ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 239
เมื่อคุณชายลู่พั่นกลับจวน ก็มุ่งตรงไปที่ “ห้องค้นคว้า” ของเขาทันที
เขากำลังค้นคว้าวิจัยเรื่องปืนใหญ่อยู่
สาวใช้ใกล้ชิดฮูหยินจวนกั๋วกงยืนอยู่หน้าประตู “ห้องค้นคว้า” นางไม่กล้าส่งเสียงดัง ทำได้แต่เพียงส่งสารทางสายตาให้ซุ่นจื่อ
ซุ่นจื่อส่ายศีรษะ บ่งบอกว่าเขาพูดไปแล้ว แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ คุณหนูใหญ่กับคุณหนูสามกลับจวนมาก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องทานอาหารร่วมกันอย่าได้คิดเลย แม้แต่ฮูหยินมาเรียกด้วยตนเองก็ไม่มีทางเป็นไปได้ คุณชายบอกแล้วว่า ห้ามรบกวน
เขาทราบดีว่าคุณชายของเขาไม่ค่อยชอบทานอาหารร่วมกับพวกพี่สาว ยิ่งคุณหนูสามพาเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยคนในครอบครัวฝ่ายสามีมาด้วย
เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยครุ่นคิดแต่จะมาจวนกั๋วกง มีเวลาว่างเมื่อใดก็จะเร่งให้คุณหนูสามกลับบ้านพ่อแม่ของตนเอง นางแสดงท่าทีออกมาชัดเจนเช่นนี้ คุณชายจะออกมาพบได้อย่างไร
อีกอย่าง คุณชายกำลังเร่งศึกษาเรื่องการเคลื่อนที่ของล้อรถ เมื่อครู่ที่ออกจากจวนไปก็เพื่อไปพูดคุยสอบถามกับช่างหลายคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ คาดว่าในความคิดของเขาคงมีแต่เรื่องปืนใหญ่เท่านั้น
สาวใช้ใหญ่รู้สึกจนปัญญา นางเดินจากไปอย่างเงียบๆ
ซุ่นจื่อมองด้านหลังของสาวใช้ใหญ่ก็ถอนหายใจยาว
เขารู้ว่า ฮูหยินกังวลเรื่องการแต่งงานของคุณชาย ตอนนี้ลดข้อจำกัดของฝ่ายหญิงลงมาเยอะมาก ไม่ได้คาดหวังว่าครอบครัวจะมีฐานะเสมอกัน ขอเพียงแค่ถูกใจก็พอ
ซึ่งแน่นอนว่า การจะหาคนที่มีฐานะเท่าเทียมกันนั้นก็คงเป็นเรื่องยาก
จวนกั๋วกงของพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
ฮูหยินแค่ต้องการให้คุณชายรีบหมั้นหมาย
ทางด้านฮูหยินคงกำลังครุ่นคิดว่า เจ้าต้องเลือกหญิงสาวคนใดคนหนึ่งมาได้แล้ว เจ้าจะไม่มีสาวใช้ใกล้ชิดไม่ได้ สาวใช้ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ ห้ามสาวใช้ในเรือนทาแป้งและเจ้าก็ยังไม่แต่งงานอีก ใครเป็นมารดาของเจ้าก็คงปวดหัว เจ้าเป็นคุณชาย งานแต่งก็ต้องจัดอย่างใหญ่โต และต้องเตรียมการล่วงหน้าเป็นเวลานาน ถ้าดูจากอายุคุณชายแล้ว ตอนนี้ก็ต้องหมั้นหมายหญิงสาวไว้แล้ว
แต่ทว่า?
ในใจของซุ่นจื่อมีคำพูดประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ เขาเก็บมันไว้นานแล้ว
นั่นคือ ฮูหยิน ท่านจัดการไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะท่านกับคุณชายมีรสนิยมความชอบไม่เหมือนกัน
จากการที่เขาสังเกตท่าทีของคุณชายแล้ว เขาวิเคราะห์ว่า ในใจของคุณชายคงรู้สึกว่าผู้หญิงพวกนี้น่าเบื่อหน่าย
รู้จักแต่การดื่มกิน แต่งหน้าทาปาก วางท่าทางเป็นหญิงสูงศักดิ์ ได้แต่แต่งกลอนที่ไม่ได้อรรถรสอะไรไปวันๆ
ยกตัวอย่างเช่น เนื้อหากลอนที่พวกผู้หญิงแต่งขึ้นมา จะไม่ได้ให้ความรู้สึกฮึกเหิมเสมือนขี่อยู่บนหลังม้าและความรู้สึกจากการสู้ศึกนองเลือดในสนามรบ คุณชายเคยท่องกลอนจนดวงตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่พวกนางไม่สามารถแต่งกลอนที่ให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนได้ หญิงที่ได้ฉายาว่าเป็นหญิงสาวที่ปราดเปรื่อง ก็เขียนกลอนไม่โดนใจคุณชาย พวกนางไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคุณชาย เช่นนี้จะสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
ซุ่นจื่อก็ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร ถ้าเจ้าเข้าใจคุณชายก็ต้องมีความสนใจหน่อย แม้จะต้องมาค้นคว้าเรื่องปืนใหญ่กับคุณชายก็เถอะ
อย่างน้อยเจ้าต้องมีดีอะไรบ้าง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรเลย ทำไมคุณชายจะต้องยอมแต่งงานกับเจ้า?
