ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 249
บทที่ 269
การต่อสู้
“ เรื่องนี้ไม่น่ายาก ข้าต้องการค่ายกลแนวรบของทหารรักษาเมือง” หลินเว่ยกล่าวอย่างใจเย็น
เมื่อได้ยินคำขอของหลินเว่ย ที่มีต่อไป๋หลี่ซวนเช่อ ซางกวนฮ่าวหยางก็ไม่ได้โต้แย้ง เขาพยักหน้าอย่างลับๆและเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับการเรียกร้องของหลินเว่ย
“ต้องการคัมภีร์ลับการต่อสู้หรือ…..ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามคัมภีร์นี้เป็นของข้า คนอื่น ๆ อาจไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่เจ้าถือได้ว่าเป็นสมาชิกในครอบครัว … ” หลังจากได้ยินสิ่งที่ หลินเว่ยขอ ใบหน้าของไป๋หลี่ซวนเช่อ ก็แสดงสีแปลกใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้วลังเล
“แต่อะไร?” เมื่อได้ยินคำพูดต่อหน้าไป๋หลี่ซวนเช่อ หลินเว่ยก็ยังคงไม่แสดงออก แต่เขารู้สึกโล่งใจและแสดงความรู้สึกดีใจ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินคำพูดท้าย หัวใจของเขาก็แขวนค้าง และหัวใจก็เต้นเร็วขึ้น
คัมภีร์นี้มีความสำคัญต่อเขามาก หากเขาสามารถใช้มันกับสัตว์อสูรโครงกระดูก หรือสัตว์อัญเชิญความแข็งแกร่งของเขา จะพุ่งทะยานอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้มีเพียงเก้าระดับของราชาแห่งการต่อสู้ สามารถก้าวกระโดดไปยัง สองระดับเล็ก ๆ ต่อเนื่องกันได้
จากขั้นกลางของระดับจักรพรรดิ ไปจนถึงมหาจักรวรรดิ
แน่นอนว่า คัมภีร์การต่อสู้ครั้งนี้ อาจไม่มีประโยชน์สำหรับเขา แต่ทุกอย่างต้องพยายาม ก่อนที่เราจะรู้ผลลัพธ์สุดท้าย
“อันที่จริงแล้ว ค่ายกลการต่อสู้นี้ข้าได้มาโดยบังเอิญ และมันก็ไม่สมบูรณ์ แม้แต่ชื่อของค่ายกลการต่อสู้นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นโดยข้า ข้ามีเพียงสองคัมภีร์ค่ายกลการต่อสู้สองแบบ แบบแรกคือที่เจ้าได้เห็นก่อนหน้านี้
และต้องใช้คนสิบคนเพื่อช่วยกัน เรียกว่า ค่ายกลแนวรบประสานและอีกแบบคือใช้คนจำนวน 100 คนในการสร้างค่ายกล เรียกว่า ไป๋มู่ ”
หลังจากที่ ไป๋หลี่ซวนเช่อพูดจบ เขาก็หันมองไปที่ หลินเว่ยอย่างเงียบ ๆ เขาบอกข้อดีข้อเสียไปแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวหลินเว่ยเอง
“ ไม่เป็นไร! การต่อสู้ทั้งสองประเภทนี้ เพียงพอแล้ว” หลินเว่ยพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวยอมรับ
“อืม! ดีแล้ว ไป๋หลี่ซวนเช่อพยักหน้าและตอบรับคำขอของหลินเว่ย
หลังจากนั้นไป่หลี่ ซวนเช่อ ก็หยิบกระเป๋ามิติออกมามากกว่าสิบใบและเริ่มใส่สิ่งของต่าง ๆ กระเป๋ามิติแต่ละใบบรรจุหินหยวนชั้นดี 10 ล้านชิ้น พร้อมเครื่องซวนระดับกลาง สำหรับซวนฉีนั้นเป็นแบบสุ่ม และมีชิ้นส่วนอาวุธและชุดเกราะทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตาของหลินเว่ย เขาได้นำซวนที่ดีที่สุดห้าชิ้นออกมา และปล่อยให้หลินเว่ยเลือก แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ ก็คือเขาไม่ต้องการให้หลินเว่ยพูดมากอีกครั้ง
หลินเว่ยรับมือได้ยากมากและค่อนข้างยาก ไป๋หลี่ซวนเช่อสามารถเห็นชัดได้ในวันนี้ เขาคิดในใจว่า ไม่น่าแปลกใจที่ซางกวนฮ่าวหยางจะรับเขาเป็นศิษย์
