ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 240 / ตอนที่ 241-1
ตอนที่ 240
ท่านย่าหม่าออกมาจากห้องทำขนม
เดินตัวปลิวออกไป
นางคิดการณ์ไกล ขนมเค้กดอกไม้นี้ช่างสวยงามเหมือนดอกไม้จริงๆ
ถ้าทำของกินออกมาเป็นรูปดอกไม้ได้ละก็
นางคิดครู่หนึ่งก่อนหยิบส้อมขึ้นมา ดอกไม้ที่มีสีแต่ละดอกบวกกับรสชาติของเนยหวานละมุนที่ส่งเข้าไปในปาก นั่นคือรสชาติแห่งความอร่อย
ท่านยายรู้สึกเสียดายที่กินเข้าไปแล้วซึมซับรสชาติโดยไม่ลืมหูลืมตา
นางรู้สึกว่าซ่งฝูกุ้ยเองเป็นคนประเภทเดียวกัน ถ้าเจอขนมนี้แล้วจะต้องรู้สึกใจจดใจจ่อรอ และเมื่อกินเสร็จจะเสียดายอย่างมาก
หลานสาวถามนางว่า “ท่านย่า ท่านบอกว่าจะเอาขนมเค้กดอกไม้ไปให้คนสูงศักดิ์มีเงิน ท่านว่าจะเป็นไปได้ไหม”
นางตอบด้วยคำตอบที่หนักแน่น “ไม่ใช่เรื่องยาก...
…พวกเราเป็นชาวบ้าน เงินหนึ่งเหวินเวลาจะใช้ต้องแบ่งครึ่ง แต่สำหรับครอบครัวคนมีเงินเวลาใช้เงินหนึ่งสองตำลึงซื้อของเขาไม่ได้คิดมากอะไร เพราะพวกเขาซื้อรสชาติ เงินแค่นี้ไม่กระทบกระเทือนอะไร”
คนรวยชอบที่จะกินของที่คนอื่นไม่มีปัญญาซื้อกิน ลูกชายสามขายกระเทียมเหลืองได้ นางกับหลานสาวขายขนมเค้กโบราณได้ แค่นี้ก็พิสูจน์ได้ว่าความคิดนี้เป็นเรื่องจริง
หลังจากนั้น หลานสาวให้นางเดาดูว่าใช้เงินทำขนมเค้กดอกไม้ด้วยราคาเท่าไร ถ้าพวกเขาทำขายออกไปแล้วจะได้กำไรเท่าไหร่
ท่านย่าหม่าคิดไม่ออกจริงๆ นอกจากนมและเนยที่แพง แต่สีสันของดอกไม้ก็ดูจะมีต้นทุนไม่สูงมาก
แต่ดอกไม้พวกนั้นก็ทำออกมาไม่ง่าย ไม่มีคนกล้าคิดและไม่มีคนกล้าทำ
หลานสาวบอกว่า สีส้มเหลืองมาจากแครอท สีแดงมาจากหัวราดิช (ไชเท้าแดง) เวลาคั้นน้ำออกมาจะได้สีม่วง หั่นฟักทองเป็นแผ่นแล้ววางไว้ในถาดเพื่อเอาไปย่างไฟ พอเอาไปตากให้แห้ง แล้วมาบดจะกลายเป็นสีเหลือง
เมื่อได้สีหลายๆ สีมาแล้ว นางก็จะเอาสีจากผักพวกนี้ใส่ลงไปตีผสมในเนยให้เข้ากัน ซึ่งไม่รู้ว่าทำอย่างไร แค่บีบไปบีบมา ไม่นานก็ออกมาเป็นดอกไม้จากวิปครีมที่คนชื่นชอบ
เหมือนเทวดาเปิดตาให้หลานสาว หลานสาวของนางกล้าคิดกล้าทำขึ้นมา ทำในสิ่งที่ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะคิด
แล้วจะกำไรเยอะไหม
แครอท ฟักทอง มีราคาไม่แพง ถึงแม้จะเป็นหน้าหนาว แต่ของพวกนี้ก็เป็นอาหารของคนจน ดังนั้นพวกเขาสองย่าหลานน่าจะหาผลกำไรได้ไม่น้อยเลย
หลานสาวถามท่านย่าอีกครั้ง “ท่านกล้าขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นหรือไม่ ท่านย่า ท่านคิดดีแล้วใช่หรือไม่”
ในจิตใจคิดถึงแต่คำพูดของซ่งฝูหลิง
