ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 243
มีนาฬิกาทรายนี้แล้วสามารถสอนคนพวกนั้นทําเค้กได้อย่างสะดวก อย่างน้อยก็ไม่ต้องพูดเตือนพวกเขาซ้ำซาก
ทุกอย่างที่เป็นเครื่องจักรก็ดี
ทุกอย่างสามารถจับเวลาได้
ซ่งฝูหลิงมองนาฬิกาทรายสิบอันที่ตนเองเพิ่งทำขึ้นมาใหม่และเอ่ยชื่นชมตัวเอง “โอ้ ข้าก็มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย” ด้านนอกก็มีเด็กที่ฉลาดกว่ากําลังเคาะประตู
“พี่สาว พี่สาว เปิดประตู”
“มาแล้ว”
ซ่งฝูหลิงเปิดประตูห้องทำเค้ก
เฉียนหมี่โซ่วใบหน้าแดงระเรื่อ มือทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยโคลน แค่มองไปที่มือของเด็กน้อยก็รู้ว่าหนาวไม่น้อย หนาวจนมือแข็งทื่อยื่นออกมาตรงๆ ไม่ได้ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเงยหน้าพูดขึ้น
“พี่สาว พี่จินเป่าบอกว่า วันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว จานที่พี่ต้องการเผาออกมาได้สองจานแล้ว พวกเรายังทําที่เป่าลมสามอันด้วย สามอันเลยนะ” เขารีบพูดต่อทันที “เมื่อไหร่ถึงจะได้กินเค้ก?”
ซ่งฝูหลิงรีบพาหมี่โซ่วเข้ามาข้างใน นางใช้น้ำที่เก็บไว้ในห้องเค้กล้างมือให้น้องชายแล้วพามาหน้าเตาเพื่อผิงไฟ ก่อนจะช่วยถูใบหน้าที่แดงระเรื่อของน้องชาย
“หนาวไหม? ทําไมถึงไม่ใส่ถุงมือ?”
“มือสกปรกเต็มไปด้วยโคลน พี่สาว นั่นอะไรน่ะ” เฉียนหมี่โซ่วลุกขึ้นยืน ก่อนร่างเล็กจะหลบซ่งฝูหลิงที่ดึงเขามาผิงไฟ เขาแสร้งทําเป็นเดินผ่านโต๊ะที่วางเค้กไว้อย่างไม่ตั้งใจ “วันนี้กินไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กลัวความเหน็บหนาว เขาเกรงว่ายุ่งอยู่ทั้งวันแล้วจะไม่ได้กินเค้ก
ซ่งฝูหลิงพูดกับหมี่โซ่วด้วยรอยยิ้ม “ถ้างั้นเจ้าก็ไปเรียกพวกเขากลับมาเถอะ วันนี้งานเผาจานกับการทําที่เป่าลมเสร็จสิ้นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ ให้พี่จินเป่าดับไฟแล้วให้พวกเขามาที่บ้านของเราเถอะ”
“แบ่งเค้ก?” ดวงตาของเฉียนหมี่โซ่วเป็นประกายและน้ำเสียงก็ฟังดูสดใสขึ้น
“ใช่ แบ่งเค้ก”
เด็กน้อยรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ แม้อยู่ห่างไกลก็ได้ยินเสียงของหมี่โซ่วตะโกนเรียกพรรคพวก “จะแบ่งเค้กกันแล้ว พากันมาที่บ้านทั้งหมด”
เค้กดอกไม้เล็กๆ สีแดงและสีส้มขนาดหกนิ้วที่อยู่ตรงหน้าเฉียนหมี่โซ่วและเด็กๆ เป็นเค้กที่พวกเขาตั้งตารอคอย
ก่อนหน้านี้ ซ่งฝูหลิงสั่งให้พวกเขาทํางานก็อาศัยบารมี
ตอนเช้าของวันนี้นางสั่งกําชับให้พวกเด็กๆ ทํางาน โดยมีเค้กขนาดหกนิ้วนี้เป็นของรางวัลตอบแทนและดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการอาศัยบารมี
นางบอกว่า ถ้ามีคนงอแงอย่างไร้เหตุผล หรือบางคนอยู่ใกล้เตาแล้วถูกลวก หรือบางคนอู้งานไม่ยอมทํางานดีๆ หรือมีเด็กทะเลาะวิวาท ไม่สามัคคีกัน หากเกิดสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้น พวกเราก็ต้องรอจนถึงวันที่พวกเราทำได้ตามข้อตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วค่อยกินเค้ก
