ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 248
เหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น เดือนนั้น ท่านย่าหม่าไม่มีวันลืมเลือนไปจากความทรงจำได้
ตอนนั้นต้าหลังซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของซ่งฝูหลิงมีอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ เขายังเล็กมาก
ซ่งฝูสี่ซึ่งเป็นลุงคนที่สองของซ่งฝูหลิง ก็ถึงวัยที่จะต้องแต่งงานแล้ว
ก่อนหน้านั้นสองปี ท่านย่าหม่าก็เตรียมหาภรรยาให้กับบุตรชายคนที่สอง แต่ในหมู่บ้านกลับไม่มีใครอยากให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชื่อเสียงที่ไม่ดีของนางซึ่งสะสมมานานหลายปี ตั้งแต่ตอนอายุยังน้อยก็ร้ายกาจ ครอบครัวของหญิงสาวดีๆ ต่างก็ไม่อยากให้แต่งเข้าบ้านนี้ เพราะเกรงว่าจะถูกนางกดขี่ข่มเหง
อีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่า ซ่งฝูสี่เป็นลูกชายคนที่สอง ไม่เหมือนกับซ่งฝูไฉที่เป็นพี่ชายคนโต ในอนาคตเขาสามารถรับส่วนแบ่งมรดกจากบรรพบุรุษได้มากกว่า ถัดไปยังมีน้องชายคนที่สามซึ่งกำลังเรียนหนังสือ
การเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ครอบครัวทั่วไปสามารถส่งเสียค่าเล่าเรียนได้หรือ? สามีก็เสียชีวิตเร็วไป พวกเขาต่างก็รู้ว่าครอบครัวของนางไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเหลืออยู่แล้ว
นอกจากนี้ ซ่งฝูเซิงก็ยังเรียนไม่จบ เขายังไม่ถึงช่วงวัยเข้าสอบ ไม่มีใครมองออกว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอนาคตหรือไม่ พวกเขากลับรู้สึกว่าการที่ทั้งครอบครัวทุ่มเทเพื่อส่งเสียให้เรียน ถือเป็นภาระอย่างหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงครอบครัวตระกูลเฉียน เพราะตอนนั้นยังไม่มีวี่แววรู้จักกัน
ในสถานการณ์แบบนั้น แม้ว่าหลายครอบครัวพึงพอใจซ่งฝูสี่คนนี้ แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะแต่งงานเข้ามาอยู่กับครอบครัวนี้
หาลูกสะใภ้ในหมู่บ้านเดียวกันไม่ได้ พื้นที่ใกล้เคียงก็ไม่มีคนที่เหมาะสม ท่านย่าหม่าจึงไปไถ่ถามครอบครัวตระกูลจู
ลูกสะใภ้รอง จูซื่อคนนี้ มีนิสัยใจคอคับแคบ ในสายตาของท่านย่าหม่าแล้วล้วนแต่มีเหตุผล
เพราะในครอบครัวตระกูลจูเองก็ไม่ค่อยมีฐานะนัก พวกเขาไม่ใส่ใจดูแลลูกสาว ตอนปรึกษาหารือกันเรื่องแต่งงาน พวกเขาทำเหมือนกับขายลูกสาวไม่มีผิด ไม่สนใจว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ในเมื่อรับเงินสินสอดสิบตำลึงมาแล้ว พวกเขาก็อยากให้พาลูกสาวไปทันที เพื่อจะได้ประหยัดอาหารในบ้าน
ซ่งฝูสี่เจอเรื่องราวมากมายจนหมดอารมณ์ เขาพยักหน้าตอบรับโดยไม่คิดอะไรอีก
