ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 246
หลี่ซิ่วบอกกับนางว่า นางรู้ว่าทุกคนมีความคิดต่างๆ นานาต่อนาง ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะนางมาจากภูเขาลูกนั้นเพียงลำพัง ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยในตัวนาง อีกด้านอาจเป็นเพราะชุนฮวาและพ่อของของเป่าจื่อที่เสียชีวิตไปแล้ว
ท่านย่าหม่าโบกมือ “เจ้าพูดให้มันเข้าเรื่องหน่อย”
“ไม่น่ะ ท่านป้า ได้โปรดฟังข้าพูดให้จบก่อน จะสําเร็จหรือไม่นั้น ข้าก็อยากจะเล่าให้ท่านฟัง”
ท่านย่าหม่ากลอกตาพลางคิดในใจ เมื่อก่อนไม่เห็นเจ้าพูดกับข้าเยี่ยงนี้เลย เลือกปฏิบัติกับคนไม่เหมือนกัน ตอนนี้เจ้าคงเห็นว่าข้ามีความสามารถแล้วสิ
หลี่ซิ่วทำเป็นมองไม่เห็นท่านย่าหม่ากลอกตา นางปาดน้ำตาก่อนจะเล่าเรื่องราว
นางบอกว่า นางมาจากภูเขาลูกนั้นจริงและวิ่งหนีออกมาจากพื้นที่นั้น ครั้งนี้ที่อพยก็ผ่านสถานที่นั้นมาแล้ว
“เจ้าพูดถึงหมู่บ้านไร้ผู้คนนั่นหรือ? หมู่บ้านที่มีแต่คนตาย?” ท่านย่าหม่ารู้สึกประหลาดใจ
หลี่ซิ่วพยักหน้า
“พ่อกับแม่ของข้าขายข้าให้กับชายอายุมากที่ยังไม่ได้แต่งงานในหมู่บ้านเพื่อเงินสิบแปดตำลึง ชายผู้นั้นอายุมากกว่าข้ายี่สิบกว่าปี…
…ข้าคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็จะให้ข้าแต่งงานให้ได้…
…ในวันที่ข้าแต่งงาน ข้าถูกทำให้สลบและถูกส่งตัวไป…
…พี่สาวทั้งสองคนของข้าก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน พี่สาวคนโตถูกขายไปยังสถานที่ที่ไม่สะอาด ทนทรมานไม่ถึงสองปีก็จากไป…
…ส่วนพี่สาวคนที่สอง ใช้ชีวิตในช่วงแรกอย่างดี ถึงแม้ว่าผู้ชายจะมีอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะพี่เขยรองอยู่ตัวคนเดียว เขากับพี่สาวของข้าต่างพึ่งพาอาศัยกัน ชีวิตยังต้องประสบพบเจออะไรอีกหลายอย่าง แต่พี่เขยนั้นกลับมีอายุสั้น…
…ท่านป้า ข้าทำร้ายพี่สาวคนที่สอง…
…เพราะหลังจากที่พี่เขยไม่อยู่แล้ว พี่สาวก็พาลูกสาวคนเดียวของนางแอบกลับมาที่บ้านเพื่อมาดูแล ปรากฏว่าพ่อกับแม่แอบเอาลูกสาวของพี่สาวไปขาย พี่สาวเป็นบ้าออกตามหาลูกสาวของนางไปทั่วและไม่มีข่าวคราวอีกเลย”
“เพราะอะไร พ่อกับแม่ของเจ้าถึงทำแบบนี้?”
“เพราะพวกข้ามีน้องชายหนึ่งคน น้องชายคนนั้นเป็นผีการพนัน ในสายตาของพ่อแม่ ไม่ว่าน้องชายจะไม่ดีอย่างไร เขาก็เป็นลูกผู้ชาย สามารถสืบสกุลได้ ข้าไม่มีครอบครัวทางฝั่งแม่แล้ว” หลี่ซิ่วร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลังจากท่านย่าหม่าฟังจบก็ถอนหายใจ
หลี่ซิ่วร้องไห้อยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพูดเรื่องของตนเองต่อ
“ผู้ชายที่ข้าแต่งงานด้วยมีอายุมาก ไม่กลัวว่าท่านป้าจะหัวเราะเยาะ เขาเสื่อมสมรรถนะทางเพศ เขาก็ทรมานข้า กล่าวหาว่าข้าคบชู้กับชายอื่นและมีอะไรกันทั้งที่จริงแล้วไม่มีเลย…
…ยิ่งเขาทําไม่ได้ เขาก็ยิ่งทุบตีข้าหนักขึ้น…
…ข้าไม่มีที่ไป ไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่หนึ่งเหวิน...