ตอนนั้นพวกเด็กๆ พากันสั่นหัว ไม่ทําเช่นนั้นเป็นอันขาด พวกเขาสามัคคีและมีความ สัมพันธ์สนิทสนมกันมาก
ซ่งฝูหลิงยังบอกก่อนหน้านั้นว่า ถ้าวันนี้เผาจานออกมาไม่ได้ ถ้าไม่มีจานก็ทําเค้กไม่ได้ ทำให้เสียเวลาในการหารายได้ ถ้าเช่นนั้นเค้กก้อนนี้ก็ต้องเอาไปขายเพื่อหารายได้ก่อน
พวกเด็กๆ ต่างพากันบอกว่า ไม่ทำเช่นนั้นหรอกและไม่นอนกลางวัน เพื่อที่จะเผาจานออกมาให้พี่สาว พี่สาวสามารถวางใจได้ พี่พั่งยา อย่าขายมันก็แล้วกัน
ดูเด็กแต่ละคนต่างกระตือรือร้น มีชีวิตชีวากันมาก เป็นพลังที่แข็งแกร่งไม่น้อย
ซ่งฝูหลิงถือเค้กวันเกิดที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นางล็อคประตูห้องเตาอบแล้วรีบกลับบ้านไปก่อน
วันนี้ไม่ใช่แค่นางยุ่งอยู่คนเดียว ท่านย่าก็ยุ่ง ทุกคนต่างก็ยุ่งเหมือนกัน
แน่นอนว่าทุกคนยุ่งอยู่กับงานทุกวัน ที่สําคัญคือวันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางก็ยุ่งมาก
ตอนเช้าเฉียนเพ่ยอิงบอกไว้แล้วว่า วันนี้ไม่มีเวลาทำอาหาร ให้ไปกินข้าวร่วมกับทุกคน
เพราะวันนี้ต้องเตรียมดินไว้ให้พร้อม เนื่องจากครั้งก่อนนำดินจากบนเขามา จึงจำเป็นต้องพรวนดิน ให้ดินที่มาจากเขากับหน้าดินบริเวณที่จะปลูกต้นพริกผสมกัน ดินบนภูเขาอุดมสมบูรณ์ หวังว่าต้นกล้าพริกจะเจริญเติบโตได้ดี
วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่เตรียมดินไว้ให้พร้อมเท่านั้นและยังต้องนําต้นกล้าพริกที่สูงขนาดสามนิ้วย้ายออกจากกระบะเพาะต้นกล้า เพื่อนำออกมาปลูกอย่างจริงจัง
หากต้นกล้า ไม่ต้องกลัวว่าต้นจะไม่โต เช้านี้ซ่งฝูเซิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาเดินอย่างว่องไว
เพราะมันหมายถึงการเพาะปลูกพืชอย่างเป็นทางการ ดูแลต้นกล้าอีกประมาณยี่สิบวัน ก็จะสามารถเก็บพริกรอบแรกได้แล้ว ลองใช้นิ้วมือคํานวณ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เก็บผลผลิตก่อนหน้าหนาวที่จะมาถึงก็ได้
ฤดูหนาวที่จะมาถึงนี่ ถือเป็นช่วงฤดูกาลที่คนโบราณให้ความสําคัญมาก
ฤดูหนาว กว่าจะถึงวันสิ้นสุดก็เป็นช่วงระยะเวลาอันยาวนานที่สุด
คนในยุคนี้จะให้ความสําคัญกับการเคารพผู้ใหญ่ มีการมอบรองเท้าถุงเท้าเพื่อเป็นการให้เกียรติ เพราะช่วงหน้าหนาวมีระยะเวลานานและถือเป็นการอวยพรผู้ใหญ่ในครอบครัวให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว
นอกจากนี้ฤดูหนาวยังมีความสำคัญกับซ่งฝูเซิงมาก เพราะคนยุคนี้ไม่ว่าที่บ้านจะมีเงินหรือไม่มีเงินก็จะต้องกินเกี๊ยวให้ได้และยังใส่ใจกับการทำไส้เกี๊ยวด้วยการใช้เนื้อสัตว์ ผัก และเครื่องปรุงรสอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้แผ่นเกี๊ยวที่ดีที่สุดในบ้านมาห่อเกี๊ยว
เมื่อถึงตอนนั้น พริกของเขาที่นําออกมาขาย ครอบครัวคนร่ำรวยก็จะซื้อพริกประหลาดนี้ที่เพิ่งพบเห็นครั้งแรก เป็นผักสดใหม่ที่ดีและแพงที่สุด คนมีเงินก็คงอดใจซื้อพริกกลับไปห่อเกี๊ยวในช่วงหน้าหนาวนี้ไม่ได้
