ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 250
ซ่งฝูเซิงกินข้าวและซุปร้อนๆ หมี่โซ่วป้อนผักดองให้เขากินไปหลายคํา หลังจากที่เขาดื่มน้ำแล้วก็เรียกพี่ใหญ่กับพี่รองและชายฉกรรจ์อีกหลายคนเพื่อมาช่วยขนย้ายของออกจากห้อง เพื่อให้ลูกสาวมีห้องว่างไว้สำหรับทำเค้ก
ที่จริงแล้วนี่ถือว่าเป็นงานส่วนตัว งานที่ทำของแต่ละคนในวันนี้ ต่างคนก็ต่างก็ทำเสร็จแล้ว แต่ไม่มีใครสักคนคิดแบบนั้นเลย
มีชายฉกรรจ์บางคนที่ไม่ได้ถูกเรียกชื่อ พวกเขากำลังเคี้ยวข้าวอยู่ในปากยังไม่ทันได้กลืนเมื่อข้าวคําสุดท้ายลงท้องก็ลุกขึ้นยืน พวกเขาผูกเชือกกางเกงให้แน่นแล้วรีบตามไป
ชายฉกรรจ์หลายสิบคนช่วยกันย้ายถ่าน ที่เดิมทีเก็บไว้ในห้องออกมา ในชั่วพริบตาเดียว
ถ่านจะขนเอาไว้ที่ไหน เดิมทีคิดจะเอามาวางรวมกับกองฟืนในห้องผุพัง
แต่พวกเขาตัดไม้มาทำฟืนค่อนข้างมาก พวกเขาอยู่บนภูเขาก็ตัดไม้มาเผาเป็นถ่านจำนวนไม่น้อยเหมือนกันและยังคงมีจำนวนที่ยังต้องเก็บเข้ามาไว้อีก หากนำมากองรวมกันคงอัดแน่นไปหมด
หลี่ซิ่วที่กำลังอุ้มลูกของนางอยู่ นางตะโกนบอกพวกเขา “เอาถ่านไว้ในห้องข้างบ้านของข้าเถอะ ห้องนั้นไม่มีใครอยู่ ข้าเห็นว่าห้องนั้นกว้างมากและพวกข้าก็ไม่ได้เดินผ่านประตูนั้น”
ซ่งฝูเซิงมองไปยังห้องอื่นที่ทรุดโทรม ถ้าวางไว้ในห้องเหล่านั้น เขาไม่กลัวหิมะจะปกคลุมถ่านกับกองฟืน แต่กลัวว่าหากวันใดมีใครเข้าไปเอาฟืนผนังกําแพงจะถล่มลงมาทับคนได้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอันตรายเสียจริง
เมื่อเขาครุ่นคิดถึงจุดนี้และได้ยินคําแนะนําของหลี่ซิ่ว เขาก็นำถ่านทั้งหมดย้ายไปที่บ้านของหลี่ซิ่ว
“ท่านพ่อ ท่านทําอะไร?” ซ่งฝูหลิงยืนอยู่ในห้องว่างที่ได้ย้ายของออกไปแล้ว นางถือคบไฟให้แสงสว่างกับพ่อของนาง
ซ่งฝูเซิงใช้ไม้สี่เหลี่ยมขนาดยาวเหมาะสมวางค้ำพยุงผนังของห้อง เขาตอบกลับ “รับน้ำหนัก กลัวว่าผนังกำแพงจะพังทลายลงมา จึงนำไม้หลายอันมาวางพยุงกําแพงไม่ให้ล้มพังทลายมาทางด้านนี้”
พูดจนซ่งฝูหลิงรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย กลัวว่าวันใดที่นางกําลังทําเค้กอยู่ ผนังกําแพงดินจะล้มพังทลายลงมาอีกครั้ง หลังจากนั้นจะเผยให้เห็นนางอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งในขณะที่มือของนางกำลังถือเครื่องตีไข่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาของทุกคน
คาดว่าหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาจริงๆ คงมีลมหนาวพัดผ่านศีรษะของนาง
“ใช้ไม้ค้ำได้ผลจริงหรือ?”
“แล้วใครบอกล่ะว่าใช้ได้ผล” คําพูดนี้ตอบกลับมาอย่างไร้ความรับผิดชอบ
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังถามตอบกันอยู่นั้น เฉียนเพ่ยอิงก็อุ้มหมี่โซ่วเดินมา
“ทําไมถึงไม่กลับบ้านไปพักผ่อน? อุ้มเด็กมาที่นี่ทําไม?”
บ้านถูกยึดไปแล้ว
“หืม?”