…ทําไมข้าอยู่กินกับเขามาหลายปีแล้วถึงหลบหนีมา เพราะข้าไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากญาติทางฝั่งแม่ก็ไม่มี ข้าไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน เกรงว่าหลบหนีออกไปแล้วจะไม่มีชีวิตรอด ต่อมาถูกเขาตบตีจนทนไม่ไหว ข้าไขกุญแจที่เขาล็อคไว้และขโมยถุงอาหารในตู้ แบกหลบหนีมาทางหมู่ บ้านของพวกท่าน”
หลี่ซิ่วบอกว่า นางไม่คาดคิดว่าได้เดินข้ามภูเขามาแล้ว ตอนนั้นนางเกือบจะเป็นลมและก็ได้พบเจอแม่ของจ้าวฝูกุ้ย
หลังจากนางฟื้นขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แม่ของจ้าวฝูกุ้ยถึงได้รู้ว่านางเป็นสาวใหญ่แล้ว
แต่ท่านย่าหม่ารู้ดี แม่ของจ้าวฝูกุ้ยดูคนออก เมื่อก่อนยังใช้สายตาในการรับงานหารายได้ ดูคนได้แม่นยํา
“หลังจากนั้นท่านป้าก็น่าจะรู้แล้ว แม่สามีของข้าไล่แม่แท้ๆ ของชุนฮวาออกไปเพราะรังเกียจที่นางไม่สามารถคลอดลูกได้อีกและให้ข้าแต่งงานกับจ้าวฝูกุ้ย พวกเราสองคนเริ่มใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่ชุนฮวากลับต่อต้านข้าตลอดมา”
เมื่อหลี่ซิ่วพูดมาถึงตรงนี้ นางก็รีบพูดเกี่ยวกับตนเอง
นางบอกกับท่านป้าว่า คนในหมู่บ้านมักรู้สึกไม่ค่อยดีกับแม่เลี้ยง แม้ว่าจะดูแลเด็กของภรรยาเก่าที่ทิ้งไว้เสมือนลูกแท้ๆ ก็ยังถูกติฉินนินทาลับหลัง ยิ่งนางทำไม่ดีกับชุนฮวา นางยอมรับ
ใช่ หลี่ซิ่วยอมรับ
นางบอกว่า นางไม่ใช่คนใจร้าย มองดูภายนอกชุนฮวาดูเป็นคนซื่อ แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แม้กระทั่งวันนี้นางก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ปฏิบัติไม่ดีกับชุนฮวาเพราะเด็กคนนี้ไม่เคยดีกับนางเลย
ดูเด็กนั่นสิ มีลูกเลี้ยงคนไหนที่ใจกล้าเหมือนกับนาง? กล้าถึงขนาดนำปูนขาวมาเปลี่ยนเป็นแป้งทั้งหมดแล้วแอบเอาไปให้แม่แท้ๆ ของตนเอง ก็รู้ได้ว่าชุนฮวาไม่ใช่เด็กธรรมดา นางใจร้าย
เพราะชุนฮวาไม่เคยคิดถึงน้องชาย เพราะไม่ได้เกิดจากแม่คนเดียวกัน แต่ก็มีพ่อคนเดียวกัน นั่นเป็นน้องชายแท้ๆ ของนางเหมือนกัน รวมทั้งพ่อแท้ๆของนาง ที่อพยพหลบหนีมาด้วยกัน นางไม่สนใจว่าอาหารที่เก็บไว้ในครอบครัวจะพอกินหรือไม่ ไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็รู้ได้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ไม่ฟังใคร
นอกจากนี้ หลี่ซิ่วก็ยังบอกอีกว่า เริ่มแรกไม่ใช่ว่านางทำไม่ดีกับชุนฮวา แต่เป็นเพราะนิสัยของชุนฮวากดดัน ถึงทำให้เป็นแบบนี้
เพราะเมื่อก่อนทําอาหารให้เด็กคนนี้กิน เด็กคนนี้ก็ไม่กิน หิวจนร่างกายผอมแห้งเหมือนหนังหุ้มกระดูกเพราะต้องการประหยัดอาหาร ประหยัดหลายวัน จากนั้นก็แอบไปบ้านยายเพื่อเอาอาหารให้แม่แท้ๆ ของนาง