ครุ่นคิดกันไปไกลแล้ว
เมื่อหันมามองเด็กพวกนี้ก็เห็นพวกเขาพากันกลับมายังบ้านของซ่งฝูเซิง
แต่ละคนดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
เพราะก่อนเดินทางมาหมี่โซ่วได้บอกกับพวกเขาว่า ท่านป้ารักความสะอาด ก่อนเข้าบ้านจะต้องกระทืบเท้าสลัดหิมะออกเสียก่อน มิเช่นนั้นท่านป้าจะต้องทำความสะอาดและต้องเหนื่อยกับการเก็บกวาดบ้าน
พวกเด็กๆ ยืนต่อแถวตรงประตู พวกเขากระทืบเท้าเพื่อให้หิมะที่เกาะอยู่บนเท้าหลุดออกไป
ซ่งฝูหลิงได้ยินเสียงกระทืบเท้าก็เดินยิ้มออกมาต้อนรับ ก่อนหน้านี้ที่นางกลับมาถึงบ้านก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ นางกําลังสุมไฟที่เตาผิง นางเปิดม่านประตูห้องออกพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เข้ามาสิ พวกเรา มาล้างมือกันก่อน พี่ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ให้พวกเจ้าแล้ว”
ซ่งจินเป่าพูดขึ้นมา “พี่สาว พี่ดูสิ ข้าแบกจานหลายใบมาให้พี่แล้ว ตอนแรกจะยกเอาที่เป่าลมมาด้วย แต่พี่ใหญ่บอกให้วางไว้ตรงนั้นก่อน เมื่อเขาว่างจะนำมาวางไว้หน้าประตูห้องขนมของพี่”
“ได้สิ เจ้าวางมันไว้ตรงนั้นเถอะ ตอนนี้จินเป่ามีความสามารถมากขึ้นแล้ว”
เขามีความสามารถมากขึ้นจริงๆ เพราะจินเป่าเป็นพวกที่ยิ่งถูกชื่นชมมากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
ซ่งฝูหลิงนำน้ำร้อนเทใส่สี่อ่าง นางพาซ่งจินเป่าและเด็กจำนวนสิบเจ็ดคน มาล้างมือและคอยเตือนให้ใช้สบู่ถูมือทั้งสิบนิ้วแล้วค่อยชำระล้างด้วยน้ำอีกครั้ง
เพียงแค่ล้างมือก็ใช้เวลาล้างนานแล้วเพราะเด็กมีจำนวนมาก
หลังจากนั้นซ่งฝูหลิงก็ปีนขึ้นไปบนตั่งอีกครั้งเพื่อเก็บผ้าห่มและสิ่งของทั้งหมดที่ปูอยู่ข้างบนไว้ เพื่อเป็นการป้องกันเหาหรือแมลงอะไรก็ตามปีนขึ้นมาบนผ้าห่ม นางเหลือเพียงแค่เสื่อปูไว้เท่านั้น
คอยดูแลเด็กๆ ให้ปีนขึ้นไปบนตั่งอุ่นๆ ก่อนจะยกเค้กขนาดหกนิ้วออกมาท่ามกลางสายตาของเด็กๆ ที่คอยจ้องมองเค้กที่ถูกยกออกมาแล้ว
เด็กทั้งสิบเจ็ดคนอย่าว่าแต่ขนาดเค้กหกนิ้วเลย แม้แต่ขนาดสิบหกนิ้วก็ยังไม่พอกิน ดังนั้น คนหนึ่งจึงกินได้แค่คําเล็กๆ เพียงคำเดียว
แค่คําเล็กเพียงหนึ่งคำ พวกเด็กๆ ก็พอใจกันมากแล้วเพราะว่ามันสวยงามมาก เค้กที่อยู่ตรงหน้าเป็นเค้กที่สวยที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นมา โดยที่พวกเขาไม่สามารถจะจินตนาการมันออกมาได้
“นี่ ก่อนกินเค้กพวกเราควรจุดเทียนหนึ่งแท่งก่อน” ซ่งฝูหลิงหยิบเทียนหนึ่งแท่งที่ซื้อมาขึ้นมาจุดไฟ
นางกล่าวกับเด็กทั้งหลาย “รอสักครู่หนึ่ง พวกเจ้าต้องอธิษฐาน แต่ละคนพูดถึงสิ่งที่อยากจะให้มันเป็นความจริงมากที่สุด หลังจากนั้นพวกเราก็เป่าเทียนให้ไฟดับ ก็สามารถกินเค้กได้แล้ว”
เฉียนหมี่โซ่ว “พี่สาว ทําไมกินเค้กจะต้องอธิฐานด้วยหล่ะ ขอแล้วจะสําเร็จได้จริงหรือ? ใครเป็นคนบอกพี่?”
