ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 238
แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี ซ่งฝูเซิงก็มิอาจลืมความรู้สึกครั้งแรกที่มาจวนกั๋วกงได้
หลายปีผ่านไป ต้าหลังเป็นพ่อคนแล้ว เขาก็เล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นให้กับลูกชายของเขาฟังเกี่ยวกับบรรยากาศครั้งแรกที่มาจวนกั๋วกงว่าพบเจออะไร ท่านลุงสามพูดอะไร และคนอื่นพูดอะไร
ยังไม่ต้องนับว่าผ่านไปหลายปี แค่หลังจากวันนี้ เวลาที่กัวคนโตเจอทุกคนก็เล่าเรื่องให้ฟังราวกับเล่านิทาน เขาพบใครก็เล่าให้คนนั้นฟังว่าจวนกั๋วกงช่างใหญ่โตโอ่อ่าขนาดไหน หมี่โซ่วสามารถพูดคุยกับท่านแม่ทัพเล็กได้อีก ช่างโชคดีมากจริงๆ
“นี่คืออะไร?” ต้าหลังกระซิบถาม
ซ่งฝูเซิงบอกว่า นี่เรียกว่า หินขึ้น-ลงหลังม้า ยามที่เจ้านายออกไปข้างนอก เมื่อต้องขึ้น-ลงหลังม้าจะต้องเหยียบหินก้อนนี้
เมื่อพูดเสร็จ เขาก็อาศัยช่วงที่ไม่มีคนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสนใจ หินขึ้น-ลงหลังม้าดูเหมือนทำมาจากหยกขาวและแกะสลักลวดลายเมฆอย่างวิจิตร เขาเหลือบมองกุยช่ายยี่สิบกว่าจินที่อยู่บนรถของเขา
ถ้าลูกสาวอยู่ข้างกายในตอนนี้ เขาคงจะถามซ่งฝูหลิงว่า
พ่อของเจ้าดูเหมือนชาวบ้านจากชนบทมากนักหรือ มีเนื้อสัตว์อย่างดีจะกินก็เสียดายจึงต้องเก็บไว้ เขานั่งรถหลายต่อก่อนจะนั่งรถไฟและต่อด้วยรถยนต์ กอดเนื้อหมูอย่างดีในสายตาของชาว บ้านเพื่อเข้าเมืองไปส่งให้บ้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สภาพของเขาในตอนนี้ดูเหมือนกับคนเซ่อซ่าไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือ?
สิ่งที่เขากระทำตอนนี้ ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน มีคนถ่ายคลิปลงแอป TikTok คงมีคนมาดูและหัวเราะเยาะเป็นแน่
ถึงตอนนั้นจะต้องมีคนเขียนความเห็นว่า “รีบมาดูเร็ว มีชาวบ้านพกเนื้อสัตว์เข้ามาในเมือง จะเอาไปส่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชั้นสูงเพื่อเป็นการขอบคุณ และยังตามหาที่อยู่จนเจอ เจ้านี่ช่างซื่อบื้อจริงๆ”
“ทำอะไรนะ?”
พวกเจ้าดูสิ เหมือนกับยุคปัจจุบันเหมือนกันนะ ไม่ใช่นึกอยากจะให้ก็สามารถเอาเข้าไปให้ได้เลยนะ จะต้องผ่านการตรวจตราจากคนที่มีหน้าที่ลาดตะเวน ดูแลรักษาความปลอดภัยของจวนก่อน
กัวคนโตกับต้าหลังตกใจกับเสียงตะโกนถามที่ดังออกมา พวกเขารีบแอบข้างหลังซ่งฝูเซิง “พวกข้า พวกข้าคือ?”
