ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 242
“นี่ทำอะไรกัน? ตั้งป้ายแล้วก็ไม่ขายอะไรเลย”
“นี่น้องชาย พวกข้ารับซื้ออิฐ ที่บ้านมีอิฐที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่? ข้าสามารถนำเงินสดมาแลกซื้อกับเจ้าได้”
“เจ้าให้ราคาเท่าไหร่?”
“อิฐของเจ้าเป็นอิฐใหม่ไหม? ถ้าเป็นอิฐใหม่ เจ้าซื้ออิฐมาในราคาเท่าไหร่ ข้าก็ให้ราคาเท่านั้นกับเจ้า จริงนะ ข้าไม่หลอกลวง เจ้ามีเท่าไหร่ ข้าก็เอาทั้งหมด”
เมื่อเขาได้ยินก็บอกให้ป้ารออยู่ตรงนี้ บ้านลุงของเขาเพิ่งสร้างบ้านในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ข้าจะไปถามลุงให้ บ้านของเขาดูเหมือนจะเหลืออิฐอยู่ กองไว้อยู่อย่างนั้นก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
ท่านย่าหม่ารีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ น้องชายเหนื่อยหน่อยแล้ว แม้ว่าจะมีอิฐไม่กี่สิบก้อน ป้าก็จะเอา ป้ารอเจ้าอยู่ตรงนี้นะ”
น้องชายแบกข้าวสารครึ่งกระสอบที่เพิ่งซื้อมาใหม่และรีบเดินจากไปแล้ว
“ทําไมหรือ?”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบเดินมาข้างหน้า เสียงตะโกนของแม่ดังมาก เพียงแค่ครู่เดียวก็เรียกผู้คนมามากมาย คึกคักมากกว่าคนที่ขายเนื้อหมูที่อยู่ด้านข้างอีก “รับซื้ออิฐ พวกข้ารับซื้อทั้งอิฐใหม่และอิฐเก่า”
“รับอิฐเก่าด้วยใช่ไหม?”
“อิฐเก่าก็รับ ขอเพียงมันสามารถใช้งานได้ พวกข้าก็รับซื้อ”
เมื่อแม่นางคนนั้นได้ยินก็รีบหันไปถามหญิงสาวที่ออกมาพร้อมกับนาง “ซานหนี บ้านพี่สะใภ้รองของน้าสี่เจ้า ในลานบ้านมีกองอิฐอยู่มิใช่หรือ? ที่กองอยู่ตรงบ้านสุนัข เจ้าจําได้หรือไม่? เอ๊ะ พวกเราเคยไปบ้านนางมา เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
ซานหนีที่สวมหมวกฝ้ายอยู่ครุ่นคิดอีกครั้ง “อ้อ ที่นั่นดูเหมือนจะมีอิฐอยู่ด้วย”
“ไปเร็ว ด้านหน้าเลี้ยวไปที่บ้านน้าสี่ของเจ้าก่อนเพื่อช่วยสอบถามว่านางจะขายหรือไม่ขาย? ถ้าสามารถแลกเป็นเงินสดได้ก็ดี กองทิ้งไว้ตรงนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร นำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดไว้ซื้อของจะดีกว่า”
เมื่อท่านย่าหม่าได้ยินดังนั้น นางก็รีบพูดเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงดัง
“ใช่แล้ว น้องสาว คำพูดที่เจ้าพูดไว้ไม่ผิด…
…มีใครที่สร้างบ้านแล้วจะสามารถซื้ออิฐได้พอดี? ไม่สามารถคาดคะเนจำนวนได้อย่างละเอียดขนาดนั้นหรอก...
…บ้านทุกหลังที่สร้างตั้งแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่บ้านต่างก็มีอิฐเหลืออยู่…
…เจ้าเหลืออยู่เท่าไหร่ เขาเหลืออยู่เท่าไหร่ ถ้าจะบอกว่าต่อให้นำมารวมกันสร้างเป็นเล้าไก่ก็ยังไม่พอใช้เลย ที่ข้าพูดมาจริงไหม?…
…เจ้าบอกให้นางเข็นมาหาข้าตรงนี้ ถ้าข้าดูแล้วว่าอิฐสามารถใช้ได้ พวกข้าก็จะคิดเงินให้นางทันที หันไปซื้อเนื้อหมูมากินสักสองชั่ง ก็ยังดีกว่าวางอิฐไว้ตรงลานบ้านไว้รับหิมะ”
“ได้สิ เจ้ารอก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปถามให้”
“ขอบคุณน้องสาวมากนะ” ท่านย่าหม่านำสองมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อกันหนาวแล้วตะโกนต่อ
“รับซื้ออิฐ บ้านไหนมีอิฐที่ไม่ใช้แล้ว? นอกจากนี้ยังรับซื้อหัวไชเท้ากับแครอท รับซื้อหัวไชเท้า บ้านไหนมีเยอะ ไม่ต้องการแล้วส่งมาให้ข้านี่ รับซื้อในราคาสูง”
“ทําไมยังรับซื้อหัวไชเท้าด้วยหล่ะ ก่อนหน้านี้ครอบครัวเจ้าไม่ได้ซื้อหัวไชเท้ามาเก็บไว้เลยหรือ” คนขายเนื้อหมูที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ท่านย่าหม่าสูดน้ำมูกก่อนจะเข้ามาคุย “น้องชายเจ้าไม่รู้อะไร พวกข้าเพิ่งจะย้ายมาอยู่ อืม ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ พวกข้าอพยพกันมา ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข บ้านที่ทรุดโทรมก็ยังพอมีราคาเป็นหมื่นๆ แต่บ้านของพวกข้าในตอนนี้ แม้แต่บ้านที่ทรุดโทรมก็ยังเทียบไม่ได้ อยากกินต้นหอมก็ต้องซื้อกิน ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอะไรเลย ตั้งแต่หม้อ กระทะไปจนถึงผัก ก็ต้องซื้อเอา แม้แต่จะกินซอสก็ต้องซื้อมาจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน พวกข้าเริ่มต้นสร้างบ้านด้วยสองมือเปล่าจริงๆ”
“อ๊าห์ ข้าเคยได้ยินเรื่องอพยพมาเหมือนกัน แล้วนี่ พรุ่งนี้พวกเจ้าจะมาอีกไหม?”