ยายาผลักเขา “นี่ หมี่โซ่ว เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ถ้าพี่สาวมัวบอกกับเจ้าอีกสักพัก แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้กินล่ะ” เมื่อยายาพูดจบ นางก็รีบยกมือขึ้นอย่างว่องไว “พี่สาว ข้าพูดก่อน ข้าอยากกินของหวานทุกวัน ถ้าจะให้ดีที่สุดเวลาท่านแม่ทําอาหารก็ใส่น้ำตาลลงไปให้ข้าด้วย”
ซ่งฝูหลิงปรบมือ
ซ่งจินเป่า “พี่สาว ข้าไม่รู้สึกอะไรกับความหวานเลย ข้าอยากให้พี่ทําเค้กทุกวันให้ข้า ข้าก็จะได้กินทุกวัน”
“ถ้างั้นจินเป่าจะต้องขยันขึ้นนะ ต่อไปต้องตั้งใจเรียนเพื่อเป็นขุนนางใหญ่แล้วจ้างพี่สาวมาเป็นแม่ครัวทําเค้กให้กับเจ้าดีไหม?”
“ได้ พี่สาว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเอาเงินที่หามาได้ทั้งหมดมาให้พี่แล้วพี่ก็ทําเค้กให้ข้า”
เสี่ยวเหนียนปาพูด “สิ่งที่ข้าอธิฐานไว้คือ หวังว่าครั้งต่อไปพี่สาวจะทำเค้กก้อนใหญ่กว่านี้มาก ทําเค้กให้ใหญ่กว่าเครื่องบดของบ้านข้าเมื่อก่อน ข้าอยากให้ครั้งต่อไปที่ได้กินเค้ก มีพวกพี่ชายของข้าด้วย พวกเขายังไม่เคยกินเค้กมาก่อน”
ซ่งฝูหลิงโน้มตัวลงไปสบตากับเสี่ยวเหนียนปาและพูดกับเขาอย่างจริงจัง “เสี่ยวเหนียนปา เจ้ารู้หรือไม่? ถ้าพวกพี่ชายของเจ้าได้ยินจะดีใจมาก เจ้าเป็นเด็กดีมาก พวกเขาไม่เสียแรงที่รักเจ้า”
เด็กคนอื่นๆ พอได้ยินซ่งฝูหลิงเอ่ยชมเสี่ยวเหนียนปาก็พากันแย่งพูดแสดงความคิดของตนเอง “พวกเราก็อธิฐานขอพรให้ทำเค้กใหญ่กว่านี้ ให้พี่ชายกับพี่สาว ท่านปู่ท่านย่าและท่านพ่อกับท่านแม่ได้มีโอกาสกินด้วย ก็ให้พ่อกับแม่กินด้วย พี่สาว ความปรารถนานี้จะเป็นจริงหรือไม่?”
พวกเขาฉลาดมาก รู้ว่าเรื่องนี้จะสําเร็จหรือไม่นั้น ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับซ่งฝูหลิงและยังรู้จักถามไถ่ต่ออีก
ซ่งฝูหลิงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบ แต่ถามขึ้นว่า “หมี่โซ่ว แล้วเจ้าล่ะ?”