พวกเขาตกใจจนพูดตะกุกตะกัก
ยังดีที่ไม่ได้พูดอะไรพล่อยๆ ออกไป นี่ถ้าบอกว่ามาหาท่านแม่ทัพเล็กหรือเอาผักสดๆ มาส่งให้คุณชายน้อยของจวนกั๋วกงละก็ ดีไม่ดีอาจจะถูกนำตัวไปสอบสวนได้
ซ่งฝูเซิงออกมาบอกกับคนลาดตระเวนทั้งสิบสองนายว่าเขาเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านเหรินจยา เข้าเมืองเพื่อมาหาท่านซุ่นจื่อ เขารู้จักกับท่านซุ่นจื่ออย่างดี ที่มานี่เพื่อที่จะนำพวกผักสดๆใหม่ๆ มามอบให้
“ซุ่นจื่อ?” คนลาดตระเวนสิบสองนาย ใช้สายตาจ้องมองพวกซ่งฝูเซิง มีสองนายสบตากัน ซุ่นจื่อคือคนติดตามคนสนิทของคุณชายน้อย คนพวกนี้มาหาเขา? งั้นต้องไว้หน้ากันบ้าง
ยืนอยู่ตรงนี้นานไม่ได้ ต้องเดินอ้อมไปถนนทางด้านหลัง ประตูด้านข้าง นั่นถึงจะเป็นประตูที่คนรับใช้กับพวกคนงานใช้เดินเข้า-ออก
ซ่งฝูเซิงบอก “ขอรับ” หลังจากนั้นเขาก็รีบพากัวคนโตกับต้าหลังเดินจากไป
แม้เขารู้ว่าต้องเดินเข้าประตูด้านข้าง แต่เป็นเพราะเขาหาไม่เจอ
เมื่อไม่มีคนลาดตระเวนคอยจับจ้อง กัวคนโตก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ต้าหลังหันกลับไปมองอีกทีว่าคนพวกนั้นจะตามมาหรือไม่
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเดินตามมาแล้ว เขาก็กระซิบถามกับซ่งฝูเซิงว่า “ลุงสาม เมื่อครู่ที่พวกเรายืนอยู่ตรงประตูนั่น มันเป็นประตูอะไรเหรอ? ใช่ประตูใหญ่ไหม? ดูช่างโอ่อ่ายิ่งนัก มิน่าถึงไล่พวกเราออกมา”
โอ่อ่าอะไรกัน ที่มันโอ่อ่า หรูหรา อลังการจริงๆ ยังไม่ทันได้เห็นเลยนะ
ซ่งฝูเซิงรู้สึกเสียดายมาก เดินทางไป-กลับจวนกั๋วกง แม้แต่ประตูใหญ่ก็ยังไม่เคยได้สัมผัส ยังไม่เคยเห็นประตูใหญ่ของคนยุคโบราณจริงๆ แค่ได้มองไกลๆ ก็ยังดี นี่ยังโดนไล่ออกไปก่อนอีก
เขาอาศัยความรู้ที่เรียนมาจากหนังสือหรือที่ได้ยินมา อธิบายให้หลานชายกับกัวคนโตฟัง “นั่นไม่ใช่ประตูใหญ่ เป็นแค่ประตูทางเข้า-ออกของรถ”
“อะไรนะ? ประตูรถใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ความกว้างเทียบเท่ากับห้องใหญ่หลายๆ ห้องของพวกเราเลยนะ ถ้าเช่นนั้นประตูใหญ่จะเป็นอย่างไรเนี่ย”
“ประตูใหญ่น่ะหรือ เคยได้ยินมาว่าประตูใหญ่จะเป็นสีแดง โครงสร้างไม้มีสีสันสะดุดตา ด้านบนหลังคาเป็นกระเบื้อง…
…ระดับจวนกั๋วกง ตะปูทองคำบนบานประตูจะมีถึงหกสิบสามตัว…
…นอกจากนี้ ระดับจวนโหว ฝั่งตรงข้ามจะเป็นกำแพง แต่เมื่อมาที่จวนกั๋วกงนี้ ฝั่งตรงข้ามก็คงไม่ใช่แล้ว แต่จะเป็นแบบไหนนั้น เมื่อครู่พวกเราก็ยังไม่เห็น แต่ว่าฝั่งตรงข้ามคงสร้างเป็นสถานที่เพื่อดูแลเรื่องทั่วไป”
โอ้ สวรรค์ กัวคนโตกับต้าหลังรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทาน พวกเขาจดจำทุกคำพูดของซ่งฝูเซิงได้ แต่กลับนึกภาพไม่ออกว่าเป็นแบบไหน
ถ้าจะนึกภาพออก คงมีแค่อย่างเดียวคือตะปูทองที่อยู่บนบานประตู ใช้ตะปูทองหกสิบสามตัว
ซ่งฝูเซิงเล่าต่อไปว่า ส่วนมากแล้ว ประตูใหญ่จะไม่ค่อยเปิดใช้งาน มีเพียงเวลาจัดงานใหญ่ๆหรือมีคนตำแหน่งใหญ่โตมาเท่านั้น ประตูถึงจะเปิดใช้งาน หรือมีงานแต่งงาน อย่างเช่น ท่านแม่ทัพเล็กที่พวกเราเคยเจอจัดงานแต่งงาน ส่วนคนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์พอจะเปิดประตูใหญ่ได้
โดยปกติจะเดินไปที่ไหนน่ะหรือ ซ่งฝูเซิงเล่าให้ทั้งสองคนฟังและพูดให้ตนเองฟังไปด้วย “โดยปกติจะเดินเข้าประตูกลาง” อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาทั้งสามคนไม่เคยเห็นความโอ่อ่าของประตูกลางมาก่อน