ดวงตาของท่านย่าหม่าเปล่งประกายสว่างขึ้นมาทันที “มาสิ ทําไมหรือ?”
“ข้าปิดร้านแล้วจะไปถามให้เจ้า ญาติของข้าเก็บหัวไชเท้าไว้เยอะ แครอทก็มี”
“โอ้ ต้องขอบคุณเจ้ามาก พรุ่งนี้ข้าจะมารอฟังข่าว แต่ละอย่างเอามาอย่างละหนึ่งกระสอบก็ได้ รอพวกข้าทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะมาซื้อเนื้อหมูที่ร้านของเจ้า ข้าพูดคําไหนเป็นคำนั้น”
คนขายเนื้อหมูครุ่นคิดด้วยรอยยิ้ม เห็นพวกเขาแบบนี้แล้ว สามารถกินหัวไชเท้าได้ในช่วงฤดูหนาวก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีด้วยสองมือเปล่า แถมยังมีเนื้อหมูอีก “ได้สิ เมื่อใช้ชีวิตสะดวก สบายขึ้นก็มาซื้อเนื้อที่ร้านข้าแล้วกัน”
ตามนิสัยของท่านย่าหม่าแล้ว นางชอบพูดคุยกับผู้คน นางอาจจะพูดต่ออีกหลายประ โยค แต่ตอนนี้พูดคุยต่อไม่ได้แล้ว “อะไรนะ? อิฐแดงที่เผาเองใช่ไหม? ที่บ้านมีหรือ ข้ารับซื้อ แต่ข้าไม่สามารถให้ราคาเดียวกันกับอิฐขาวได้ เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
เมื่อตกลงกันแล้ว
ท่านย่าหม่ารีบจัดการในทันที “อิ๋นเฟิ่ง เจ้ารอสองคนนั้นอยู่ตรงนี้ แม่ไปสักพักเดี๋ยวก็กลับมา”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งกังวลใจ ไม่อยากให้ท่านแม่ไปเพียงลําพัง เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ท่านย่าหม่าตบเอวสองทีเป็นสัญญาณให้ลูกสาววางใจได้ ใครจะกล้ามาแย่งชิงกับหญิงชราอย่างนาง? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ เอวของนางเหน็บมีดที่หลานสาวได้ให้ไว้
“แต่ท่านแม่ ท่านคนเดียวจะเข็นไหวหรือ พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
“อย่าเสียเวลาชักช้ากัน” ทำไมจะเข็นไม่ได้ งานการอะไรก็เคยทํามาก่อน งานที่เหนื่อยก็เคยทำมาแล้ว แค่อิฐเพียงไม่กี่ก้อนจะเป็นไรไป
ท่านย่าหม่าเดินเข็นรถตามคนไปแล้ว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อนางปรากฏตัวที่ตลาดอีกครั้ง นางก็เข็นรถไม่ไหวแล้ว ต้องเปลี่ยนมาใช้เชือกมัดกับตัวไว้แล้วลากรถเข็นเหมือนกับเวลาวัวลากรถ
ท่านย่าหม่ากัดฟันทน: หนึ่ง สอง ลากเดินไปข้างหน้า
“ท่านแม่” ซ่งอิ๋นเฟิ่งรีบวิ่งมาและช่วยผลักอยู่ด้านหลังรถ
ท่านย่าหม่าถามด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย “สองคนนั้นกลับมาแล้วหรือยัง?”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งตอบกลับ “กลับมาแล้ว เห็นว่าท่านไม่อยู่ รถเข็นของพวกเราก็ไม่อยู่ เมื่อครู่ป้าคนนั้นมาที่ตลาดพร้อมกับหญิงอีกคนไปซื้อเข็มเย็บผ้า นางบอกว่าอีกสักพักจะกลับมาเรียกพวกเราไปเอาอิฐด้วยกัน”
ขณะที่พูด ผู้หญิงสองคนนั้นก็กลับมาจริงๆ ท่านย่าหม่าไม่ได้หยุดพักหายใจ นางก็ไหว้วานคนขายเนื้อหมูที่อยู่ข้างๆ ถ้าน้องชายคนนั้นที่ช่วยติดต่อขายอิฐกลับมา ให้ช่วยบอกเขาให้กลับมาหานางอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงเพราะตอนนี้นางลากรถไม่ไหวแล้ว
