอาไปวางขายบนชั้นสอง…
…หอนางโลมชั้นสองเป็นสถานที่อะไรรู้หรือไม่”
ท่านยายหวังถามขึ้น “ขนมของเจ้าชื่ออะไรหรือ”
“ขนมเค้กโบราณ”
“ไม่ใช่ นั่นคือชื่อขนมเค้ก ข้าคิดว่าร้านขายขนมที่ไหนก็ต้องมีชื่อและมียี่ห้อ ตอนพวกเราไปในเมือง คนขายไข่เล่าว่าขนมพวกเราถึงแม้จะไม่มียี่ห้อ ถ้าเช่นนั้นก็จำเป็นต้องตั้ง….”
ท่านยายหวังยังไม่พูดจบ ท่านย่าหม่าก็เข้าใจทันที เข้าใจปุ๊บก็หัวเราะขึ้นมา “เรียกว่าขนมท่านย่าหม่า”
“ทำไมหรือ”
“ท่านย่าหม่า พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ หลานสาวของข้าเป็นคนเรียกไง ตอนที่ทำขนมเค้กโบราณ นางจะใส่ส่วนผสมลงไป ทำให้เป็นขนมมีรสชาติหลากหลาย ไม่ต้องพูดถึงวิธีการทำขนมพวกนี้ รู้แค่ว่าขนมผลิตมาจากบ้านท่านย่าหม่าก็พอ”
ฟังถึงตรงนี้ท่านย่าหม่าก็ปิดปากตัวเองกลั้นหัวเราะ กลัวว่าฟันจะหลุดออกมา และยังพูดจาแปลกประหลาดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ หลานสาวข้าบอกว่า เมื่อเวลาผ่านไป เวลาจะค่อยๆ ทำให้เกิดเป็นสินค้าในท้องถิ่น แค่พูดถึงขนมนี้ก็รู้ว่าเป็นขนมที่แปลงร่างมาจากขนมเค้ก”
“อะไรหรือ คือสินค้าเข้าที่หรือ อะไรคือแปลงร่างมา”
“สินค้าท้องถิ่น ไม่ใช่สินค้าเข้าที่ เจ้าจะเข้าที่ทำไม แปลงร่างอะไร ไอ้หยา ข้าไม่คุยกับเจ้าต่อแล้ว ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด”
ไม่มีคำพูดอะไรต่อ พูดไปพูดมาไม่น่าสนุกเหมือนเมื่อครู่แล้ว
จากนั้น ท่านย่าหม่าก็ใช้คำพูดซ่งฝูหลิงพูดให้ท่านยายทั้งหลายฟัง ทำให้ท่านย่าท่านยายทั้งหลายฟังแล้วมีแววตาสนใจและก็อิจฉา
“ทำไมถึงไม่เรียกท่านว่า ท่านย่าซ่ง”
“เพราะนางไม่เชื่อฟังข้ายังไงล่ะ” ท่านย่าหม่าหัวเราะจนตัวงอ พูดไปด้วยหัวเราะ ปรบมือไปด้วย
“นางต้องการให้ข้าหาเงินเพื่อเป็นเงินส่วนตัว ยังบอกกับข้าว่า ท่านย่า ท่านอย่าแบ่งอาหารให้คนนี้เยอะ ให้คนนี้น้อย เป็นคนบ้านเดียวกัน ถ้าทำอย่างนั้นบ่อยๆ มันไม่สนุกแล้ว กินอาหารแต่ใช้มือห่อกลับบ้าน มันดูขี้เหนียวไปหน่อย หลานข้าบอกข้าอย่างนี้ ท่านต้องหาเงิน ใครที่กตัญญูก็เอาเงินนี้ให้เขาไป”
ท่านยายทั้งหลายพากันพูดขึ้น “ถูกต้องแล้ว ถ้าพวกเรามีเงิน ใครก็ต้องกตัญญู ใครก็ต้องแย่งกันดูแล ต้องไม่ใช้เสียงเบาเสียงเล็กกับลูกสะใภ้ ทุกคนต้องพูดง่ายสอนง่าย และยังต้องการให้เจ้ามีอายุยืนยาวเพื่อหาเงินไง”