มิใช่มาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วแสร้งทำตัวเป็นกุลสตรี ยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้และสอบ ถามว่ากินข้าวแล้วหรือยัง และคอยยืนอยู่ข้างๆ เพื่อยื่นส่งอุปกรณ์ปืนให้ ต้องทนต่อความง่วงนอน และยังต้องรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนให้รับทราบ
แค่ลองคิดดู ซุ่นจื่อยังไม่ชอบมีชีวิตแบบนั้นเลย แล้วคุณชายจะอดทนใช้ชีวิตแบบนั้นได้อย่างไร
“ท่านซุ่นจื่อ” ลูกน้องของซุ่นจื่อพาศิษย์คนเล็กเดินยิ้มเข้ามาและกระซิบข้างหู
ซุ่นจื่อโบกมือให้ ความหมายว่ารีบออกไปได้แล้ว หลังจากนั้นเขาก็บ่นพึมพำในใจคนเดียว และคงทำหน้าที่ยืนเฝ้าประตูตามเดิม
ลู่พั่นยุ่งอยู่ในห้องจนถึงเวลาค่ำ เขาส่งเสียงกระแอมหนึ่งครั้งซุ่นจื่อถึงเข้ามาในห้อง
ใช่แล้ว เขาไม่คู่ควรที่จะเห็นปืนใหญ่ของคุณชาย ถ้าแตะต้องคงต้องถูกตัดมือแน่
ก็เพราะแบบนี้ ซุ่นจื่อถึงรู้สึกว่าลู่พั่นเป็นคุณชายของจวนกั๋วกง
เพราะถ้าเป็นสิ่งของที่ลู่พั่นรักและทะนุถนอม ลู่พั่นจะรู้สึกหวงแหนอย่างมาก คนอื่นไม่สามารถแตะต้องได้
แต่ด้านอื่นเขากลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เหมือนกับคุณชายของขุนนางชั้นผู้น้อยที่ทำตัวหรูหราอลังการ คุณชายนอกจากรักความสะอาดแล้ว เขายังเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่ชอบทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือย
ซุ่นจื่อยื่นผ้าร้อนส่งให้ เขาสังเกตว่าวันนี้ลู่พั่นอารมณ์ดี เขาจึงเล่าให้คุณชายฟัง “คุณชาย ท่านจำคนอพยพลี้ภัยกลุ่มนั้นได้หรือไม่? ที่อยู่หมู่บ้านเหรินจยา เด็กน้อยคนนั้นที่กล้าด่าคน พี่สาวของคุณชายเซี่ย…”
“พูดมา”
“ออ...เหอะๆ ไม่คิดว่าคุณชายจะจำได้ วันนี้คนพวกนั้นมาส่งผักสด ได้ยินว่าพวกเขาปลูกเองและตั้งใจนำมาส่งให้ท่าน พวกเขาช่างกตัญญูรู้คุณคนจริงๆ”
ซุ่นจื่อวาจาดี เขาไม่ได้บอกมาทั้งหมดว่าซ่งฝูเซิงฝากไว้ให้เขา แต่เขาบอกว่านำมามอบให้ลู่พั่น “ผักนี่เรียกว่ากุยช่าย แต่มองดูแล้วเหมือนเป็นกุยช่ายเหลือง เขานำมาให้ที่เรือนของพวกเรา คุณชายอยากจะลองชิมดูหรือไม่?”
ลู่พั่นยื่นแขนให้ซุ่นจื่อสวมเสื้อคลุมให้ เขาถามขึ้น “เด็กน้อยคนนั้นมาด้วยหรือ? เขายังสวมเสื้อผ้าของผู้ใหญ่หรือไม่?”
ฟังจากคำพูดนี้แล้ว ทำให้ซุ่นจื่อรู้สึกประหลาดใจ
คุณชายยังจดจำเด็กคนนั้นได้ดี มีความสนใจกับเด็กคนนั้นมากกว่าพวกหญิงสาวที่มีหน้าตางดงาม
ถ้าเช่นนั้นเขาควรตอบกลับโดยระมัดระวังคำพูด
แค่คำพูดของเด็กคนนั้นเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทุจริตต้องถูกประหาร
“ไม่ได้มาด้วยขอรับ แต่คุณชายวางใจได้ ครั้งนั้นท่านให้เงินรางวัลกับเขาไปหนึ่งร้อยตำลึง ฟังจากคำพูดของเด็กคนนั้นก็รู้สึกได้ว่า ท่านลุงกับท่านป้าของเขาดูแลเขาเหมือนเป็นลูกแท้ๆ คาดว่ามีเงินนั่นแล้วคงไม่ทำให้เขาลำบากแน่”
ลู่พั่นพยักหน้า
……
ซ่งฝูเซิงไม่รู้ว่าหมี่โซ่วของเขาเป็นคนที่คุณชายลู่พั่นจดจำได้ขึ้นใจ
ถ้าเขาต้องการเข้าพบคุณชายลู่พั่น จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่ถ้าเป็นหมี่โซ่วต้อง การเข้าพบ คาดว่าถ้าแค่มีคนส่งข่าวให้รับทราบ ก็คงได้เข้าพบคุณชายลู่พั่นได้ทันที
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าหมี่โซ่วเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากขนาดนี้ คำบอกเล่าจากปากของกัวคนโตทำให้หมี่โซ่วกลายเป็นบุคคลที่โชคดีที่สุดในสายตาของทุกคน
หลังจากทุกคนได้ฟังคำบอกเล่าของกัวคนโตแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเชื่อถือมากกว่าครั้งแรกที่ได้ฟัง และต่างพากันสอบถามหมี่โซ่ว “หมี่โซ่ว ครั้งที่แล้วท่านแม่ทัพเล็กคุยอะไรกับเจ้าหรือ?”