ท่านย่าหม่ากําชับเสร็จแล้ว นางกับซ่งอิ๋นเฟิ่งก็เข็นรถบรรทุกอิฐลากตามผู้หญิงสองคนนั้นออกไป เดินตามผู้หญิงสองคนนั้นอยู่ข้างหลังเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตาม ไปตามทางตรอกเล็กๆ
บ้านของผู้หญิงคนนั้นเหลืออิฐอยู่ไม่มากนัก แต่เมื่อรวมกับอิฐแดงที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ นำทั้งสองอย่างมารวมกันก็เพียงพอที่จะทำเตาอบสองเตาได้แล้ว
สองแม่ลูกช่วยกันขนอิฐมาวางไว้บนรถเข็น เมื่อขนย้ายเสร็จก็คิดเงินและจ่ายเงินจนเสร็จเรียบร้อย สองแม่ลูกถึงจะมุ่งหน้าออกจากประตูเมืองตำบลถงเหยา
ซ่งอิ๋นเฟิ่งใช้เชือกมัดตัวเองกับรถเข็นไว้ด้วยกัน นางยืนเดินอยู่ข้างหน้าเพื่อลากรถ ส่วนท่านย่าหม่าคอยออกแรงดันรถเข็นอยู่ทางด้านหลัง
แม้ว่าวันนี้หิมะจะไม่ตกแล้ว แต่ถนนในยุคโบราณนี้ไม่มีการเก็บกวาดหิมะ หิมะบนถนนจึงหนามาก ล้อของรถเข็นราวกับไม่สามารถทนต่อการเสียดสีได้จึงเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เพิ่งออกจากประตูเมืองได้ไม่นาน ซ่งอิ๋นเฟิ่งก็หันกลับไปตะโกนถาม “ท่านแม่ ท่านแม่ไม่เป็นไรใช่ไหม”
หญิงชราล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา
เมื่อครู่นางลื่นล้มลงไป นางไม่ใส่ใจหิมะที่อยู่บนร่างกายและไม่สนใจที่จะนวดกระดูกสันหลังส่วนท้ายสักหน่อย “ไม่เป็นไร ไปกันต่อเถอะ”
อิฐที่อยู่บนรถบวกกับเข่งนึ่งเปล่าๆ อีกหลายสิบอัน เดินเข็นไปเพียงครึ่งทาง ไหล่ของซ่งอิ๋นเฟิ่งก็มีรอยฟกช้ำบนบ่าทั้งสองข้าง ส่วนแขนทั้งสองข้างของท่านย่าหม่าที่ออกแรงเข็นก็ปวดเมื่อยไปหมด
สองแม่ลูกกัดฟันอดทนต่อไป พวกนางพยายามออกแรงเข็นรถกลับบ้านอย่างเต็มที่
ไม่ใช่เพื่ออะไร ทำเพียงเพื่อประหยัดเงินในการขนส่งสองร้อยเหวิน
มิฉะนั้นจะต้องเสียเงินจ้างเกวียนวัวสองร้อยเหวิน
ในขณะเดียวกัน ซ่งฝูหลิงก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านเฉยๆ
ในห้องเค้กของนางมีสิ่งของบางอย่างเพิ่มขึ้นมา วันนี้นางทําเค้กก็ยังจับเวลาโดยตลอด ทดลองจับเวลาซ้ำไปมา
สิ่งของที่เพิ่มออกมาคืออะไรน่ะหรือ คือนาฬิกาทรายที่นางทําเอง
นางใช้ปากขวดน้ำเปล่าสองขวดมาประกบติดกัน ตรงฝาขวดเจาะให้เป็นรู ส่วนด้านในก็ใส่ทรายละเอียดลงไป ช่วงเวลาไหนที่เค้กควรจะใช้ไฟแรง นางก็วาดรูปนอกขวดไว้ ช่วงเวลาไหนควรใช้ไฟอ่อน นางก็จะวาดเขียนข้อความเตือนไว้
อาจกล่าวได้ว่า เมื่อใดที่นาฬิกาทรายเริ่มจับเวลา ทรายไหลลงมาถึงระดับหนึ่งก็แสดงว่าคนทำเค้กควรไปทําอะไรได้แล้ว
และเมื่อถาดเค้กถูกผลักเข้าไปในเตาอบ ทรายของนาฬิกาทรายที่ตนเองทำได้ไหลลงจนหมด ก็หมายความว่าเค้กถาดนี้ถูกอบเรียบร้อยแล้ว