ท่านย่าหม่าเองก็ร้อนใจ เพราะลูกชายคนรองอายุมากแล้ว ถ้ายังไม่แต่งงานก็อาจจะถูกคนหัวเราะเยาะได้ กลัวว่าคนอื่นจะด่าว่าลูกชายคนรองของนางเป็นชาย (แก่) โสด นางจึงตัดสินใจเลือกจูซื่อ
หมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว เงินก็ให้ไป ที่บ้านก็ขายที่ดินผืนหนึ่งเพื่อรวบรวมเงินค่าสินสอด แต่เวลาช่างประจวบเหมาะพอดีกับที่หลานชายคนโต ต้าหลัง เกิดป่วยกะทันหัน
มีอาการป่วยอย่างหนัก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะต้องถูกฝังอยู่หลังเขาเเล้ว เหอซื่อร่ำไห้ นางกลับไปที่บ้านแม่เพื่อยืมเงิน
พูดจากใจจริง ถึงตอนนี้บางครั้งท่านย่าหม่าก็ปฏิบัติดีกับลูกสะใภ้เหอซื่อมากหน่อย เพราะตอนนั้นบ้านตระกูลเหอ ยายของต้าหลังยื่นมือเข้ามาช่วยจริงๆ
แต่ครอบครัวก็ยากจนเช่นกัน ไม่สามารถช่วยเหลือได้มากนัก ยืมเงินได้แค่ครึ่งพวง
คนยากจนเมื่อป่วยขึ้นมาก็ลำบาก ไปในอำเภอ เงินเพียงครึ่งพวงก็ได้ยามาไม่กี่ชุด โรคยังไม่ได้รับการรักษาเลย เงินก็จ่ายไปหมดแล้ว
ท่านย่าหม่ายอมถอนหมั้นลูกชายคนรอง นางอยากได้เงินค่าสินสอดกลับมาเพื่อรักษาต้าหลัง แต่ครอบครัวจูบอกว่าเงินสินสอดไม่มีแล้ว สุดท้ายก็ทะเลาะกันอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถนำเงินค่าสินสอดกลับมาได้
ต่อมานางก็ไปบ้านน้าเพื่อยืมเงินพี่สาว
บ้านแม่ของพี่สาวก็เป็นครอบครัวธรรมดา
ในชีวิตของท่านย่าหม่า นางรู้จักคนที่มีเงินมากที่สุดในชีวิตก็คือพ่อตาของลูกสาม ท่านเฉียน
พี่สาวเห็นแก่ความสัมพันธ์ตอนที่อยู่บ้านแม่ นางจึงกัดฟันให้ยืมเงินโดยที่สามีของนางไม่ทราบเรื่อง
ตอนนั้นท่านย่าหม่าอยากจะคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณพี่สาวคนนี้มาก นางเช็ดน้ำตา สาบานต่อฟ้าและให้คำมั่นสัญญา เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวได้แล้วและหักส่วนหนึ่งเพื่อเสียภาษี นางก็จะนำข้าวไปขายเพื่อเอาเงินมาคืน จะไม่ทำให้พี่สาวต้องลำบาก นางจะต้องหาเงินมาคืนให้หมดแน่นอน ก่อนที่พี่เขยจะรู้เรื่อง
พี่สาวจิตใจดี ตอนที่พวกนางพาเด็กไปหาหมอที่อำเภอ พี่สาวก็กัดฟันให้นางยืมเงินอีกหนึ่งตำลึงกับสองเหรียญ
ท่านย่าหม่านึกถึงตอนนี้ก็พลิกตัวนอนอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้นางสามารถทำเค้กขายเองได้แล้ว สามารถหาเงินได้ทุกวัน แต่เมื่อนึกถึงสภาพพี่สาวกัดฟันให้นางยืมเงินในปีนั้น นางก็ถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม
ในปีนั้นนางไม่คาดคิดมาก่อน แม้ว่าต้าหลังจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น แต่โชคร้ายมากที่ปีนั้นประสบปัญหาภัยแล้งและเกิดภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน
ส่วนครอบครัวของนางในตอนนั้น อย่าว่าแต่กินอิ่มเลย นางเตรียมขายบ้านขายที่ดินแล้ว
แต่ใครจะมาซื้อบ้านซื้อที่ดินของนาง ในสถานการณ์แบบนั้นก็ไม่มีใครมาซื้อเพราะถูกฝูงตั๊กแตนทำลายพื้นที่เสียหายไปเกือบครึ่ง
แต่ละคนหิวโหยจนต้องดื่มน้ำเย็นๆ ให้ท้องอิ่ม
ในปีนั้น หมู่บ้านตระกูลซ่งมีหลายครอบครัวที่มีชายฉกรรจ์ มีเจ็ดครอบครัวที่เกิดเรื่อง คนหิวจนอดตาย นับประสาอะไรกับครอบครัวของนางที่ไม่มีผู้ชาย ถึงแม้จะมีเรี่ยวแรงก็ไม่มีงานให้ทำ
เจ้าของที่ดินที่มีชื่อเสียงในละแวกนั้น ได้ยินมาว่ามีคนไปต่อแถวเพื่อขายแรง ขายตัว ยืนเรียงแถวกันยาวมาก ซ่งฝูไฉกับซ่งฝูสี่สองคนพี่น้องออกหางานทำทุกวัน แต่ก็หางานไม่ได้
ตอนนั้นซ่งฝูเซิงส่งจดหมายมาจากตัวเมือง เขาเล่าว่า เกิดภัยพิบัติไปทั่วทุกแห่ง ที่บ้านคงลําบากยากเข็ญมาก ดังนั้นเขาจึงหางานทำและได้งานคัดลอกหนังสือ
ร้านหนังสือถูกใจลายมือในการเขียนอักษรของเขา เขาคัดลอกหนังสือทั้งเช้าและเย็น หาเงินมาได้สองเหรียญ เขาซื้อธัญพืชมาและฝากเพื่อนร่วมห้องที่อยู่บ้านเกิดเดียวกันให้ส่งไปที่บ้าน ในบ้านนี้ถึงมีธัญพืชกิน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่อดอยากจนตาย
สถานการณ์ของครอบครัวในปีนั้น ครอบครัวของนางเองก็แทบจะไม่มีชีวิตรอดต่อไปได้แล้ว ยืมเงินคืนเงิน ทุกวันต้องหน้าด้านขอยืดเวลาการคืนเงินออกไป เพราะไม่สามารถคืนเงินได้
พี่สาวมาร้องไห้ถึงที่บ้าน ท่านย่าหม่าก็ร้องไห้ตามในตอนนั้นด้วย นางพูดขึ้น
“พี่สาว ถึงจะทำให้ข้าเละเป็นเศษกระดูก ข้าก็ไม่มีเงินคืนจริงๆ…
…พี่ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่ง ข้าฝากจดหมายไปให้ลูกสามแล้ว ขอให้เขาเลิกคัดลอกหนังสือเพื่อซื้ออาหาร ให้หันมาคัดลอกหนังสือเก็บรวบรวมเงินคืนพี่ได้หรือไม่? เก็บได้หลายสิบเหวินก็รีบส่งให้พี่…
ยืมเงินไปหนึ่งตําลึงกับสองเหรียญ ซ่งฝูเซิงหาเงินได้สิบกว่าเหวิน ต่อให้คัดลอกหนังสือจนมือขาดก็ต้องใช้ระยะเวลานาน ไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีหรือหนึ่งปี
ในที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกเปิดเผย
พี่สาวถูกสามีตบตีจนใบหน้าบอบช้ำ นางมาหาถึงที่บ้าน
สามีของนางโกรธมาก เกิดภัยแล้งทำให้ข้าวสารที่บ้านมีน้อยลง เห็นข้าวใกล้จะหมดก้นโอ่งและราคาข้าวในเมืองก็เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ราคาเพิ่มสูงขึ้นจนน่ากลัว เขาจึงเอาเงินจากภรรยา แต่ภรรยาของเขาไม่มีเงิน นางบอกว่าให้คนอื่นยืมเงินไปแล้ว จะไม่ให้ตบตีนางได้อย่างไร?