ทุกคนพากันถอนหายใจมองไปที่ท่านย่าหม่า เรื่องนี้ยิ่งทำให้คนอิจฉา บางคนก็ค่อยๆเงียบไป พวกนางเองก็ต้องการมีเงินเก็บมีเงินเยอะๆ จนลูกสะใภ้ตั้งใจที่จะทำงานให้ ปรนนิบัติดูแลอย่างดีและอยากให้พวกนางมีชีวิตอยู่หลายๆ ปี เพื่อหาเงิน
ในอนาคต วันไหนที่หมดลม คนในบ้านก็คงร้องไห้อย่างจริงใจ เพราะคนที่หาเงินได้ตายไปแล้ว เมื่อคนที่เป็นหลักในการหารายได้ก็ล้มหายตายจากไปแล้ว เงินที่ถูกเก็บไว้ก็จะกลายเป็นแผ่นไม้ที่จะเอามาทำโลงศพ จะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร
“ปีใหม่แล้ว ปีใหม่แล้ว ปีใหม่แล้ว “
ซ่งจินเป่าพาเด็กๆ ร้องตะโกน ใช้มือเกี่ยวกันเป็นวงกลม ร้องตะโกนกันเต็มห้องโถง เด็กบางคนกำลังล้มกลิ้งไปมา เด็กที่ล้มอยู่บนหิมะพากันหัวเราะชอบใจ
หัวเราะ ฮ่าๆ แต่ว่าเมื่อจินเป่าเข้ามาแล้ว เห็นทุกคนเล่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ วันนี้คงสนุกมากจนนอนฉี่รดที่นอนเป็นแน่
ซ่งสี่ฟาอดทนแล้วอดทนอีก ตั้งแต่ช่วงที่พวกเขาทอดน้ำมันหมู กินกากหมู เด็กๆ ทุกคนคล้ายกับจะบ้าคลั่งเข้าไปอีก ซ่งจินเป่าทั้งกระโดดทั้งตะโกน “ปีใหม่อะไร พูดเพ้อเจ้อไปได้ แค่ได้กินของอร่อย แค่นี้ก็ฝันหวานแล้วเหรอ”
เฉียนหมี่โซ่วมองไปที่พี่ชายคือ ซ่งจินเป่า ถ้าไม่ทำตัวดีๆ ต้องถูกตีอีก เขายังอยู่ในอ้อมกอดของท่านป้า ในมือถือแป้งจี่และกำลังกัดกินอยู่ ขณะเดียวกันก็หัวเราะจนตาปิด
เมื่อครู่นี้เขารู้สึกว่า พี่ชายจินเป่าใกล้จะถูกทำโทษแล้ว ในใจยังช่วยพี่ชายนับถอยหลัง
“อร่อยหรือไม่” ซ่งฝูเซิงถามหมี่โซ่วที่อยู่ในอ้อมกอด
เจ้าเด็กคนนี้ วันนี้ไม่ให้เฉียนเพ่ยอิงป้อนข้าวและไม่กินข้าวกับพี่สาวซ่งฝูหลิง และยังไม่ยอมเข้าไปเล่นกับเด็กๆ คนอื่นด้วย อยากจะอยู่ในอ้อมกอดของเขา กินกับข้าวที่มีน้ำซุปอร่อยมากกว่า
เขาเป่าซุปเลือดหมู “อ้าปาก”
เฉียนหมี่โซ่วซดน้ำซุปร้อนหนึ่งคำ กินเสร็จก็ยิ้ม แสดงให้เห็นว่าชอบมาก เขาหันซ้ายหันขวาไปมองรอบๆ พบว่าทุกคนกำลังซดซุปเลือดหมูอย่างเอร็ดอร่อยและในมือมีแป้งจี่ ปากเต็มไปด้วยน้ำมันหอมฟุ้ง ซ่งฝูเซิงเองใบหน้าก็เต็มไปด้วยน้ำมัน “อร่อยมาก ท่านลุงต้องกินเยอะๆ”
เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์ไม่เบา
พอทำอย่างนี้ เขาก็ทำให้ทุกคนหลงรักได้มากกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก
ซ่งฝูเซิงใช้มือแตะหน้าผากของเขา และไปแปะกับหน้าผากของเด็กน้อย หัวใจเต็มไปด้วยความรัก หัวเราะแล้วพูดว่า “เด็กผู้หญิงพวกนั้นมาแล้ว มา เอาหมวกนี้ไปใส่”
“อะไรหรือ”
“ฟันหมูป่า ใส่แล้วจะมีความเป็นผู้ชาย”
“ท่านลุง ความเป็นผู้ชายคืออะไรหรือ”
“เป็นกลิ่นเฉพาะแบบหนึ่ง มีกลิ่นนี้แล้วจะหาคู่ครองได้ง่าย
“คู่ครองคืออะไรหรือ”
“คู่ครองก็คือภรรยา”
หลังจากนั้น ซ่งฝูเซิงอุ้มหมี่โซ่วมากินข้าว และยังพูดเล่าเรื่องต่างๆ ให้เด็กน้อยฟัง
“เจ้าดูนี่ ที่ผ่านมาบรรพบุรุษของเราเวลาจะหาภรรยาจะต้องออกไปล่าหมู เอาหนังหมูกลับมาและพันหนังหมูไว้บนร่างกาย…
…ยิ่งถ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้าย หากเอาหนังของมันมาพาดไว้ เอาฟันของสัตว์ตัวนั้นมาห้อยที่คอได้เยอะเท่าไรก็จะยิ่งดี…
…เจ้าดู แบบนี้ถือเป็นการบอกผู้หญิงเหล่านั้นให้มองมาที่ข้า ข้าเก่ง มีกลิ่นอายของผู้ชายอย่างเต็มตัว…
…บนหัวนี่ก็คือฟันของเสือ บนหูเป็นของสุนัขจิ้งจอก ตรงคอเป็นสร้อยจากฟันสิงโต หากเจ้าไปกับข้า ก็จะไม่ถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย และยังได้กินดีอยู่ดี…
…เข้าใจหรือไม่ หากมีกำลัง อะไรก็ไม่กลัว แบบนี้เรียกว่ากลิ่นของลูกผู้ชาย”
เฉียนหมี่โซ่วใช้มือจับไปที่กระดูกหมู ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “งั้นข้าไม่เอาอันนี้พรุ่งนี้ข้าจะเอาฟันสุนัขจิ้งจอกไปห้อยคอ อันนี้ให้ท่านลุงเก็บไว้เถอะ”
ซ่งฝูเซิงคิดว่า ตั้งแต่อายุห้าขวบจนถึงวัยชรา คนเราต้องมีจิตใจที่อยากเอาชนะ
บรรยากาศครึกครื้นที่ทุกคนกำลังกินข้าวคล้ายกับเด็กๆ ได้กินข้าวในช่วงปีใหม่ กินจนซ่งฝูกุ้ยตาแดง ได้ยินว่าเขาแอบนั่งใช้มือลูบคลำถ้วยข้าวอยู่ ใช้มือเช็ดน้ำตา ทั้งกินทั้งพูดไปด้วยว่า “ใช่ รสชาตินี้แหละ เป็นรสชาติที่ดีจริงๆ”
ความจริงแล้วจะไปมีรสชาติอะไรกัน
น้ำซุปเลือดหมู กับผัดสันนอกหมู เครื่องปรุงอะไรก็ไม่มี แม้แต่เกลือก็ไม่กล้าจะใส่ จะไปอร่อยตรงไหนกัน
แม้แต่แป้งจี่ไส้ที่หัวผักกาดเยอะกว่าเนื้อสัตว์ พวกเด็กๆ ก็ยังบอกว่าอร่อย มีน้ำมันเต็มปากเต็มคำ
เป็นความรู้สึกดีที่มีน้ำมันเต็มปากเต็มคำ
เรื่องที่คนในครอบครัวซ่งฝูกุ้ยได้ยิน พวกองค์หญิงองค์ชายคงพากันหัวเราะ
ซ่งฝูเซิงไม่มีเวลามากอดหมี่โซ่ว ชวนพูดคุยแล้วบอกให้ไปเล่น