โหยหิวอยู่ข้างนอก ท้องร้องโครกคราก คนทั้งหมู่บ้านต่างตำหนินาง ต่อว่าว่าแม่เลี้ยงใจร้าย ไม่มีเมตตา ทําให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง นางมาค้นตัวชุนฮวาก็พบปัวปัวที่ซ่อนไว้จนมีราขนสีเขียวขึ้น ทุกวันก็คิดแต่จะวิ่งไปหาแม่แท้ๆ ของนาง
ตอนนั้นนางต่อว่าชุนฮวา อยากให้เด็กคนนี้กลับใจ ห้ามไม่ให้นางไปหาแม่อีก ให้ชุนฮวากินอาหารเอง แต่นางก็ไม่ฟัง ตียังไงก็ไม่ยอม
ท่านย่าหม่าคิดในใจ ก็จริงนะ ตอนที่ชุนฮวามีแม่เลี้ยง นางก็อายุสิบกว่าปีแล้ว แม่แท้ๆ ของนางก็ยังมีชีวิตอยู่ บางทีในสายตาของชุนฮวาคงเกลียดหลี่ซิ่วมาก นางคงคิดว่าเป็นเพราะหลี่ซิ่วที่ทำให้แม่ของนางต้องถูกขับไล่ออกจากบ้านไป อาจพูดได้ว่าเลี้ยงไม่เชื่อง
หลี่ซิ่วยังคงเล่าให้ท่านย่าหม่าฟัง
หลายครั้งที่นางถูกคนในหมู่บ้านติฉินนินทา ทำให้ใจของนางแข็งกระด้างขึ้น
สิ่งที่ทำให้หัวใจของนางยิ่งแข็งกระด้างขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อชุนฮวาไม่ได้แค่แอบส่งอาหารให้แม่ของนางบ่อยๆ แต่นางยังแอบมาบอกกับจ้าวฝูกุ้ยที่เชื่อคนง่าย เล่าถึงความดีของแม่และแม่ที่ใช้ชีวิตอยู่บ้านยายว่าต้องตกระกำลำบากสักเพียงใด ร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง กินข้าวก็ไม่อิ่ม ต้องทำงานทุกวัน
เมื่อเด็กนั่นกระซิบกระซาบกับจ้าวฝูกุ้ยหนึ่งครั้ง วันต่อมาจ้าวฝูกุ้ยก็จะมองหน้านางด้วยสีหน้าแปลกๆ และมักจะหลบหน้าอยู่ตลอดเวลา
“ท่านป้า ข้าหลบหนีมาตลอดทางจนมาถึงหมู่บ้านของพวกท่าน กว่าจะได้มีบ้านใหม่ มันไม่ง่ายเลย…
…ใช่ พ่อของเป่าจื่อไร้ความสามารถ แต่ถึงแม้เขาจะไร้ความสามารถ ในสายตาของข้า เขาไม่เคยตบตีข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ฟังข้า ทำให้ข้ารู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ข้ายอมตายเพื่อที่จะรักษามันไว้…
…อีกทั้งข้ายังมีลูกชาย…
…ตั้งแต่ข้าคลอดเป่าจื่อ ลูกชายเปรียบเสมือนชีวิตของข้า ข้าจะใช้ชีวิตของข้าปกป้องบ้านและลูกน้อยของข้า…
…เมื่อชุนฮวาสร้างความวุ่นวาย ท่านว่าข้าจะเกลียดนางไหม”
หลี่ซิ่วเช็ดน้ำตา นางไม่ได้ถามเพื่อให้ท่านย่าหม่าเปลี่ยนความคิด ถ้าเป็นท่านย่าหม่าจะยอมเลี้ยงดูคนแบบนี้ที่เลี้ยงไม่เชื่องหรือไม่
แต่นางพูดย้ำอีกครั้งหนึ่ง “ข้าไม่กลัวว่าจะมีคนนินทาลับหลัง ข้ายอมถูกคนนินทา ดีกว่าเลี้ยงคนไม่เชื่องแล้วย้อนกลับมาลอบกัดลับหลัง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงต้องตีนางอย่างรุนแรงหลังจากที่เห็นปูนขาว เพราะข้าระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ อยากจะให้นางถูกสัตว์ป่ากัดกินไปเสีย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลี่ซิ่วก็ทรุดตัวลงกับพื้น เสียงพูดของนางเบาลง “แต่ข้าไม่คิดว่าพ่อของเป่าจื่อจะ…”