“ท่านย่า ท่านดูพ่อของข้าเป็นตัวอย่าง จริงๆ เขาไปแค่ที่เดียวก็สามารถขายกระเทียมเหลืองได้แล้ว แต่เขาแบ่งให้คนไปขายในสี่พื้นที่ทำไม นั่นเรียกว่า ‘การหาช่องทาง’ ยังไงล่ะ ต่อไปเมื่อมีช่องทางแล้ว ก็สามารถปลูกผักได้เยอะขึ้นและยังหาลู่ทางในการขายพริกได้อีกด้วย…
…ขอแค่มีคนรู้จักเยอะขึ้น โอกาสก็จะยิ่งเยอะ…
…ก็ไม่แตกต่างจากขนมเค้กของพวกเราสองคน…
…ขนมเค้กของพวกเรา ตอนนี้มีขายเฉพาะในโรงเตี๊ยมของเมืองถงเหยาเจิ้น หอนางโลมและก็ร้านน้ำชา…
…หอนางโลมกับร้านน้ำชาเราจะยังไม่พูดถึง…
…แค่ในโรงเตี๊ยม เขาสามารถหาลูกค้าให้พวกเราได้ถึงเก้าสิบเก้าหม้อ…
…ถ้าไปขายในสี่อำเภอที่มีโรงเตี๊ยม แล้วพวกเขาซื้อขนมเค้กของพวกเรา ในช่วงสิบวันถึงสิบห้าวันให้พวกเราส่งขนมเค้กเก้าสิบเก้าหม้อ ถ้าทั้งสี่อำเภอของโรงเตี๊ยม หอนางโลม ร้านน้ำชาจองเค้กวันละยี่สิบสามก้อนใหญ่ ท่านลองคิดดู วันหนึ่งๆ พวกเราจะมีเงินเข้ามาเท่าไร…
…ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเราอาจจะยังผลิตออกมาได้ไม่เพียงพอจะขาย ก็เหมือนกับที่ท่านพ่อยังปลูกกระเทียมเหลือง หรือปลูกพริกส่งขายไม่พอ แต่ถ้าอนาคต เขาหาลู่ทางผลิตได้เยอะขึ้น มีคนรู้จักพริกมากขึ้น พวกเขาพูดกันไปปากต่อปาก พวกเราอาจจะกล้าที่จะลงทุนทำให้กิจการค้าขยายใหญ่ขึ้นได้…
…ดังนั้น ท่านย่า พวกเราจำเป็นจะต้องขยายกิจการ พวกเราจะต้องมีคนเข้ามาช่วยงานเพิ่ม พวกเราสามารถจ้างคนช่วยอบขนม คำนวนไปว่าหนึ่งหม้อมีราคากี้เหวิน แล้วให้คนพวกนั้นช่วยพวกเราผลิตขนมเค้กให้ได้จำนวนที่เพียงพอ และพวกเรายังต้องมีคนช่วยขนส่งเค้กทุกวันไปยังสี่อำเภอได้พร้อมๆ กันอีกด้วย”
ตอนที่ 241-1
มิใช่ว่าท่านย่าหม่าจะตัดสินใจไม่ได้ แต่คําพูดเพียงประโยคเดียวของหลานสาวคนเล็กนั้น สำหรับนางแล้วมันเป็นเรื่องยากเกินไปเพราะไม่มีเงินในกระเป๋า
แม้เงินเพียงหนึ่งเหวินก็เป็นเรื่องยากแล้ว
เงินของนางที่เก็บหอมรอมริบหมดไปตั้งนานแล้ว
แม้ว่าหลายวันมานี้จะมีรายได้ไม่น้อย แต่แค่ซื้อไข่ไก่มาก็ใช้เงินหลายตําลึงและยังต้องซื้อเข่งนึ่งอีกหนึ่งร้อยเข่ง เข่งนึ่งเข่งละสามสิบแปดเหวิน ร้อยเข่งจะต้องใช้เงินเท่าไหร่
แล้วถ้าจะขยายกิจการใหญ่โตขึ้นก็ต้องจ้างคน จ้างคนก็ต้องจ้างหลายคน แบบนี้ก็ต้องสั่งเข่งนึ่งจํานวนมาก
แค่นี้ยังนับว่าเป็นเงินจํานวนน้อย อิฐขาวราคาเท่าไหร่? หนึ่งเหวินสามารถซื้ออิฐขาวได้สองก้อน คราวก่อนซื้อของพวกนั้นจ่ายเกือบสองตำลึงเงินเพิ่งทำเตาอบได้เพียงแค่หกเตา
จำเป็นต้องซื้ออิฐขาว
ใช่แล้ว จะไปซื้ออิฐขาวได้ที่ไหน?