ไป๋หลี่ซวนเช่อ เพิ่งได้สติว่า ซางกวนฮ่าวหยางและ หลินเว่ยวางกับดักไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นเขาจึงไม่หยิบเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ออกมา ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้าไปที่ซวนฉีชั้นยอดแทน
ตอนแรก เขาขออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำ สิบชิ้น ซึ่งทำให้เขาประมาท จากนั้นเขาก็ลดมาตรฐานลงทีละขั้น ซึ่งทำให้เขางุนงง ในกรณีนี้ ซางกวนฮ่าวหยางมักจะหน้าแดง ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิด อันที่จริงไป๋หลี่ซวนเช่อตกหลุมพรางของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
หลังจากคิดออกแล้ว ไป๋หลี่ซวนเช่อก็หันไปหา ซางกวนฮ่าวหยาง ในขณะที่หลินเว่ยกำลังเลือก ซวนฉี เขาพูดด้วยความโกรธ “ดี ซางกวนฮ่าวหยาง ข้ายังถือว่าเจ้าเป็นคนในครอบครัว แต่เจ้าและศิษย์ของเจ้าพร้อมใจกันที่จะทำลายข้า”
“อืม เจ้ากำลังพูดถึงอะไร! ข้าจะหักหลังเจ้าได้อย่างไร! ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าคิดว่าจะแก้ปัญหาด้วยสิ่งนี้ได้หรือ? ข้าที่ช่วยเจ้ามากมายขนาด โดยไม่ได้คาดหวัง นี่ข้ายังเป็นคนไร้หัวใจในจิตใจเจ้าอีกงั้นหรือ?”
โดยธรรมชาติแล้วซางกวนฮ่าวหยางจะไม่ยอมรับ คำกล่าวหาของไป่หลี่ซวนเช่อ เขายังแสดงท่าทางไม่พอใจและกล่าวหาว่าอีกฝ่ายว่าเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย
“เจ้า…!” ไป๋หลี่ซวนเช่อพูดไม่ออก ในใจของเขาพูดได้ว่าทรมานมาก เขาเสียศักดิ์ศรีจริงๆ
“ปรมาจารย์ไป๋หลี่! ข้าเลือกได้แล้ว” เมื่อไป่หลี่ซวนเช่อรู้สึกบึ้งตึง หลินเว่ยก็อ้าปากพูด พร้อมกับต่างหูในมือ
“ปรากฏว่า เจ้ามีวิสัยทัศน์ที่ดี ความสามารถของเครื่องซวนชั้นยอดนี้ คือการเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณ สำหรับพลังวิญญาณที่ต่ำกว่าขั้นสวรรค์นั้น สามารถเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้โดยตรง แม้ว่าพลังวิญญาณของขั้นสวรรค์ จะสามารถเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง
และเป็นแบบถาวร ตราบใดที่ยังคงสวมใส่ ผลลัพธ์นี้จะคงอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตามสำหรับพลังวิญญาณที่สูงกว่าขั้นศักดิ์สิทธิ์ มันสามารถเพิ่มขึ้นได้เพียง 10ส่วนเท่านั้น ไป๋หลี่ซวนเช่อที่มองไปที่ต่างหูในมือของหลินเว่ย เขาพยักหน้าและกล่าวสีหน้าของเขาไม่มีอะไรมาก
“ขอบคุณท่านมาก สำหรับของขวัญ อย่างไรก็ตามเครื่องซวนที่ยอดเยี่ยมนี้ ท่านไม่เก็บเอาไว้ใช้เองหรือ?” หลินเว่ยมองไปที่ ไป๋หลี่ซวนเช่อด้วยความสงสัย และถามด้วยความขมวดคิ้ว
ซ่งฝูหลิงยืนฟังอยู่ด้านนอกหน้าต่างชั่วขณะหนึ่ง
เมื่อครู่ท่านย่าใหญ่ของนางมาแล้ว
ท่านย่าใหญ่ถือชามกับตะเกียบ ในอ้อมแขนยังมีหม้อกระเบื้อง สามารถมองเห็นไอร้อนลอยออกมาจากหม้อกระเบื้องได้
นี่ตั้งใจมาส่งอาหารให้กิน
ซ่งฝูหลิงคิดว่า อาหารวางไว้นานไม่ได้ มิเช่นนั้นอาหารจะเย็นหมด นางไม่สนใจว่าท่านย่าจะกินหรือไม่ นางให้ท่านย่าใหญ่นำอาหารเข้าไปวางไว้ในห้องก่อน
ปรากฏว่า หญิงชราทั้งสองเมื่อเจอหน้ากันก็ทะเลาะกันแล้ว
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านย่าของนางฝ่ายเดียวที่อยู่ๆ ก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา นางต่อว่าท่านย่าใหญ่ทันที
นางลุกขึ้นจากตั่งแล้วพูดขึ้น “เก่อเอ้อร์นิว!”