ถ้านางรู้ นางจะยอมเลี้ยงคนไม่เชื่องนั่น ดีกว่าต้องมาเสียใจในภายหลัง
ทําไมนางถึงลืมไปว่าจ้าวฝูกุ้ยเป็นคนขี้ขลาด หูเบา ฟังคําแนะนําไม่กี่คําก็ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง กล้าลงจากเขาเพื่อตามหาชุนฮวา
โทษใคร จะโทษใครได้
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ท่านย่าหม่าเห็นสายตาของหลี่ซิ่วเริ่มเลื่อนลอยก็พูดขึ้น
หลี่ซิ่วได้ยินเสียงท่านย่าหม่าเรียกก็มีสติกลับคืนมา นางรีบส่ายหัวไปมา
ประสบการณ์ครึ่งชีวิตของนางได้สอนไว้ ต้องมองไปข้างหน้า ถ้ามองย้อนไปข้างหลัง นางคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้
“ท่านป้า อดีตที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้…
…มีคนกล่าวว่า ในครอบครัวมีเรื่องอะไรกัน คนอื่นก็ไม่สามารถรู้หมดทุกเรื่องได้ ปิดประตูใช้ชีวิตภายในบ้าน ใครจะรู้ว่าบ้านนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับข้าทั้ง หมดให้ท่านฟัง หากข้าโกหก ขอให้ฟ้าผ่าตาย…
…ท่านป้า วันนี้ข้ามาคุกเข่าตรงนี้เพื่อจะขอร้องท่านพาข้าไปด้วยอีกคน...
…ได้โปรดเถอะ…
…ฉันอยากเรียนรู้วิธีทําขนม ข้าจะขยันทํางานอย่างหนัก…
…ข้าเองก็เข้าใจว่า ทำไมต้องล็อคประตูห้องเตาอบของท่าน นั่นเป็นงานฝีมือ เป็นทักษะฝีมือที่สามารถหารายได้ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถสอนใครได้ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้า…
…แต่ข้าก็ยังหน้าด้านมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ มาขอร้องท่านเพราะอยากทำขนม…
…แต่ข้าไม่ได้โลภจริงๆ…
…บ้านข้ามีเป่าจื่อ เขาเหลือแม่อย่างข้าเพียงคนเดียวแล้ว…
…แต่เขายังเล็ก ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ สองขวบเป็นช่วงวัยที่กำลังซุกซน หากเขาวิ่งเล่นก็ไม่มีใครดูแล ถึงดูแลก็อาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง…
…ดังนั้นข้าถึงออกไปไหนไม่ได้และไม่หน้าด้านร้องขอให้ท่านป้าพาข้าออกไปขายขนม แต่ข้าอยากทําขนม…
…อีกอย่างหนึ่ง ข้าได้ยินทุกคนแอบคุยกันว่าพี่น้องฝูเซิงให้ทุกคนสร้างตึกสองชั้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ…
…อย่าว่าแต่ตึกสองชั้นเลย ท่านป้า สถานการณ์บ้านของข้าในตอนนี้ แค่สร้างบ้านหนึ่งหลัง อาศัยเงินสี่ส่วนของข้าเพียงคนเดียว พูดตามตรง ข้าก็สร้างไม่ได้…