และต้องซื้อแผ่นเหล็กกับที่ปรับระดับไฟ ก็ต้องซื้อ แผ่นเหล็กหนึ่งแผ่นราคาหนึ่งร้อยเหวิน ช่างตีเหล็กทำไมถึงไม่ใจดําจนขาดใจตายไปเสียเลยล่ะ
เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือ วัวนมหนึ่งตัวไม่พอแล้ว ลูกสามรับเงินค่านมของเด็กมาแล้วหลายสิบคน ไม่อาจขาดส่งนมของพวกเขาได้
อีกอย่าง ถ้าขาดก็ไม่เป็นไร หากส่งเค้กไปขายในสี่อําเภอและประหยัดนมที่พวกเด็กๆ ดื่มก็สามารถประหยัดได้หลายกิโล ต้องแก้ปัญหาได้แน่
นอกจากนี้ยังต้องหาคนทำงาน มีคนทําเค้กและคนส่งเค้กออกไปขาย
แม้ว่านางจะขยันออกไปขายอย่างสุดความสามารถ ภายในหนึ่งวันนางสามารถเดินทางไปกลับมากสุดได้เพียงแค่สองอำเภอ ดังนั้นจึงต้องคิดเรื่องคนออกไปขายเค้กด้วย
สรุปแล้วมีแต่ปัญหามากมาย มีตั้งแต่ปัญหาเล็กไปจนถึงปัญหาใหญ่
“ฝูกุ้ย” ท่านย่าหม่าตะโกนเรียก
“เอ๊ะ? ท่านป้า ทําไมท่านถึงมายืนอยู่ตรงนี้ อากาศหนาวมาก ไป เข้ามาในบ้านข้า” ซ่งฝูกุ้ยรู้สึกสงสัย ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ท่านป้ายังมายืนอยู่ที่นี่ได้
“ข้าถามเจ้าหน่อย วันนี้เจ้าไปอำเภอจยามาแล้วหรือ ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซ่งฝูกุ้ยดีใจอย่างมาก เขาบอกว่า “ดูเหมือนจะไม่คึกคักเทียบเท่ากับตำบลถงเหยา แต่อำเภอจยาเป็นอำเภอใหญ่ มีประชากรจํานวนมาก ไปขายกระเทียมให้กับโรงเตี๊ยมก็ไม่ต้องพูดพร่ำมาก เถ้าแก่ของร้านก็รู้จักตัวสินค้าเป็นอย่างดี…
…นี่ท่านป้า ท่านลองเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“เถ้าแก่ยังถามอีกว่า ถ้ามีลูกค้ารายใหญ่มาซื้อ พวกเราจะมีของพอที่จะขายให้ไหม”
ซ่งฝูกุ้ยไม่รอให้ท่านย่าหม่าได้พูด เขาก็รีบพูดต่อ
“ถึงไม่ได้ออกไป ก็รู้สึกได้ว่าคนข้างนอกก็เป็นคนยากจนเหมือนกับพวกเรา แต่พอออกไปแล้วก็กลับพบว่าไม่ว่าเวลาไหน ที่ไหน ก็มีคนร่ำรวยอยู่ทุกหนทุกแห่ง…
…พวกคนรวยทำไมถึงมีมากมายขนาดนี้ น่าแปลกจริงๆ ที่บ้านก็มีที่ดินทุ่งนามากมาย ตอนที่พวกข้ามาถึงโรงเตี๊ยม ในร้านมีแต่คนนั่งกันเต็มไปหมดแล้ว…
…คนมีเงินไม่กินข้าวที่บ้านแล้วก็ไม่ทํางาน พวกเราก็เดาไม่ออกว่าพวกเขาหาเงินได้อย่างไร…
…นี่ท่านป้า ท่านว่าพวกเขา?” ซ่งฝูกุ้ยเกาหัวด้วยความงุนงง ทําไมท่านป้าถึงไม่ฟังเขาพูดให้จบก่อนแล้วค่อยเดินหนีไป
ซ่งฝูเซิงได้ยินว่าท่านแม่มาหาเขาและยังสั่งให้รีบกลับไปทันที เขาก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น “ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ?”