ท่านย่าใหญ่พูดขึ้น “ ทําไมเข้าห้องมาก็โดนเรียกว่า เก่อเอ้อร์นิวละเนี่ย ข้ามาส่งอาหารให้เจ้า เจ้ายังจะเรียกข้าว่า เก่อเอ้อร์นิว อีกหรือ?”
ท่านย่าหม่า “ในปีนั้นทําไมเจ้าถึงไม่ขายควาย? ข้าขอร้องเจ้าขนาดนั้นแล้ว เกือบจะโขกหัวให้กับเจ้าหลายครั้ง เจ้าก็ไม่ขาย”
คาดว่าท่านย่าใหญ่คงตกใจที่โดนตะคอกใส่
ท่านย่าใหญ่ถามขึ้น “ทําไมถึงพูดเรื่องควายตัวนั้นอีก เรื่องนี้ผ่านไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือควายตัวนั้นก็ได้ถูกฆ่าตายระหว่างการเดินทาง เจ้าก็ยังกินมันด้วย ข้าจําได้นะว่าเจ้ากินไปเยอะมาก”
หลังจากนั้นแล้ว ท่านย่าหม่าก็พูดต่อ
“หลังจากนั้นแล้ว ไม่ใช่ข้าอยากจะทะเลาะเรื่องควายกับเจ้า เป็นเพราะข้าลืมเรื่องในปีนั้นไม่ได้ ถ้าปีนั้นเจ้าขายควาย ข้าก็อาจจะคืนเงินทั้งหมดให้กับพี่สาวได้แล้ว…
…ข้าขอร้องกับเจ้า เรียกพี่สะใภ้ตลอดไป เจ้าไม่เพียงแค่ไม่ขายควาย เจ้ารู้เรื่องที่ข้ายืมเงินของพี่สาวแล้วไม่มีเงินคืน เจ้าก็ยังนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศจนทั่ว…
…เจ้ารู้ดีว่าเรื่องนั้นข้าละอายใจมากแค่ไหน อึดอัดใจมาก เจ้ายังหัวเราะเยาะได้ ในสองปีนั้นข้าแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้น…
…ทําไมเจ้าถึงแย่ขนาดนี้? ไม่ให้ข้ายืมเงินแม้แต่หนึ่งเหวิน ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเลยแม้แต่น้อย แถมเจ้ายังดูมีความสุขอีก”
ซ่งฝูหลิงฟังอยู่ด้านนอก นางลังเลใจว่าจะเข้าไปข้างในดีหรือไม่ หลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงท่านย่าใหญ่ร้องไห้
ท่านย่าใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “นี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว เจ้าก็ยังรื้อฟื้นขึ้นมาอีก ข้าเป็นพี่สะใภ้เจ้ามาหลายปี ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร?…
…น้องรองมีอาการทรุดหนักและต้องใช้ยารักษาอยู่ตลอดเวลา ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้ารังเกียจพวกเจ้าว่าเป็นภาระหรือ? ครั้งนั้นพวกข้าไม่เคยที่จะเอะอะโวยวายให้แยกบ้าน...
…ทําไมตอนหลังข้าถึงไม่ถูกกับเจ้า เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?”
“ข้าไม่รู้!”
ท่านย่าใหญ่ “เพราะพ่อสามีลําเอียง!”