หลังจากนั้นอีกหลายปี ซ่งฝูหลิงก็คงไม่อาจลืมท่าทางหน้าตาของน้องชายในตอนนี้ได้
นางเห็นหมี่โซ่วเขินอายเล็กน้อย ก่อนเขาจะยื่นสองมือมากอดคอนางไว้ เขาพูดขึ้นขณะที่ยืนอยู่บนตั่ง
“ข้าอธิฐานขอพรให้พี่สาวสามารถทําให้ทุกคนกินเค้กได้ ให้ทุกคนได้ลิ้มรส แต่พี่สาวทำเค้กแล้วจะต้องไม่เหน็ดเหนื่อย”
ซ่งฝูหลิงซาบซึ้งใจอย่างมาก
“มาเถอะ ทําให้ความฝันของพวกเราเป็นจริง นับ หนึ่ง สอง สาม แล้วเป่าเทียน”
ด้านนอกมีผู้ใหญ่หลายคนถือเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อไปทํางาน พวกเขาบังเอิญเดินอยู่ด้านนอก ผ่านหน้าต่างบ้านของซ่งฝูเซิงและได้ยินเสียงครึกครื้นภายในห้อง ก็ถึงกับหยุดชะงัก
“ฮ่าๆ ”
“ข้ากินดอกไม้แล้ว”
“ข้าก็กินแล้ว ข้ากินดอกไม้สีเหลือง ดอกสีเหลือง”
“ข้ากินสีแดง เจ้าดูข้าสิ ซ่วนเหมียวจื่อ ข้ากินดอกไม้สีแดง” เด็กน้อยแลบลิ้นออกมาเพื่อให้ซ่วนเหมียวจื่อได้ดูลิ้นของเขา
ผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่ข้างนอกต่างพากันส่ายหัวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินจากไป
พวกเขาต่างพากันคิดว่า เด็กพวกนี้เนี่ย เตาของบ้านลุงสามใกล้จะพังทลายลงแล้ว
ผ่านไปสักพักก็มีคนอีกหลายคนเดินผ่านมา ได้ยินเสียงหั่นผักดังกึกก้องไปทั่วบ้านของซ่งฝูเซิง
นอกจากมีเสียงหั่นผักแล้ว ยังมีเสียงที่เด็กๆ ต่างพากันเรียก พี่พั่งยา ดังขึ้นมาด้วย
ผู้ใหญ่เหล่านี้ต่างก็คิดในใจ ต้องขอบใจพั่งยาที่ช่วยดูแลเด็กๆ มิเช่นนั้นช่วงหน้าหนาวเด็กพวกนี้จะชอบวิ่งเล่นซุกซน ถ้าหากไม่ดูให้ดีอาจจะพลัดตกลงไปในหลุมอุจจาระหรือในคูน้ำได้ อยู่กับพั่งยาก็ดีแล้ว ขอเพียงอย่าทำบ้านพังก็พอ
แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นเด็กดี หลังจากที่กินเค้กเสร็จแล้ว พวกเขาก็ช่วยพี่พั่งยาทำงานด้วยการใช้สองมือเล็กๆ นี้ เทน้ำแครอท ส่วนพี่พั่งยาก็เป็นคนสับแครอท
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง มีชายอีกหลายคนเดินผ่านมา ครั้งนี้พวกเขาถึงกับหยุดเดินไม่ได้เป็นเพราะเสียงอันอึกทึกของบ้านลุงสาม แต่เป็นเพราะเสียงอ่านอาขยายอันไพเราะที่ดึงดูดทําให้พวกเขาถึงกับตกตะลึง
เด็กๆ ช่วยซ่งฝูหลิงทํางานไปด้วยและท่องบทอาขยานใหม่ที่พี่สาวสอนพวกเขา
“เข็มและด้ายในมือของมารดาผู้อ่อนโยน รีบทำเสื้อผ้าให้ลูกชายที่จะเดินทางไกล...
…รอยเข็มเย็บอย่างละเอียดแน่นหนาก่อนออกเดินทาง เกรงว่าเมื่อลูกกลับมาล่าช้าแล้วเสื้อผ้าจะฉีกขาด…
…ใครจะกล้าพูดได้ว่า ความกตัญญูของลูกจะอ่อนแอดังเช่นใบหญ้า หรือสามารถทดแทนคุณได้มากกว่าบุญคุณที่บิดามารดาเลี้ยงดูกันมา”