ถูกต้อง ในขณะนี้บ้านถูกยึดไปแล้ว
ทําให้ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยก็ยังไม่ได้กลับบ้าน
เพราะท่านย่าหม่าอยู่ที่บ้านของลูกสาม นางกำลังจัดประชุมใหญ่ของเหล่าบรรดาพี่ป้าทั้งหลายเป็นครั้งแรก
ผู้ร่วมประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วย
ท่านย่าหม่า ลูกสะใภ้ใหญ่ของลุงซ่ง รวมทั้งกลุ่มคนเหล่านั้นที่ทําอาหาร ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหญิงชราอายุมากสุดอยู่แปดคน พวกเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตาในบ้านของซ่งฝูเซิง
หญิงชราทั้งแปดคนมีความคิดหลายอย่างที่ตรงกัน
หนึ่ง มีความคิดใสซื่อ เมื่อยึดมั่นในเป้าหมายแล้วก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อย่าคุยเรื่องเหตุผลกับพวกนาง เพราะมันไม่มีประโยชน์
สอง ยากจนจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว เริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยสองมือเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัว
สาม คนในครอบครัวไม่กล้าควบคุมพวกนาง พวกนางเป็นเสมือนหัวหน้าครอบครัว มีสิทธิ์ในการออกคำสั่งต่างๆ
นอกจากนี้สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดก็คือ ขาดแคลนเงิน ต้องการหารายได้อย่างเร่งด่วน ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตก็คือมีเงินจํานวนมากอยู่ในมือ ถ้านอนบนกองเงินได้ก็ดี หากจะต้องตายด้วยสภาพนี้ก็เป็นการตายที่แสนวิเศษ
ดังนั้นพวกนางอยากทำก็ลงมือทำ
ย่าหม่านั่งอยู่ตรงด้านหน้า นางพูดเพื่อยืนยันอีกครั้ง “อย่าฟังว่าข้าขายเค้กก้อนหนึ่งได้เงินเจ็ดเหวิน พวกเจ้าหัวร้อน ต้องคิดให้ดีก่อนว่า วันหนึ่งพวกเจ้าสามารถเข็นเค้กไปขายได้กี่ก้อน พวกเจ้าต้องแน่ใจเสียก่อนว่าวันเดียวตนเองจะเข็นเค้กได้กี่ก้อน?”
“พวกข้าทําได้”
“พวกเจ้าแน่ใจนะว่าจะมาทํากับข้าจริงๆ ไม่ทํางานกับลูกสามของข้าแล้ว?…
…ถ้าทำงานกับลูกสามพวกเจ้าจะมีรายได้แน่นอน...
…พูดตามตรง หากวันใดที่พวกเจ้าปวดหัวตัวร้อนขึ้นมา ไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาทําอาหาร เขาก็ยังแบ่งเงินให้เจ้าได้…
…แต่ที่นี่ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนั้น อย่าใช้ความสัมพันธ์กับข้า ข้าพูดไว้ก่อนแล้ว มันไม่มีประโยชน์ ข้าก็ต้องอาศัยสิ่งนี้หาเงินเหมือนกัน”
“รายได้ที่แน่นอนได้เงินน้อย มาทำกับเจ้าที่นี่ทำได้เท่าไรก็ได้เงินเท่านั้น…
…ขายออกไปก้อนเดียว พวกเราได้เงินเจ็ดเหวิน...
…หนึ่งวันพวกเราสองคนเข็นรถไปด้วยกัน สองคนอย่างน้อยก็เข็นเค้กออกไปได้ยี่สิบกว่าก้อน วันเดียว อย่างแย่สุดสองคนก็จะได้เงินหนึ่งร้อยกว่าเหวิน...
…พวกข้าสองคนแบ่งเงินกัน วันหนึ่งอย่างน้อยได้คนละหกสิบถึงเจ็ดสิบเหวิน...
…ทํางานเต็มเดือน คนหนึ่งจะได้เงิน 1-2 ตำลึง”
ยายหวังนับมือและพูดไปด้วย นางคิดบัญชีอย่างชัดเจน
พอนางพูดจบก็รู้สึกว่าห้องร้อนขึ้นมาทันที บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้น
หญิงชราทั้งเจ็ดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกข้ายังมีเรี่ยวแรงทำได้”
ยายกัวไม่เพียงแต่จะตะโกนบอกว่า พวกข้ายังมีเรี่ยวแรงทำได้ แต่นางยังบ่นอีกว่า
“น้องหม่า พวกข้าพูดมาหลายรอบแล้ว ทําไมเจ้าถึงยังลังเลอยู่อีก พวกเราลี้ภัยครั้งนั้น ในหนึ่งวันต้องเดินทางไกลขนาดไหน เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร? ตอนนั้นพวกข้าก็ไม่ได้นิ่งดูดาย พวกข้าเดินทางไม่ตกขบวน เมื่อไม่มีสัตว์มาลากสิ่งของ มีใครบ้างที่ไม่มาช่วยลูกๆ เข็นรถ?”
ท่านย่าหม่าตบตั่งและพูดออกมา “ตกลง”