นางยังพูดต่อ “เจ้ามีเหตุผลอะไร? เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือ? แล้วข้าไม่น้อยใจบ้างเลยหรือ? ข้าน้อยใจมาหลายสิบปีแล้ว”
ซ่งฝูหลิงยืนอยู่นอกหน้าต่าง นางเงี่ยหูฟัง
จากมุมที่นางได้ยิน ท่านย่าใหญ่ร้องไห้ด้วยความเสียใจมาก นางรำพันด้วยความน้อยใจอยู่สามประเด็นหลัก
เรื่องแรก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวของพวกเรายากจน แต่พ่อของสามีจิตใจยังใฝ่สูง
ที่บ้านช่วยเหลือสามีของเจ้าที่ป่วยหนักจนเหนื่อยเอวแทบหัก ผลก็คือท่านพ่อได้ยินคนแก่คนหนึ่งในหมู่บ้านหนิวพูดพล่ามเพียงไม่กี่ประโยค เขากลับมาก็จะส่งเสียให้ซ่งฝูเซิงได้เรียนหนังสือ
หากคาดหวังให้คนรุ่นหลังเรียนหนังสือเพื่อมีอนาคตดี ท่านย่าใหญ่คิดว่า ทําไมถึงไม่ส่งเสียลูกชายของนางเรียนหนังสือ?
ต้องรู้ว่าครอบครัวนางของนางมีแต่คนร่างกายแข็งแรงกำยำ ในอนาคตท่านพ่อต้องพึ่งพาพวกนางในการเลี้ยงดูยามแก่ชรา แต่เขากลับส่งเสียหลานชายคนเล็กของบ้านรองเพื่อให้เรียนหนังสือ พอถามถึงเรื่องนี้ก็บอกว่า เพราะหลานชายคนเล็กฉลาดที่สุดในบรรดาหลานชายทั้งหมด
มันหมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าเด็กบ้านอื่นโง่หรือ ถ้าเป็นลูกสะใภ้บ้านนั้น ใครจะไปทนไหว?
ตอนนั้น อย่าว่าแต่จะไม่ค่อยถูกกันกับน้องสะใภ้เลย นางก็เกือบจะไล่ท่านพ่อออกจากบ้านแล้วด้วย แต่นางกลัวว่าจะโดนขอหย่า มิฉะนั้นนางคงให้ท่านพ่อไปอยู่บ้านรองแล้ว อยู่กินบ้านของนาง แต่กลับรังเกียจลูกทั้งสองของนางว่าเป็นคนโง่ จิตใจลำเอียงมาก
เป็นหลานเหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติแตกต่างกันมากเยี่ยงนี้ ใครจะกล้ำกลืนฝืนทนได้ลง
เรื่องที่สองที่น่าน้อยใจ ท่านย่าใหญ่คิดว่า นางเป็นพี่สะใภ้คนโต ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้จะดีแค่ไหน เมื่อแยกบ้านกันอยู่แล้ว ไม่ได้กินข้าวหม้อเดียวกัน ต่างคนต่างอยู่ มีชีวิตดีหรือไม่ดี นางเป็นพี่สะใภ้ก็คิดว่าจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าครอบครัวของน้องสะใภ้ นางอยากให้คนในหมู่บ้านพูดถึงบ้านตระกูลซ่ง ให้ทุกคนรู้ว่าบ้านใหญ่ใช้ชีวิตได้ดีกว่าบ้านรองเสียอีก
แม้ว่าท่านย่าใหญ่อยู่ในห้องจะพูดจาอ้อมค้อม ไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ซ่งฝูหลิงก็รู้สึกว่านางพูดหมายความเยี่ยงนั้น นางแอบฟังอยู่ข้างนอกแล้วก็คอยพยักหน้าตาม
เรื่องที่สาม ท่านย่าใหญ่ร้องไห้พูดพร่ำเรื่องเหล่านั้นแล้วก็วกกลับมาพูดถึงพ่อสามี
ครั้งนี้ท่านย่าใหญ่ไม่ได้พูดถึงความอัดอั้นตันใจของพ่อสามีตอนมีชีวิตอยู่ แต่พูดถึงหลังจากตายไปแล้ว
ท่านย่าใหญ่ถามย่าของนางว่า “เจ้าไม่โง่ ข้าก็ไม่ได้โง่ พวกเราสองคนต่างก็รู้ดีว่า ทุกครอบครัวเมื่อคนแก่บ้านไหนตาย บ้านใหญ่มักจะได้รับทรัพย์สมบัติมากที่สุด พวกเราสามารถไปถามท่านลุงซ่งได้ หลังจากที่พ่อสามีตายแล้ว เขาแบ่งให้ใครมากสุด เขาก็ต้องบอกว่าให้ลูกชายคนโต เจ้าเชื่อไหม?”
