ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 245
มองจากระยะไกลก็สามารถเห็นได้
ซ่งอิ๋นเฟิ่งประคองท่านย่าหม่าเอาไว้ ทั้งสองคนหายใจอย่างหอบเหนื่อยในขณะที่ช่วยประคองกันเดิน
ตอนนี้เหอซื่อกำลังลากรถเข็นอยู่ด้านข้างพวกนาง
เหอซื่อใช้วิธีการเดียวกันกับซ่งอิ๋นเฟิ่งก่อนหน้านี้ นางใช้เชือกผูกร่างตนเองกับรถเข็นที่อยู่ด้านหลังแล้วออกแรงลาก
เชือกดึงรัดหน้าอกแน่นจนทำให้นางปวดกระดูกบริเวณทรวงอกและซี่โครง แต่นางก็ไม่บ่นซักคำ นางยังคงกัดฟัน โน้มตัวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ
มีหญิงสาวสามคนตามหลังรถเข็นมา เถาฮวา ต้ายากับเอ้อร์ยาต่างช่วยกันออกแรงเข็นรถ
หลังจากกลุ่มคนพวกนี้เข้ามาในเขตหมู่บ้านแล้ว พวกป้าอ้วนที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณริมแม่น้ำก็ถึงกับตกตะลึง
พวกป้าอ้วนควักถั่วเหลืองที่คั่วแล้วยัดใส่ปากกิน พลางวิ่งไปข้างหน้า “พวกเจ้าซื้ออะไรมา” เอื้อมมือไปแง้มดูสิ่งของที่อยู่ใต้แผ่นฟางที่คลุมไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นอิฐที่อยู่ข้างใต้แผ่นฟาง พวกป้าอ้วนก็วิ่งเหยาะๆ ตามรถเข็นไปตลอดทางแล้วถามขึ้นว่า “นี่ พวกเจ้ายังทําตั่งกันไม่เสร็จอีกหรือ? อากาศหนาวขนาดนี้เพิ่งจะซื้ออิฐ? พวกเจ้ามัวแต่ทำอะไรกันอยู่ทั้งวัน แม้แต่ตั่งก็ยังสร้างไม่เสร็จเลย”
ไม่มีใครสักคนสนใจนาง จะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมาสนใจนาง
เมื่อข้ามแม่น้ำไปแล้ว ก่อนจะขึ้นสะพานจะมีเนินเล็กๆ หญิงสาวหลายคนรวมทั้งท่านย่าหม่าพยายามออกแรงดันรถเข็นอีกครั้ง ออกแรง ออกแรงอีก!
ป้าอ้วนมองดูพวกเขาข้ามสะพาน นางโยนถั่วหนึ่งเม็ดใส่ปาก ยังไม่ทันจะเคี้ยวกลืนลงไป นางก็บ่นพึมพํากับตนเอง “ดูท่าวันนั้นที่ได้กลิ่นเนื้อ คงอาจจะเป็นเพราะความหิว พวกเขาจะมีความสามารถกินเนื้อสัตว์ได้อย่างไร”
นางรู้สึกเป็นห่วงคนทางฝั่งแม่น้ำด้านนั้นมาก
เฮ้อ! น่าอนาถจริงๆ คนพวกนี้ต้องการใช้อะไรก็ไม่มี ฤดูหนาวนี้พวกเขาจะผ่านพ้นความหนาวเหน็บไปได้อย่างไร
“กลับมาแล้ว โอ้ นี่ซื้ออะไรมาอีกหรือ” หญิงสูงวัยหลายคนเริ่มเคยชินแล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะคอยท่านย่าหม่าและทำอาหารไปด้วย
แค่เหลือบมองก็ถึงกับตกใจ
ท่านยายหวังและคนอื่นๆ ที่สวมผ้ากันเปื้อน ที่มือยังมีแป้งขาวเปื้อนอยู่ พวกนางก็รีบพากันออกมาช่วยขนของ
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องช่วยหรอก” ท่านย่าหม่าหนาวจนแทบทนไม่ไหว นางยกมือโบกไปมา
พวกผู้หญิงหลายคนไม่สนใจ ทําอาหารช้าไปสักหน่อยก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร พวกนางต่างพากันมาช่วยขนอิฐ
“เจ้ายังจะสร้างเตาอีกหรือ?” ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วถาม นั่นเป็นสิ่งที่นางไม่คาดคิดมาก่อน
