ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 254 พนักงานขายระดับพรีเมี่ยม
หมี่โซ่วนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา ยิ้มตาหยีเหมือนกับพระสังกัจจายน์ เขายิ้มแย้มอย่างมีความสุข เพียงไม่กี่วินาที มือน้อยๆ สิบกว่ามือก็ยื่นเข้าไปในแป้งเปียกเพื่อควักเข้าปากกิน
อยากห้ามปราม แต่ก็ห้ามไว้ไม่ทัน
จับคนนี้ได้ จับคนนั้นไว้ไม่อยู่ แต่ละคนปากมอมแมมเต็มไปด้วยแป้งเปียก และเกือบทำถ้วยที่วางไว้แตก
ยายากำกำปั้นน้อยๆ นางใช้นิ้วชี้แตะแป้งเปียกมาดูดกิน
ซ่งฝูหลิง อ๊าห์ ข้าไม่อยากดูแลเด็กๆ แล้ว
แต่นางไม่มีหน้าแล้ว นางชอบอยู่กับพวกเด็กๆ และยังชอบสั่งให้เด็กๆ ทำงาน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในบ้านของซ่งฝูเซิงก็มีเสียงร้องเพลงที่พี่พั่งยาเพิ่งสอนใหม่ดังออกมา
เด็กน้อยสิบเจ็ดคนร้องเพลงพร้อมกัน
“คุณชายน้อยแบกกระเป๋าไปโรงเรียน ไม่กลัวแสงแดดแผดเผาและพายุฝนโหมกระหน่ำ กลัวเพียงท่านอาจารย์ตำหนิว่าข้าขี้เกียจ ไม่มีความรู้ ไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่”
รูปแบบเค้กก้อนแรกได้ทำออกมาเสร็จแล้ว พวกเด็กๆ ตบมือด้วยความดีใจ บอกกับพี่พั่งยาว่าสวยมาก พี่พั่งยาสวย เค้กปลอมก็สวยเหมือนกัน พี่พั่งยายังสอนพวกเขาท่องกลอนอีก
ก่อนจะท่องกลอน ก็ท่องซ้ำของเมื่อวานก่อน เพื่อเป็นการทบทวนของเก่าแล้วค่อยมา เรียนรู้ของใหม่
อาจารย์น้อยซ่งฝูหลิงฟังพวกเด็กน้อยท่องกลอนไปและใช้เวลาว่างเทน้ำ เด็กพวกนี้ไม่สามารถได้กินแอปเปิ้ลให้หนึ่งคนต่อหนึ่งลูกได้ หมอก็อยู่ห่างไกล ไม่มีผลไม้อะไรให้ ยิ่งผักสดยิ่งไม่มีให้กิน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องดื่มน้ำเยอะๆ
หลังจากพวกเขาท่องกลอนเสร็จ นางก็พบว่าเด็กน้อยเหล่านี้เก่งมาก มีความจำดี ซ่งฝูหลิงจึงค่อยๆ สอนประโยคอื่นต่อไป
“เดือนสองหญ้าเจริญงอกงาม นกขมิ้นบินอยู่บนท้องฟ้า ต้นหลิวพริ้วไหวตามสายลมเสมือนสัมผัสเขื่อน…
…เด็กๆ เลิกเรียนกลับมาบ้านแล้ว ในช่วงที่ลมพัดมาก็รีบปล่อยว่าวสู่ท้องฟ้า”
นางมีเป้าหมายเล็กๆ ว่า ตอนที่ใช้เด็กๆ ทำงาน ยังไม่มีการเปิดเรียน นางจะสอนงานฝีมือให้กับพวกเขา และสอนให้พวกเขาท่องกลอน จดจำตัวอักษร เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง นางจะเสนอท่านพ่อให้ซื่อจ้วงหรือท่านอาเถียนสี่ฟาสอนพวกเขายิงธนู สอนทั้งเด็กๆ พวกนี้และสอนนางด้วย
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาไม่เพียงแค่เรียนยิงธนู แต่จะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปวิ่ง ผูกกระสอบทรายไว้กับขาแล้ววิ่ง จะทำให้มีความสามารถขึ้นเขาลงแม่น้ำได้ดี ต่อไปเมื่อโอกาสอำนวย พวกเขาทั้งหมดก็ต้องเรียนขี่ม้าด้วย
เออ ถ้าในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ยังไม่สามารถหาม้ามาได้เพราะเงินไม่พอ ก็จะซื้อควายแก่ๆ หลายตัวมาทํานาแทน ขี่ควายก็ได้อยู่นะ
ขณะเดียวกัน ในเมืองถงเหยา
ท่านยายหวังหน้าแดงยืนทนความเหน็บหนาวอยู่หน้าโรงเตี๊ยม นางตบน่องใหญ่ของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาเมืองถงเหยา
ไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นแล้วก็ถึงกับตกใจ
พี่หม่าทำการค้าขายขนาดใหญ่ ร่วมมือทำกับโรงเตี๊ยมที่ใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้ นี่มันมีตั้งสามชั้นเลยนะ
“ยืดตัวตรง อย่าหดคอ ทำตัวให้สดชื่น มีชีวิตชีวา”