…ลองคิดดูสิ ถ้าทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตึกสองชั้นตามที่พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ข้าก็สร้างไม่ได้และไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ถ้าเช่นนั้นเราสองคนแม่ลูกล่ะ…
…ข้ากลัวจริงๆ กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะคิดว่าเราสองแม่ลูกเป็นภาระและสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดก็คือ ทุกคนไล่พวกเราสองคนออกไป…
…ข้ายอมรับว่า ข้าเป็นคนขี้ระแวงมาก ท่านป้าอาจจะไม่ชอบข้า แต่ท่านป้า ตอนนี้เหลือข้ากับเป่าจื่อเท่านั้น ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความขี้ระแวงสงสัยที่ช่วยข้าไว้…
…ข้าเห็นท่านป้าหาเงินได้ ข้าถึงได้มาหาท่าน…
…เพราะไม่มีงานทํา ถ้าอาศัยการแบ่งงาน เงินก็ไม่พอสร้างบ้าน ถึงแม้จะยืมเงินกองกลางได้ แต่ก็ต้องชดใช้คืน ครอบครัวของคนอื่นมีรายได้ดี ข้าอยู่ตัวคนเดียวก็ไม่พอแล้ว ยังอยากให้เป่าจื่อเรียนหนังสือ ก็ต้องหาวิธีหาเงินให้มากขึ้น”
ท่านย่าหม่าถามขึ้นทันที “เจ้าไม่คิดจะมีครอบครัวอีกหรือ?”
หลี่ซิ่วรีบส่ายหน้าและมองท่านย่าหม่าด้วยน้ำตา “ถ้าข้าสามารถหาเงินมาเลี้ยงดูลูกข้าได้ ข้าจะหาผู้ชายทําไมกัน? ในชีวิตของข้าสองคน ไม่มีคนไหนที่ทำให้ข้ามีชีวิตที่ดีได้”
ท่านย่าหม่ารู้สึกว่าคําพูดนี้พูดได้ถูกต้องอย่างบอกไม่ถูก
นอกจากนี้ สิ่งที่หลี่ซิ่วไม่ได้เอ่ยถึงก็คือ ถ้าในอนาคตนางมีเงินหรือไม่มีเงินและพาลูกน้อยออกจากกลุ่ม ชีวิตของนางกับลูกคงจะยิ่งแย่ไปอีก
ตอนนี้ในกลุ่มไม่ว่าเป็นเพราะทุกคนจิตใจดีหรือเห็นแก่จ้าวฝูกุ้ย อย่างน้อยก็ไม่มีใครรังแกพวกนาง ถ้าไปอยู่นอกหมู่บ้าน คงจะไร้ที่พึ่งพา ไม่มีเงิน ต้องคอยใช้ชีวิตภายใต้อารมณ์ของคนอื่น ถ้ามีเงินก็สู้ไม่มีเงินเสียดีกว่าเพราะอาจจะไม่มีชีวิตได้ใช้ ที่บ้านก็ไม่มีชายฉกรรจ์สักคน มีแค่หญิงหม้ายกับลูกและเงินที่อยู่ในมือ นี่ไม่เป็นการทำร้ายตนเองหรือ ไม่ว่าจะเอาเงินไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหน ในไม่ช้าหรือเร็วก็คงตกเป็นเป้าหมายอยู่ดี
ท่านย่าหม่าโบกมือ นางบอกขอเวลาคิดไตร่ตรองก่อนและให้หลี่ซิ่วออกไป
หลี่ซิ่วเดินออกมาจากบ้านของซ่งฝูเซิง นางหยุดอยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับไปมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความกังวลใจ เพราะกลัวว่าท่านย่าหม่าจะไม่เห็นด้วย นางกํามือแน่นพลางคิดในใจว่า
หากท่านป้าให้โอกาสนางจริงๆ ให้นางเรียนทําขนม นางจะไม่ออกจากหมู่บ้านเป็นเวลาหลายปี ถ้าที่บ้านขาดแคลนอะไรก็ให้พวกเขาออกไปซื้อแทน นางจะไม่ออกไปนอกหมู่บ้าน ท่านย่าหม่าจะได้สบายใจ