พ่อสามีของพวกเรา ก่อนจะตายเขาก็เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว
ตอนเขายังมีชีวิตอยู่ก็พูดว่า น้องรองร่างกายอ่อนแอ ให้พวกข้าทนลำบากหน่อย บ้านของพวกเจ้าอ่อนแอก็มีเหตุผลแล้วหรือ? ตายแล้วยังบอกให้แบ่งเท่ากัน
ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องพูดอีกว่า เก่อเอ้อร์นิว บ้านของเจ้าใหญ่โต ที่ดินบ้านของเจ้าก็ได้รับแบ่งมามาก น้องสะใภ้ เจ้าลองลูบคลำในจิตใจเจ้าสิว่า ยังมีมโนธรรมอยู่ไหม พ่อสามีไม่ได้แอบให้เงินช่วยเหลือซ่งฝูเซิงเลยหรือ? ให้เขาได้ใช้เพื่อเรียนหนังสือ ฝูเซิงไม่ได้ให้กับเจ้าหรือไง? อย่าคิดว่าพวกข้าเดาไม่ออก มิฉะนั้นเจ้าจะเอาอะไรส่งเสียซ่งฝูเซิงให้ได้เรียนหนังสือ ในตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้ขายที่ดิน ส่งเสียเขาเล่าเรียนก็ส่งเรียนถึงสิบกว่าปี
เพียงแค่นี้ น้องสะใภ้ ถ้าเป็นเจ้าจะออกไปพูดไหม เจ้าจะอดทนอดกลั้นได้หรือไม่? ถ้าข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าแล้วจะให้ข้าไปทะเลาะกับใคร?
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก่อนหน้านี้นางแกล้งบีบน้ำตา ในใจก็คิดว่าจะมาขอร้องท่านย่าหม่า ไม่สามารถทะเลาะกับนางได้ นางจึงได้แต่ใช้ไม้ตาย แต่เมื่อพูดออกไป ก็หยิบเอาคําพูดที่อยู่ภายในใจออกมา จากที่นางจะแกล้งร้องไห้ก็กลับกลายเป็นร้องไห้จริงๆ
ตอนนี้ทั้งสองคนก็อายุมากกันแล้ว ทะเลาะเบาะแว้งกันตั้งแต่ยังสาว ห่างกันสองดือน ถ้าไม่ได้ทะเลาะตบตีกัน ไม่ได้ด่าทอฝั่งตรงข้ามว่าเป็นฝ่ายเอาเปรียบก็เหมือนว่าชีวิตขาดอะไรไป แม้ว่าจะพูดระบายความในใจออกมาก็เหมือนกับคิดบัญชีนี้ออกมาได้ไม่ชัดเจน
ในตอนนี้เอง ท่านยายหวังกับท่านยายกัวก็เดินมา
“ย่าของเจ้าอยู่บ้านเจ้าไหม?”
“ข้า…” ซ่งฝูหลิงไม่รู้ว่าควรจะให้ท่านยายทั้งสองคนนี้เข้าไปในห้องดีหรือไม่
นางยังไม่ทันได้ตัดสินใจ พวกเขาก็เดินเข้าไปแล้ว ไม่รู้สึกเกรงใจเลยสักนิด
“โอ้ พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรกัน ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ? ทำไมถึงกับเช็ดน้ำตากันอีกแล้ว” ท่านยายกัวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ท่านย่าหม่าไม่ชอบร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเพราะกลัวอับอายขายหน้า แต่น่าแปลกใจมากที่นางร้องไห้ต่อหน้าพี่สะใภ้ใหญ่ได้โดยที่นางไม่รู้สึกอับอาย อาจจะเป็นเพราะพวกนางสองคนต่างก็อับอายขายหน้าเช่นเดียวกัน
ท่านย่าหม่าซับน้ำตาเสร็จก็เอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไร นั่งสิ พวกข้าแค่พูดถึงเรื่องในอดีต”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก็พูดขึ้น “พูดไปเรื่อยแหละ ข้าเอาข้าวมาให้น้องสะใภ้ พวกเขายังไม่ได้กินเลย นี่จะต้องทําอะไรกันถึงไหน ที่นั่นใครเฝ้าอยู่ล่ะ?”