ดังนั้น ทุกคนต้องออกไปต่อสู้ นี่จึงเป็นก้าวแรกของหนทางหมื่นลี้ที่ยาวไกล
จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือ “ทุกคนต้องได้กินอาหารที่มีน้ำมันทุกมื้อ”
“คนที่ข้าเรียกชื่อ ให้มาพร้อมกันที่ห้องประชุม ทุกคนต้องตั้งใจฟัง ท่านลุงซ่งจะแจกจ่ายงานให้”
ซ่งฝูเซิงเช็คชื่อ “ท่านแม่ ท่านมากับข้า”
ท่านย่าหม่ารู้สึกแปลกใจ นางมักจะมองหาหลานสาวในกลุ่มคนแต่วันนี้กลับหาไม่เจอ
ซ่งฝูหลิงไปห้องทำขนม นางเพิ่งคิดออกว่าเย็นนี้ท่านพ่อจะต้องเก็บกระเทียมเหลือง พรุ่งนี้เช้าก็จะขนไปขาย ถ้าออกไปก็คงไปทั้งวัน ท่านแม่ก็สามารถเข้าไปชาร์จแบตเครื่องตีไข่ได้ แต่นางไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนเอาเครื่องชาร์จแบตออกมาจากพื้นที่พิเศษน่ะสิ
ใช่แล้ว ซ่งฝูเซิงเช็คชื่อคนที่อยู่ในห้องประชุมว่าคนก็เพื่อจะเตรียมตัวออกไปขายกระเทียมเหลืองนั่นเอง
เจ้าต้องฝึกคนพวกนี้ก่อน
อย่างเช่น ถ้าเจอคนไม่ให้เข้าโรงเตี๊ยม พวกเจ้าจะต้องพูดอย่างไร เจ้าต้องบอกคำพูดกับพวกเขา ในอำเภอต้องมีคนแบบนี้ทุกที่
ถ้าเจอคนที่ขอส่วนลด พวกเจ้าจะต้องพูดอย่างไร
หากช่วงเย็นพบคนมาลาดตระเวนถามพวกเจ้า พวกเจ้าต้องพูดอย่างไร
และที่สำคัญก็คือ จะพูดยังไงกับจั่งกุ้ยเพื่อให้เขายอมรับซื้อผลผลิตในระยะยาว และจะส่งของได้กี่วัน หนึ่งครั้งต้องส่งกี่จิน
นอกจากนี้ เขาก็ใช้มือวาดแผนที่คร่าวๆ นั่นคือ เขากับพี่ชายสุ่ยได้สอบถามข้อมูลมาเรียบร้อย ใช้ประสบการณ์ที่พวกเขาเข้าไปในเมืองไม่กี่ครั้งเพื่อวาดแผนที่ออกมา
เขาบอกว่า นอกจากเมืองเฟิ่งเทียน ยังมีเมืองถงเหยาเจิ้น อำเภออวิ๋นจง อำเภออวิ๋นจงผ่านไปอีกไม่ไกลก็คืออำเภอจยา
เมืองถงเหยาเจิ้นส่วนนี้ “ท่านแม่ ท่านก็เข้าใจไม่ใช่หรือ ทางไปเมืองถงเหยาเจิ้นคือทางไปส่งขนมเค้กใช่หรือไม่
“ใช่แล้ว”
“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นจะให้เกาถูฮู่กับพี่ชายไปกับท่าน ช่วยท่านเข็นรถ ท่านจะได้ไม่ต้องเข็นเอง แต่ว่าท่านแม่ ถ้าถึงโรงเตี๊ยม ท่านช่วยพวกเขาพูดอธิบายเรื่องขายกระเทียมของพวกเราด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา นี่เป็นเรื่องของครอบครัวพวกเราทุกคน ข้ากับจั่งกุ้ยสนิทสนมกันมาก”
เกาถูฮู่มองไปที่เสียงนั้น “ท่านยายคนนี้เก่งเสียจริง แค่ออกไปขายขนมไม่กี่วัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”