ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 247
หลังจากที่หลี่ซิ่วกลับไปแล้ว ท่านย่าหม่าก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก นางอยากนอนพักผ่อนสักพักหนึ่ง
แต่พอนอนสักพักก็นอนไม่หลับ เพราะต้องรอให้ทุกคนหยุดงานก่อน แล้วถึงพักกินข้าวร่วมกัน กินข้าวเสร็จก็ต้องรอพวกเขาทํางานอีกครั้ง นางต้องให้คนในบ้านหาห้องที่ทรุดโทรมมาก่อนเพื่อนำมาต่อเติมเป็นห้องอบขนม
ห้องเตาอบสองห้องไม่ได้อยู่รวมกันและต้องทําห้องเล็กๆ หนึ่งห้องให้พั่งยาทำเค้ก
แต่ตอนนี้ห้องที่พวกเขาเหลืออยู่ มีสภาพผุพังมาก
ถ้าห้องยังดีอยู่ พวกเขาคงเข้าไปอยู่นานแล้ว ห้องว่างที่เหลือก็ใช้เป็นที่เก็บกองฟืน ถ้าจะใช้ห้องเหล่านั้นก็ต้องย้ายกองฟืนออกมาซึ่งถือว่าเป็นงานหนักในการเก็บกวาดและซ่อมแซม
สรุปแล้ว นางทั้งง่วงและเหนื่อย แต่นางก็ไม่สามารถพักผ่อนได้เพราะยังมีเรื่องมากมายรอให้นางมาจัดการ ได้แค่เพียงนอนยืดหลังเท่านั้น
เดิมทีท่านย่าหม่าปีนขึ้นมานอนบนเตียงเตาของซ่งฝูหลิงและอยากจะดึงผ้าห่มมาคลุมกันหนาว เตียงเตามีความร้อนแต่ในห้องมีรอยรั่วตามฝาผนัง ทำให้ลมพัดผ่านเข้ามาได้ นางถึงอยากหาผ้าห่มมาคลุมตัว เมื่อนางนอนจะได้ไม่หนาว
แต่เมื่อมือหยาบสัมผัสผ้าห่มนุ่มๆ เหลือบมองผ้านวมสะอาดที่พับเป็นระเบียบแล้ว นางก็ก้มมองเสื้อผ้าของตัวเองที่สวมใส่อยู่ก่อนจะหดมือกลับมา
นางถอดเสื้อกันหนาวออกมาคลุมเท้าไว้ ด้านบนเหลือเพียงเสื้อที่มีรอยปะซึ่งสวมใส่ไว้แล้วนอนอยู่บนเตียงเตา
“เฮ้อ!”
ท่านย่าหม่าถอนหายใจยาวๆ
จะเชื่อคำพูดพวกนั้นของหลี่ซิ่วหรือไม่?
ท่านย่าหม่าเชื่อ
แม้ว่าชื่อเสียงของหลี่ซิ่วในความคิดของบรรดาพวกป้าทั้งหลายจะไม่ค่อยดี แต่คำพูดประโยคหนึ่งของหลี่ซิ่วพูดได้ตรงใจนาง นั่นคือ คนภายนอกจะพูดถึงชื่อเสียงอย่างไร มันคือการมองจากภายนอกเพียงแค่ผิวเผิน เรื่องภายในเป็นอย่างไร ทุกข์หรือสุข ดีหรือไม่ดี มีเพียงตนเองคนเดียวเท่านั้นที่รู้
มีบางสิ่งที่ทำให้ท่านย่าหม่าอดนึกคิดวนเวียนอยู่ในหัวไม่ได้ นางไม่ได้ครุ่นคิดว่าจะให้หลี่ซิ่วเรียนทำเค้กหรือไม่ แต่เป็นกลับคําพูดของหลี่ซิ่วที่ทําให้นางนึกถึงเรื่องยุ่งเหยิงในอดีตของนาง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนางก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีในหมู่บ้าน ชื่อเสียงไม่ดีจนคนในวัยเดียวกันเกือบจะไม่สนใจใยดีกับนาง
นอกจากไม่สนใจนาง มนุษยสัมพันธ์ก็ไม่ดี ไม่ใช่แค่เพียงเพราะนางชอบด่าทอผู้อื่น
ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็มีเหตุผลหลักอยู่สองประการ
หนึ่งคือ เป็นเรื่องที่นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าสามีของนางจะเสียชีวิตเร็ว
เมื่อที่บ้านไม่มีผู้ชาย ผู้หญิงเลี้ยงลูกตัวคนเดียวก็ต้องใช้ชีวิตลำบาก
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ไปตักน้ำในบ่อข้างหมู่บ้านแล้วดึงไม่ขึ้น พี่ใหญ่ตระกูลจางก็ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อก่อนพ่อของลูกสามยังมีชีวิตอยู่ เรื่องพวกนี้ก็ไม่เป็นเรื่องราวอะไร ในหมู่บ้านหากใครเห็นก็ยื่นมือเข้ามาช่วยก็ไม่มีใครพูดอะไร
แต่นางสมควรตาย! สมควรตายเพราะว่าสามีของนางเสียชีวิตไปเร็ว เมื่อก่อนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พอสามีเสียไปถือว่าเป็นเรื่องแล้ว
อาซ้อตระกูลจางไม่รู้มาจากไหน ออกมาชี้หน้าด่าหรือใช้สายตามองนางอย่างเกลียดชัง
มันรู้สึกอัดอั้นตันใจ นางทําอะไรผิดหรือ? ถึงมีเรื่องเช่นนี้ออกมา ทำเหมือนว่านางกับพี่ใหญ่ตระกูลจางมีความสัมพันธ์อะไรกัน
นางโกรธมาก ถ้าไม่ด่าก็ต้องอดทนกับสภาพนี้ต่อไป จะให้นางอดทนก็ไม่ใช่นิสัยของนาง นางจึงด่าทอกลับ