“ใช่แล้ว” ท่านย่าหม่าพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ ถ้าทุกคนจะมาช่วยก็ช่วยให้ถึงที่สุด ขนของไปวางไหว้หน้าประตูห้องเค้ก ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรแล้ว วันนี้นางเหนื่อยมาก อยากจะหาที่พักผ่อนหน่อย
ท่านยายหวังกําลังจะซักไซร้ไล่ถาม ซ่งฝูหลิงก็พาพวกเด็กๆ ออกมา
สองมือของซ่งฝูหลิงยังคงเปื้อนน้ำแครอท นางเดินไปหาท่านย่าหม่า “ท่านย่า ทำไมถึงไม่จ้างรถลากล่ะ”
“จ้างรถทำไม จ้างรถต้องใช้เงินสองร้อยหยวน เอาเงินไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ มีอิฐแค่นี้มีไม่พอใส่รถหนึ่งคัน”
ท่านย่าหม่าพูดจบก็เดินไปยังบ้านซ่งฝูเซิง
ตอนนี้นางทั้งหนาวและกระหายน้ำมาก จึงมุ่งหน้าไปบ้านของลูกสามก่อนเพื่อให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น เตาไฟบ้านลูกสามไฟกำลังแรงสุด น้ำร้อนก็มีเตรียมไว้อยู่ตลอดเวลา
ซ่งฝูหลิงเดินตามหลังท่านย่าหม่าไป พลางเอ่ยขึ้น “เค้กของพวกเราหลายก้อนก็สามารถหาเงินกลับมาได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราหาเงินไม่ได้ ท่านไม่ต้องทำถึงขั้นนี้ก็ได้”
ซ่งฝูหลิงยังเอ่ยถึงเรื่องอื่นอีก แต่คนอื่นที่เข้ามาช่วยขนอิฐก็ไม่ได้ยินแล้วเพราะซ่งฝูหลิงเดินตามท่านย่าเข้าไปในห้องแล้ว
ท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงช่วยขนอิฐเสร็จแล้วก็กลับมาถึงห้องครัว นางนั่งลงบนม้านั่งเล็กๆ ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถาม “นี่ ค่าเงินทำงานของพวกเรา คิดคํานวณเงินเท่าไหร่กัน? เดือนนี้พวกเราจะได้เท่าไหร่?”
ท่านยายเถียนกำลังกวนซุปแกงผักไปก็บอกกับนางว่า “คงไม่มากนัก ฝูเซิงบอกว่าต้องหักเป็นค่าของใช้ส่วนรวมและต้องดูว่าช่วงนี้พวกเราจะหาเงินได้เท่าไหร่ พอเสร็จแล้วก็คํานวณตามนั้น คำนวณเสร็จแล้ว พวกเราที่ทําอาหารก็จะได้รับเงินสามส่วน”
มีหญิงสูงวัยคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น “เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ตอนประชุมเจ้าไม่ได้ยินหรือไง?”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงไม่พูดอะไร นางได้ยินแล้ว ได้ยินแน่นอนเพราะมันเกี่ยวข้องกับเงิน นางถึงตั้งใจฟังมากกว่าใครๆ นางแค่อยากจะยืนยันอีกครั้งเพื่อที่พอจะคาดคะเนได้ว่าเดือนนี้นางจะได้เงินมาเท่าไหร่
หูก็ได้ยินพวกนางกําลังพูดคุยคาดเดาว่าท่านย่าหม่าคงจะได้เงินจากการขายเค้กไม่น้อย
พวกนางเข้าใจ “เพื่อนรัก” ของพวกนางดี ถ้าไม่สามารถหาเงินได้ คงไม่มีใครออกไปซื้ออิฐมาทําเตากันอีกรอบ
นั่นมันคือก้อนอิฐ
ก้อนอิฐ ไม่พูดถึงว่ามันแพงแค่ไหน แต่พวกเราสามารถใช้ดินเหนียวนำมาเผาได้หลายวัน เผาทุกวันก็ได้หลายสิบก้อนแล้ว แต่ท่านย่าหม่าทนรอไม่ไหว เมื่อก่อนใช้ชีวิตอย่างตระหนี่มาก แต่ตอนนี้ยอมที่จะเสียเงินมากกว่า นี่หมายความว่าอย่างไร?