เฉียนเพ่ยอิงก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน แม่สามีตั้งใจไปที่ห้องปลูกพริกเพื่อเรียกนางกลับมา
“พวกเจ้าทั้งสองคนให้ข้ายืมเงินสักสามสิบตําลึงเงินหน่อยได้หรือไม่”
ซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง “…”
“เจ้าสองคนมีไหม? บอกมาเร็ว”
“เดี๋ยวก่อนท่านแม่ ท่านกับพั่งยาสองคนจะขยายกิจการขายขนมเค้กให้ใหญ่ขึ้น?” ซ่งฝูเซิงถามหยั่งเชิง
ท่านย่าหม่าที่นั่งอยู่บนตั่งอีกด้านพยักหน้า นางเกรงว่าซ่งฝูเซิงจะตําหนิหลานสาวคนเล็กจึงรีบพูดขึ้นมา
“เรื่องนี้ข้าเป็นคนจัดการเอง ไม่เกี่ยวกับพั่งยา ข้าแค่ต้องการยืมเงิน เจ้าสองคนวางใจได้ ข้าคืนให้ตามเวลาที่กำหนดแน่นอน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ถ้าข้าคืนเงินไม่ได้ก็ขอพูดไว้ก่อนว่า วันที่ข้าตายก็ไม่ต้องควักเงินซื้อโลงศพให้กับข้า แม้แต่เงินหนึ่งเหวินก็ไม่ต้องให้พวกเจ้าควักออกมา ลูกสะใภ้ เจ้าวางใจได้”
เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง พูดราวกับว่านางจะห้ามไม่ให้ยืมเช่นนั้น อีกอย่างนางก็วางใจได้ ที่สําคัญคือเรื่องขนมเค้กนั่น ลูกสาวของนางมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น
ซ่งฝูเซิงก็หัวเราะ “ท่านแม่ ดูสิ ท่านจะทําการค้าใหญ่แล้ว ทําไมถึงดึงเรื่องโลงศพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พวกเรามีเงินให้ยืม ภรรยา ข้าจะไปเอาเงินมาให้ท่านแม่”
“เดี๋ยวก่อน” ท่านย่าหม่าเรียกเขาไว้ “ให้เงินข้ามาไว้หมุนใช้สักสิบตำลึงก่อน ส่วนเจ้าเก็บไว้ยี่สิบตําลึง เจ้าจะไปส่งกระเทียมอีกวันไหน?”
“อีกสามวันให้หลัง”
“ลําบากเจ้าหน่อย เมื่อถึงตอนนั้นพาพวกต้าหลังไปซื้อวัวมาให้ข้า เจ้าก็ใช้เงินยี่สิบตําลึงนั้น และซื้ออาหารวัวที่เร่งน้ำนมมาหน่อย”
ท่านย่าหม่าคิดในใจ วัวแก่ของนางยังกล้าติดหนี้นำเงินมาซื้อของเลย ยังจะขาดเงินซื้ออานหรือ? ไม่มีทาง
หลังจากตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีอะไรที่นางไม่กล้าทําอีก
หลังจากท่านย่าหม่าได้เงินสิบตําลึงไปแล้ว นางก็เคาะประตูห้องขนมเค้กเพื่อเรียกซ่งฝูหลิง “พั่งยา ไป ตามย่าไป”
“ไปทำอะไรที่ไหน?”
“ดูสิ ย่าไปยืมเงินของพ่อเจ้ามา เมื่อครู่นี้เอง เงินยังอยู่ในมืออุ่นๆ อยู่เลย”
เปิดประชุมเพื่อจัดหากําลังคน
ครอบครัวของท่านย่าหม่าเปิดการประชุมครอบครัวเป็นครั้งแรก
การประชุมในครั้งนี้ ทุกคนมาร่วมประชุมกันทั้งหมด
รวมถึงซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิง รวมทั้งครอบครัวของเถียนสี่ฟากับซ่งอิ๋นเฟิ่งด้วย
ซ่งฝูสี่เกิดความสงสัยขึ้นมาภายในใจ ท่านแม่จะทรมานอะไรกันอีก เพิ่งจะได้หยุดพักจากการทำงานก็ไม่ยอมให้เขานอน ทุกวันนี้เขาเหนื่อยจนปวดร้าวกระดูกไปหมดแล้ว
ในเวลานี้ท่านย่าหม่าก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง นางพูดประโยคแรกออกมา “ลูกสะใภ้คนโตลูกสาวคนโต ต้ายา เอ้อร์ยา เถาฮวาคุกเข่าลง”
จะเห็นว่า พวกนางคุกเข่าลงบนพื้นที่เย็นเฉียบเรียงกันเป็นแถว โดยที่ไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด
ซ่งฝูหลิงตกใจ รีบกระโดดลงมาจากตั่งเพื่อหลบไป