ประตูกลางคงเป็นเหมือนประตูห้องที่มีขนาดใหญ่ มีช่องประตู เพียงแค่ตัวประตูก็มีหลายชั้น คล้ายกับประตูสำหรับรถที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่นี้ ทำไมเขาถึงมั่นใจว่าเป็นประตูสำหรับรถ เพราะกำแพงอยู่ติดกับบานประตูและมีประตูบานเล็กๆ หลังจากที่เขาวิเคราะห์แล้วก็มั่นใจว่ามันคือประตูสำหรับรถเข้า-ออก
ส่วนประตูด้านข้างนั้น ซ่งฝูเซิงบอกว่า เมื่อพวกเราเจอประตูด้านข้างแล้วก็จะหยุดอยู่ตรงนั้นนานไม่ได้
แม้แต่ประตูด้านข้างก็ยังแบ่งเป็นหลายแบบ
ประตูด้านข้างทางทิศตะวันออกกับประตูด้านข้างทางทิศตะวันตก เป็นประตูที่ขุนนางเดินผ่าน จวนกั๋วกงเป็นจวนชั้นสูง จวนส่วนมากไม่อาจเทียบเท่ากับความใหญ่โตของจวนกั๋วกงได้ ดังนั้น คนที่มามักจะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งต่ำกว่า เมื่อจะมาเยี่ยมเยือนก็จะเดินเข้า-ออกประตูด้านข้างทางทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกเท่านั้น
ประตูด้านข้างทางทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก หรูหราส่องประกายสะท้อนเข้าดวงตาของพวกเขา ถึงรู้ว่ายังไม่ใช่ประตูนี้ พวกเขายังต้องเดินต่อไปและพบประตูเล็กด้านข้างประตูหนึ่ง ประตูนี้มีสาวใช้เดินเข้า-ออกไปมา แสดงว่านี่คงเดินมาถูกทางแล้ว
คนรับใช้ของที่นี่ไม่สามารถออกมาพบเจอใครได้ง่ายๆ นัก
มีคนรับใช้คนหนึ่ง ดูเหมือนเป็นผู้คอยดูแลตรวจคนเข้า-ออก เขาจะคอยซักถามคนเข้า-ออก รวมทั้งคนส่งผักและคนของบ้านสวนที่ส่งของมาให้ คอยบันทึกรายการอยู่ตรงประตูเล็กด้านข้าง
ซ่งฝูเซิงบอกกับเขาว่าจะมาหาท่านซุ่นจื่อ พวกเขารู้จักกันมาก่อน
มาหาท่านซุ่นจื่อ? หากต้องการพบ ก็ต้องรายงานเบื้องบนก่อน
อะไรนะ? ซ่งฝูเซิงงงเป็นไก่ตาแตก
ผู้ดูแลบอกว่า “ข้าต้องรายงานกับผู้ดูแลคนพวกนี้ก่อน ผู้ดูแลก็ต้องรายงานให้กับพ่อบ้านที่ดูแลเรือนคุณชายน้อย โดยพ่อบ้านจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะรายงานให้ท่านซุ่นจื่อทราบหรือไม่ สุดท้ายท่านซุ่นจื่อจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะมาพบพวกเจ้าหรือไม่”
“แน่ใจว่าเขาอยู่ในจวนไหม?”
เขาหัวเราะหนึ่งครั้งก่อนตอบกลับ ท่านซุ่นจื่อจะอยู่ในจวนหรือไม่ คนชั้นล่างอย่างพวกเขาจะรู้ได้อย่างไร
สรุปก็คือ อยากพบท่านซุ่นจื่อไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“เช่นนั้นขอฝากผักพวกนี้ไว้ให้ท่านซุ่นจื่อด้วยแล้วกัน พวกข้าไม่ขอเข้าพบแล้ว” ซ่งฝูเซิงพูดอย่างจนใจ แม้จะได้เจอกันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี เขานำกุยช่ายยี่สิบจินที่คิดว่าเป็นสิ่งมีค่ามาให้ คนอื่นอาจจะไม่คิดเช่นนั้นก็ได้ แค่ฝากคำพูดไว้ก็พอแล้วละกัน
ในขณะเดียวกัน ซุ่นจื่อที่ซ่งฝูเซิงกำลังพูดถึงก็อยู่ข้างกายคุณชายน้อยลู่พั่น พวกเขากำลังผ่านมาทางสถานที่ที่พวกซ่งฝูเซิงเดินผิดเส้นทาง
ลู่พั่นขี่ม้าอยู่ตรงกลาง ซุ่นจื่อขี่ม้าตามอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ากับด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคนมีคนติดตามรับใช้หลายนาย
มีคนรับใช้หลายคน เรียกว่าคนนำทางกับผู้ติดตาม
เมื่อเจ้านายออกไปข้างนอก คนพวกนี้ก็ต้องขี่ม้าคอยอารักขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อลู่พั่นมีคำสั่งอะไร เพียงแค่ส่งสายตา พวกเขาก็จะรีบลงจากหลังม้ามารับคำสั่ง
ลู่พั่นไม่ค่อยชอบให้คนอื่นมาดูแล เขา07’รีบลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าประตูกลางเพื่อกลับจวน
อาจกล่าวได้ว่าคลาดกันแล้ว ถ้าซ่งฝูเซิงมาช้าอีกสักนิดก่อนที่จะถูกไล่ออกไป พวกเขาก็อาจจะได้พบลู่พั่น
ตอนลู่พั่นอยู่บนหลังม้าก็อาจจะเห็นเขา
เพราะเขาพอจะจดจำซ่งฝูเซิงได้ และยังจำเด็กน้อยคนนั้นที่อพยพลี้ภัยได้อย่างดี
เรียกว่า เฉียนหมี่โซ่ว ใช่ไหม?