ถ้าจะพูดถึงสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์แล้ว นางย่อมเป็นคนที่มีหัวคิดอย่างแน่นอน
พวกผู้หญิงต่างทอดถอนใจว่าท่านย่าหม่ามีความสามารถมากถึงขั้นพลิกชีวิตได้ ต่อไปคงแข็งแกร่งกว่าพวกนางเป็นหลายร้อยเท่า เค้กนั่น ถ้าทำให้ดี ไม่แน่ว่าเดือนหนึ่งจะหาเงินได้ไม่น้อย ได้ยินพั่งยาบอกกับย่าของนางเมื่อครู่ว่า เงินสองร้อยหยวนก็มีค่าเท่าขนมเค้กเพียงไม่กี่ก้อน
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงได้ฟังก็ถึงกับหรี่ตาลง
และยังมีท่านยายคนอีกคนหนึ่ง ท่านยายหวัง ตอนนี้นางไม่มีกะจิตกะใจจะทําอาหารแล้ว
ท่านยายหวังคิดในใจ
ดูเหมือนว่านางจะต้องคิดให้รอบคอบแล้ว
เมื่อรวมสามแต้มของตนเองที่ได้จากการทำงานกับพวกซ่งฝูเซิงแล้ว จะสามารถหาเงินได้เท่าไหร่
ถ้าไปอยู่กับพี่หม่าแล้วจะหาเงินได้เท่าไหร่
ตกลงจะอยู่กับใครดีถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน
และยังมีอีกหนึ่งคนที่มีความคิดเหมือนกันกับท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงและท่านยายหวัง นั่นก็คือ หลี่ซิ่ว
ก่อนหน้านี้หลี่ซิ่วก็พอจะคาดเดาได้ พวกผู้หญิงบ้านท่านย่าหม่าหยุดงานแต่เนิ่นๆ น่าจะมีงานอื่นที่จะต้องทําอีก
นางนึกถึงขนมที่ซ่งฝูหลิงทำขึ้นมา
ท่านย่าหม่าซื้ออิฐกับแผ่นเหล็กเข้าบ้าน และยังซื้อเข่งนึ่งมากมาย แถมยังทําเตาตลอดทั้งคืน นี่ก็ยังไม่มีที่กําบังเลย แสดงว่าต้องขายได้กำไรดีแน่
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจไม่ทำงานกับพวกซ่งฝูเซิงแล้ว เมื่อเห็นท่านย่าหม่ากลับมาและยังขนก้อนอิฐกลับมาอีก นี่คงจะขยายพื้นที่การผลิตให้ได้มากกว่าเดิม ขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้นก็ต้อง การกำลังคนมากขึ้น
หลี่ซิ่วคุกเข่าลงกับพื้นทันที
ท่านย่าหม่าที่กำลังดื่มน้ำก็ถึงกับสำลักน้ำออกมา นางสําลักจนไอหลายที “แค่กๆ เจ้า? เจ้าจะทําอะไร?”
ซ่งฝูหลิงก็ตกตะลึงเช่นกัน ทําไมถึงมาคุกเข่าที่บ้านของนางได้ ที่สําคัญก็คือ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน นางกำลังพูดคุยปรึกษากับท่านย่าและวันพรุ่งนี้ให้ท่านย่าซื้อสีย้อมมา ให้นาง อยู่ๆ ก็มีคนโผล่เข้ามากะทันหันในห้องแล้วคุกเข่าลงทันที นางได้ยินเสียงก็รู้สึกปวดหัวเข่าแทน
หลี่ซิ่วโขกศีรษะกับพื้นหลายครั้งโดยไม่สนใจอะไร นางคุกเข่าเงยหน้ามองท่านย่าหม่าด้วยน้ำตา
ซ่งฝูหลิง “…” นางคงต้องเดินไปแล้ว พวกนางไม่เขินอาย แต่นางรู้สึกเก้อเขิน “ท่านย่า ถ้างั้นข้าขอตัวไปดูหมี่โซ่วว่าวิ่งหายไปไหนแล้ว”
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงแค่ท่านย่าหม่ากับหลี่ซิ่ว ท่านย่าหม่าก็สงบสติลงก่อน นางพอจะคาดเดาได้ว่ามันคือเรื่องอะไร
ท่านย่าหม่านั่งอยู่บนตั่ง นางหยิบกระบวยตักน้ำขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พูดมาสิ มีเรื่องอะไร”