ขนาดเป็นเรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว พี่จางช่วยยกถังน้ำให้ก็ไม่เป็นธรรม นางบอกเหตุผลแบบนี้แล้ว ถึงแม้จะมีสิบปากพูดออกมาก็ไม่มีใครเชื่อ
เพราะผู้หญิงในหมู่บ้านแต่ละคนฟังคำพูดของอาซ้อจางที่พูดเพียงครึ่งเดียว ไม่ได้ฟังให้หมดก็ติฉินนินทากันแล้ว
แต่ละคนไม่พูดถึงเรื่องการตักน้ำอีกต่อไป เริ่มนินทาคาดเดาว่านางยังสาวอยู่ อาจจะ หว่านเสน่ห์ไปทั่ว คนในหมู่บ้านไหนก็ไม่เป็นเหมือนกับนางแบบนี้ ที่เคยคบหากับชายอื่น เมื่อถูก จับได้ว่าทำให้ชีวิตครอบครัวของคนอื่นแตกแยกก็บอกว่าไม่ได้ทำ
นางฟังจนอยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา
ตอนนั้นพ่อของลูกสามยังไม่เสียชีวิต เขาอยู่ข้างนอกก็ได้ยินมาว่านางทะเลาะกับใครอีก เพราะพี่จางกับซ้อจางทะเลาะตบตีกันแล้ว ส่วนนางก็เข้าไปห้ามปราม เขาจึงเกิดความสงสัยในตัวนางว่าจะไปแย่งพี่จางมา เขาจึงชักสีหน้าใส่นาง
สรุปแล้ว นี่เป็นแค่เพียงการช่วยยกถังน้ำเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยนี้ สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงไปได้
ต้องรู้ว่าการดำเนินชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ก็ต้องมีการพบปะเจอกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนการช่วยดึงถังน้ำ ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พบเจอกันบ่อยมาก ตลอดทั้งปี แม้ในทุ่งนาก็มักเจอคนมีน้ำใจคอยให้ความช่วยเหลือกัน เรื่องช่วยเหลือเหล่านี้ สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตไปเสียได้
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ในหมู่บ้านนางมักจะทะเลาะกับซ้อหลี่ที่บ้านอยู่ทางตะวันออกและทะเลาะตบตีกับซ้อจางที่บ้านอยู่ทางทิศตะวันตกตลอดทาง โดยทุกปีนางจะมีเรื่องทะเลาะกันเสมอ
นางโมโหมาก ต่อมาเมื่อนางเห็นผู้ชายคนไหนจะเข้ามาช่วยเหลือ นางก็จะถลึงตาใส่เขาพลางคิดในใจ ไม่ต้องยื่นมือออกมาช่วย ใครใช้ให้เจ้ายื่นมือมาช่วยเหลือ เจ้ากําลังหาเรื่องเดือด ร้อนมาให้ข้า
คราวนี้ได้ผล แม้แต่ผู้ชายในหมู่บ้านก็พูดเหมือนกันกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า นางเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล
แต่ไม่มีใครเคยคิดว่า ทำไมนางถึงเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล
ช่วงเวลาที่ลําบากที่สุดก็คือเมื่อพ่อของลูกสามเสียชีวิตไปได้ไม่ถึงสองปี นางอยากจะให้ตัวเองแก่มากขึ้นอีกสิบหรือยี่สิบปีทันที แบบนี้จะได้ไม่มีใครกล้านินทานาง จะได้ไม่ต้องถกเถียงกันว่านางจะต้องแต่งงานใหม่แน่นอน เมื่อกลายเป็นคนแก่แล้ว จะได้ไม่มีเรื่องให้ผู้คนนินทาอีก
นี่คือเหตุผลหนึ่ง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของนางไม่ดีและเกลียดพี่สะใภ้ใหญ่มากที่สุดก็คือ พี่สะใภ้ใหญ่ชอบเอาเรื่องราวที่นางอยากปิดบังไว้ไปเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้กัน
เรื่องที่ปกปิดไว้นั้น เป็นเรื่องที่ทั้งชีวิตของนางไม่อยากจะเปิดเผยออกมา เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจและเป็นเรื่องที่รู้สึกผิดมากที่สุด หลังจากที่พี่สะใภ้ใหญ่ทราบเรื่องนี้แล้ว นางก็ไปกระจายข่าวให้คนนอกได้รับรู้
แม้แต่คนอายุมากอย่างพวกท่านยายหวังต่างก็รู้เรื่องนี้ดี นี่เป็นเหตุผลหลักที่เมื่อก่อนพวกนางไม่อยากจะคบหาด้วย ตอนนี้แม้ไม่ได้พูดถึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะลืมแล้ว
นั่นก็คือ เรื่องที่นางยืมเงินจากพี่สาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่ไม่ได้คืนเงินตามกำหนดเวลาตามที่เคยสัญญาไว้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ที่ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ท่านย่าหม่าก็นอนปาดน้ำตาที่ไหลริน
เพราะความยากจนแท้ๆ เชียว