ดังนั้นพี่สาวคนนี้ต้องทนอดกลั้น หลังจากที่นางโดนทุบตีแล้วก็มาหาท่านย่าหม่าถึงที่บ้านด้วยความโมโห นางทะเลาะตบตีกับท่านย่าหม่าจนป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงที่อยู่บ้านข้างๆ ต้องออกมาห้ามปราม
ท่านย่าหม่าที่ถูกทุบตีก็พูดความจริงได้ประโยคเดียว แต่คำพูดเรื่องจริงเหล่านั้นพี่สาวไม่อยากฟัง นั่นก็คือ จะเอาเงินก็ไม่มีให้ มีแค่หนึ่งชีวิต พี่จะรื้อถอนบ้านทิ้ง ทำให้ข้าตายก็ไร้ประโยชน์
ตอนนั้นทะเลาะกันหนักมาก ต้าหลังตกใจจนร้องไห้ออกมา
ในช่วงเวลานั้น ท่านย่าหม่าอยากจะกระโดดลงบ่อน้ำเพราะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ ครั้งนั้นที่นางถูกพี่สาวทุบตีจะเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้าย
หลังจากผ่านไปห้าวัน ซ่งฝูเซิงก็กลับบ้านด้วยสภาพผอมโทรมเพราะได้รับจดหมายจากแม่ให้ยืมเงินจากอาจารย์ เพื่อที่จะได้รวบรวมเงินให้ครบ
ท่านย่าหม่ากําเงินก้อนนั้นไว้แน่น นางรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณอาจารย์ของซ่งฝูเซิงที่ให้ยืมเงิน และดีใจที่ในที่สุดก็สามารถรวบรวมเงินจนครบ แต่นางก็สงสารลูกสาม กลัวว่าจะขายหน้าเพื่อนนักเรียน เพื่อนนักเรียนคงรู้ว่าลูกชายของนางยืมเงินอาจารย์ เขาถึงได้ซูบผอมลงไปมาก นางถึงกับร้องไห้อย่างหนัก
หลังจากร้องไห้เสร็จ นางก็รีบพาซ่งฝูเซิงไปบ้านน้าเพื่อหาพี่สาว
แต่เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านที่พี่สาวอยู่ นางก็ได้ยินมาว่าพี่สาวของนางเสียชีวิตไปแล้ว
มีคนบอกว่าตอนกลับบ้านแม่ ไม่รู้ว่าพี่สาวถูกม้าเหยียบหรือถูกรถลากเกวียนชน เพราะตอนที่มีคนพบเจอก็เห็นนอนหายใจรวยรินอยู่ริมถนนแล้ว ยังไม่ทันหามกลับบ้านก็เสียชีวิต
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
มีหลายครั้งที่ท่านย่าหม่าแอบไปคุกเข่าที่หน้าหลุมศพของพี่สาว
นางไปบ่อยมากกว่าลูกๆ ของพี่สาวอีก ไม่ว่าในครอบครัวจะมีเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อะไรก็ตาม นางก็จะไปที่นั่นเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ
นางบอกกับพี่สาวของนางว่า ลูกสามของนางสอบได้ถงเซิงแล้ว ถ้าตอนนั้นลูกชายของนางสามารถสอบได้ นางคงจะสามารถคืนเงินให้กับพี่ได้ทันเวลาใช่หรือไม่
นางยังบอกกับพี่สาวอีกว่า ลูกสามของนางได้หมั้นหมายกับลูกสาวของเศรษฐีที่มีชื่อเสียงของอําเภอ อาจารย์ของเขาเป็นแม่สื่อให้ ถ้าปีนั้นเขาสามารถหมั้นหมายได้แบบนี้แล้ว นางคงจะสามารถคืนเงินให้พี่ได้ทันเวลาใช่ไหม
นางบอกกับพี่สาว ตอนนั้นที่พี่กลับบ้านแม่ไป เป็นเพราะเรื่องที่นางเป็นหนี้พี่ใช่หรือไม่? ถ้านางไม่ติดเงินพี่ พี่ก็คงจะไม่กลับบ้านแม่เพื่อไปฟ้องข้า ถ้าไม่กลับไปก็คงจะไม่เสียชีวิตเร็วขนาดนี้
นางยังบอกกับพี่สาวว่า นางรู้สึกผิดมาทั้งชีวิต
คนที่จากไปแล้วไม่มีทางรับรู้ได้อีก แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไม่สามารถปล่อยวางได้
ตอนที่ซ่งฝูหลิงเข้ามาในห้อง นางก็เห็นย่าของนางนอนตะแคงหันหลังให้ ไหล่สั่นระริก
ท่านย่าหม่ารีบใช้มือปาดน้ำตาแล้วใช้มือบีบจมูกไว้เพื่อพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ “เจ้าออกไปก่อน ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพัก”
“ท่านย่า”
“ออกไป”