ท่านยายหวังบอกว่ามี ยายเถียนกับลูกสะใภ้คนโตของลุงซ่งคอยเฝ้าอยู่ เมื่อตอบเสร็จ นางก็เอ่ยขึ้น “อย่าว่าแต่ผ่านไปแล้วเลย ครอบครัวของพวกเรานี้ก็เกือบจะผ่านความเป็นความตายมาแล้ว เหมือนแย่งชีวิตมาจากมือยมบาล ตอนนี้พอพวกเราคิดถึงอดีต บางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกเหม่อลอย”
คําพูดนี้ทําให้ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงร้องไห้อีกครั้ง นางปาดน้ำตา “พวกเจ้าปล่อยผ่านไปแล้ว แต่ข้าปล่อยผ่านไปไม่ได้ ข้าสูญเสียลูกชายไปหนึ่งคน ตอนนั้นฝูโซ่วจะไปหาภรรยาของเขาให้ได้ เขากับภรรยาของฝูลู่ทะเลาะตบตีกัน รออยู่บนภูเขาสักพักแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา…
…พวกเจ้าก็เห็นว่าข้าทำงานตรงเวลาทุกวัน ไม่ชักช้า แต่พอตกกลางดึกก็นอนหลับตาลงไม่ได้ ก่อนนอนทุกคืนคอยแต่คิดถึงลูกคนรอง…
…เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่? ถ้าทราบข่าวที่แน่ชัดก็คงไม่กังวลใจอยู่แบบนี้…
…บางครั้งข้าไม่มีอะไรทำก็มาครุ่นคิดแต่เรื่องนี้ ถ้าเขาไม่ได้ถูกจับก็ยากที่จะอยู่รอด ตลอดทางพวกเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีชีวิตรอดได้เพราะขาดแคลนน้ำและอาหาร...
…หากเขาเดินทางไปกับครอบครัวของภรรยาจริงๆ เมื่อถึงเวลาที่จะขาดแคลนอาหารกับน้ำ ครอบครัวนั้นคงให้คนในครอบครัวดื่มกินกันก่อน คงไม่มีใครสนใจเขาหรอก เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้ ตอนแรกทำไมไม่เชื่อฟังข้านะ…
ท่านยายกัวกล่าวว่า “ลูกสะใภ้เจ้าท้องใหญ่แล้ว”
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงบอกอีกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกในท้อง ข้าถึงลังเลและอยากได้หลานนั้นถึงได้ปล่อยให้เขาหนีไป ข้าคิดว่าจะรอเขาอยู่บนเขา แต่ใครจะรู้ว่าจะไม่ได้เจอเขาอีก ตอนนั้นพวกเราหยุดรอมาหลายวัน รอจนรอไม่ไหว และยังมีชุ่ยเฟินลูกสาวคนโตของข้าที่แต่งงานออกไปอยู่พื้นที่ห่างไกล ยังโชคดีที่ชุ่ยหลานยังไม่ได้แต่งงาน มิฉะนั้นลูกข้าทั้งสี่คนคงเหลือเพียงแค่ลูกชายคนโตคนเดียว”
นางเอ่ยเรียก “น้องสะใภ้”
ท่านย่าหม่าหันไปมองเก่อเอ้อร์นิว
“แม้ชีวิตเจ้าจะลำบากไม่น้อย เมื่อก่อนจะลำบากมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ยังดีกว่าพี่สะใภ้มาก ลูกชาย หลานชาย หลานสาว ก็ตามกันมาจนหมดทุกคนแล้ว”
อืม คำพูดนี้พูดได้ถูกต้อง สามารถฟังออกว่าเป็นคำพูดที่มาจากใจ
เฮ้อ
ท่านย่าหม่าหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อกันหนาว นางยื่นให้กับพี่สะใภ้ของนาง “หยุดร้องไห้ได้แล้ว ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์”
“ใช่ ร้องไห้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้น มีบ้านไหนบ้างที่คนไม่หายไป? ไม่เสียลูกชายลูกสาวก็เสียญาติไปหลายคน…