“ก็พูดคำพูดพวกนั้นไง”
“พูดอะไรบ้าง?” ท่านลุงซ่งถามต่อ
โอ้ย เหนื่อยจัง หมี่โซ่วรู้สึกว่าความจำของพวกเขาไม่ดีเอาเสียเลย ถามไปแล้วตั้งหลายครั้งก็ยังกลับมาถามซ้ำอีก
สิ่งสำคัญก็คือ เขาไม่สามารถเอาคำพูดที่สำคัญที่สุดมาเล่าให้กับทุกคนฟังได้
‘ห้ามด่าคน’ เขาจะไม่บอกใครแน่นอน มิเช่นนั้นจะเหมือนเป็นการโยนตนเองเข้าไปในกับดัก ท่านลุงคงต้องจัดการเขาแน่เลย
เมื่อคิดถึงท่านลุง เฉี่ยนหมี่โซ่วก็ถามขึ้นท่ามกลางสายตาอิจฉาของทุกคน “ท่านลุงของข้าละ?”
ท่านลุงซ่งที่สูบไปป์จีนก็นิ่งงัน ตั้งแต่ฝูเซิงกลับมาจากในเมืองก็ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเขา
ท่านลุงซ่งพาหมี่โซ่วเดินไปที่แปลงปลูกพริก แต่ฝูเซิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงเฉียนเพ่ยอิงที่กำลังดูแลต้นกล้า
เมื่อเข้าไปในบ้านของซ่งฝูเซิงก็พบว่าเขากำลังใช้พู่กันวาดรูปบางอย่างอยู่บนเตียงเตา
เขาหมอบอยู่บนเตียงเตาเพื่อวาดรูป ดูเหมือนเขายิ่งวาดภาพ ก็ยิ่งดูตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อ
“ท่านลุงซ่ง ท่านมาแล้วหรือ ท่านดูรูปที่ข้าออกแบบนี่สิ”
“นี่อะไรหรือ?”
ซ่งฝูเซิงบอก เขาคิดดีแล้ว หากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิจะสร้างบ้าน แต่จะไม่สร้างบ้านเดี่ยวเป็นหลังๆ แล้ว แบบนั้นไม่น่าสนใจและไม่ปลอดภัย
เขาจะสร้างเป็นแบบอาคาร เป็นบ้านตึกสองหรือสามชั้นและสร้างกำแพงสูงล้อมรอบไว้ ถึงตอนนั้นจะทำประตูเหล็กใหญ่ ตรงส่วนที่หันหน้าเข้าหาแม่น้ำจะสร้างเป็นหอคอย
ซ่งฝูเซิงริเริ่มความคิดนี้มาจากบ้านตึกของชาวฮากกา
แต่ที่ดินที่อยู่ทางตอนเหนือจะต้องขุดดินให้ลึกลงไปสักหน่อย กำแพงก็ต้องหนาขึ้น แต่ต้องครุ่นคิดให้มาก ต้องทำให้บ้านสองชั้นสามารถให้ความอบอุ่นได้ เพราะไม่เหมือนคนทางตอนใต้ที่ไม่ต้องให้ความอบอุ่นก็สามารถผ่านฤดูหนาวไปได้
ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็จะสร้างบ้านแบบนี้ให้ได้
ในขณะเดียวกันที่ห้องอบขนม ซ่งฝูหลิงก็ให้ท่านย่าหม่าดูเค้กขนาดหกนิ้วซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
นี่เป็นสินค้าใหม่ มีดอกไม้สีแดงอยู่บนขนมเค้กขนาดหกนิ้ว นี่เป็นขนมเค้กวันเกิดขนาดเล็กที่ทำขึ้นมา
ทำให้ท่านย่าหม่าตกตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้าง นางรีบเอามือปิดปากก่อนจะพูดออกมา “ดอกไม้นี่กินได้หรือ?”
“ได้สิ พวกเราใช้แครอทมาคั้นน้ำเพื่อเพิ่มสีสัน”
ซ่งฝูหลิงพูดจบ นางก็หันมาพูดกับท่านย่าหม่าด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า ท่านกล้าทำการค้าใหญ่ไหม?”