…พวกเราก็ได้แต่เฝ้ารอหรือไม่ก็ออกตามหา…
…แต่รอก่อนเถอะ ฝูโซ่วกับชุ่ยเฟินของเจ้าไม่รู้ว่าพวกเราไปที่ไหนแล้ว ญาติพี่น้องของพวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ต้องออกตามหา…
…การค้นหาคนก็ต้องรอทางด้านนั้นสงบก่อน ยังมีภัยพิบัติและทำศึกสงครามกันอยู่ อย่าเพิ่งกลับไปตอนนี้เพราะอาจโดนคนจับตัวไปได้…
…นอกจากนี้ การค้นหาคนก็ต้องใช้เงิน ต้องมีเงินค่าเดินทาง ไม่ว่าเจ้าจะอยากทำอะไร ก็ต้องมีเงินก่อน พวกเรามาพูดถึงเรื่องเงินกันก่อนดีกว่า” ท่านยายหวังกล่าวสรุป
หลังจากสรุปเสร็จ นางก็ยิ้ม “พี่หม่า เงิน”
“เงินอะไร?” ท่านย่าหม่ายกชามข้าวขึ้นตักกินข้าวไปแล้วสองคํา นางถามขึ้น
“หาเงินได้ พวกเรามาปรึกษาหารือกับท่าน”
ผ่านไปไม่นาน ซ่งฝูหลิงก็ได้ยินเสียงลากยาวของท่านย่า ปากยังคงเคี้ยวข้าวอยู่ “เอ๋ ไม่ได้ พวกเจ้าดันไม่ไหวหรอก”
“ท่านยังสามารถดันได้ ทําไมพวกข้าหลายคนถึงจะดันไม่ไหว?”
“ข้าขาดกําลังคน แต่พวกเจ้าทำได้จริงหรือ?” หลังจากนั้นซ่งฝูหลิงก็ไม่ได้ยินชัดเจนเพราะพ่อของนางมาแล้ว
ซ่งฝูเซิงเห็นลูกสาวของเขาหนาวจนต้องเอามือลูบหน้า เขาก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าไม่เข้าไปในห้อง มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้หล่ะ”
ไม่ต้องรอให้ลูกสาวตอบกลับ เขาก็เข้าบ้านไปเพื่อล้างมือและเอ่ยทักทายก่อน “ไม่เป็นไรๆ พวกท่านนั่งเถอะ คุยเรื่องของพวกท่านไป ข้างนอกมืดแล้วจุดตะเกียงน้ำมันก่อนแล้วค่อยคุย เดี๋ยวจะตกจากเตียงเตาลงมา”
ท่านย่าหม่านั่งอยู่บนเตียงเตา นางตะโกนบอกลูกชาย “เจ้าทำงานเสร็จแล้วหรือ? เสร็จธุระแล้วก็มากินข้าวซะ เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วก็ช่วยหาคนสองสามคนและเรียกพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองของเจ้าไปช่วยขนของออกจากห้องหน่อยสิ”
“ห้องอะไร?”
“ข้าอยากหาห้องว่างมาทําเป็นห้องไว้สำหรับทำเค้ก”
“ได้สิ” ซ่งฝูเซิงเติมฟืนลงในเตาสองหลุมเสร็จ เขาก็ล้างมือและออกมาจากห้องพักแล้วพาซ่งฝูหลิงออกไปด้วย
ท่านยายหวังนั่งอยู่บนตั่ง นางชะโงกหน้ามองผ่านหน้าต่าง เห็นซ่งฝูเซิงกับซ่งฝูหลิงเดินออกไปไกลแล้ว นางก็ยกนิ้วโป้งให้กับท่านย่าหม่า “ฝูเซิงช่างกตัญญูจริงๆ เวลาพูดกับเจ้าไม่เหมือนพูดกับพวกเราเลย เขายังเติมน้ำมันตะเกียงให้ใช้อีกและยังกลัวว่าพวกเราจะสะดุดล้ม”
“นั่นสิ เขาเชื่อฟังข้า เจ้าดูสิ ข้ามาที่บ้านเขาก็เหมือนกับอยู่บ้านของตัวเอง ข้าบอกกับลูกชายคนโตและคนรองแล้วว่า ถ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจะย้ายมาอยู่กับลูกสาม ตอนนี้มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก” ท่านย่าหม่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิง เฮ้อ ตอนนี้จะมาอิจฉาน้องสะใภ้ก็ไม่ได้แล้ว