ท่านย่าหม่าคอยสั่งการ
“เอาผ้าคาดศีรษะออกมาให้เห็น มีชีวิตชีวากันหน่อย…
…ยามคนอื่นเห็นพวกเรา แม้เขาจะไม่ยิ้มให้กับพวกเรา ก็อย่าทำให้คนอื่นเห็นใบหน้าแก่ๆ เหี่ยวๆ ของพวกเราแล้วต้องถึงกับขมวดคิ้ว…
…ต่อไปพวกเราจะเดินไปที่ไหน ต้องจดจำไว้ พวกเราพี่น้องต้องอาศัยความมีชีวิตชีวาของพวกเรา บอกกับพวกเขา พวกเรายังไม่แก่ ใช่แล้ว รักษาอารมณ์ไว้ ไป”
แม่เฒ่าห้าคนเดินเชิดอก พวกนางถือซึ้งนึ่งขนมเดินเรียงเป็นแถวเข้าโรงเตี๊ยม
“เถ้าแก่ วันนี้กิจการดีนะ” ท่านย่าหม่าที่กอดซึ้งนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เถ้าแก่ที่กำลังดื่มน้ำชาสำลักออกมาทันที เขาถึงกับไอไม่หยุด แต่ก็อยากจะหัวเราะออกมาด้วย ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังปัดกวาดอยู่นั้นก็อดขำออกมาไม่ได้
โดยปกติมีผ้าโพกหัวมากันสองคนก็ว่าแปลกแล้ว นี่มาในรูปแบบไหนกัน เอาแม่เฒ่าหลายคนจากที่ไหนมาเพิ่มอีก หน้าตาแปลกๆ รวมกันแล้วน่าจะมีอายุหลายร้อยปี
ธรรมดาก็คิดบัญชีตามปกติ แต่วันนี้เถ้าแก่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะพวกแม่เฒ่าเมื่อได้เห็นเงินก็จ้องมองอย่างตั้งใจจนลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่มือของเขา
ท่านย่าหม่าอาศัยช่วงที่โรงเตี๊ยมยังไม่มีแขกมาพูดคุยกับเถ้าแก่
เมื่อพูดถึงเรื่องแรก นางก็บอกว่า “ท่านสามารถรับจองได้แล้ว”
“เอ๊ะ?”
ท่านย่าหม่าเหลือบมองพี่น้อง นางตั้งใจมองพวกที่มีผ้าโพกหัว แล้วก็หันมายิ้มให้กับเถ้าแก่ ในใจก็คิดว่า เจ้าไม่ต้องเอ๊ะ ไม่ต้องสงสัย ใครจะยอมปล่อยให้เงินหลุดลอยไป พวกข้าขยายกิจการใหญ่โตแล้ว
แค่สายตานี้ เถ้าแก่ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
เรื่องที่สองที่พูดคุยกัน “กินจนเบื่อกันแล้วหรือไม่ มีลูกค้าให้คำแนะนำอะไรกลับมาบ้างหรือไม่ ทำไมถึงมีแต่เค้กไข่”
เถ้าแก่ครุ่นคิดในใจ ยังไม่มีใครถามว่าทำไมมีของว่างชนิดเดียว ตอนนี้มีคนจำนวนมากสั่งกินเพราะเห็นว่าเป็นของแปลกใหม่ มีแขกบางคนดื่มเหล้าเสร็จก็สั่งห่อกลับบ้านไปให้เด็กๆ แต่ก็มีเถ้าแก่ร้านขายของว่าง ส่งคนมาสอบถามกับเขาด้วย
แต่ว่าเขาไม่สามารถบอกความจริงกับท่านย่าหม่าได้ เขาถามต่อ “มีของแบบใหม่ออกมาแล้วหรือ?”
ท่านย่าหม่าบอก “มีเค้กโรล”
นางยังบอกอีกว่า “แค่หั่นออกมาก็สวยงาม หั่นเป็นแผ่นๆ แล้ววางตกแต่งบนจาน...
…เป็นงานฝีมือ พวกเราคิดค้นทำขึ้นมาได้ไม่ง่ายเลยนะ ต้องใช้ไข่หลายฟอง เค้กโรลใช้ไข่เยอะมาก...
…ดังนั้นท่านวางใจได้ แม้เค้กโรลจะทำยาก พวกเราอาจเพิ่มราคา แต่ไม่ได้คิดค่าฝีมือที่ทำยากเพิ่มแน่นอน เค้กโรลทุกชิ้นทั้งใหญ่และยาว เพิ่มราคาไปที่วัตถุดิบที่ทำ พูดตามความเป็นจริง ตรงไส้ด้านในเราต้องใช้ไข่ไก่เยอะมาก”
นี่เป็นสิ่งที่ท่านย่าหม่าพูดไปเรื่อยเปื่อยเอง ซ่งฝูหลิงไม่ได้บอกนางให้พูดแบบนี้
“ขนาดใหญ่เล็กแบบนั้น?”
“ใช่แล้ว ขนาดใหญ่แบบนั้นแหละ เพียงแต่ช่วยท่านม้วนให้เป็นวงกลม ท่านถึงจะสามารถผ่ามันออกมาให้เป็นรูปดอกไม้ได้”
“แต่ละเตาจะต้องเพิ่มเงินอีกกี่เหวิน?”
“เตาหนึ่งแพงกว่าเค้กไข่ยี่สิบเหวิน ท่านคิดดูสิ พวกเราให้ราคาสุดคุ้มแล้ว ท่านฟังว่าเพิ่มเงินจำนวนนี้ก็รู้ว่าพวกข้าต้องลงแรงมากแค่ไหน ไม่ได้เพิ่มเป็นตำลึง ข้าทำไปก็เพื่อโรงเตี๊ยมของพวกเรา ทำขนมออกมาหลากหลายรูปแบบก็เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช่ไหม”
เถ้าแก่พูดขึ้น “เจ้าบอกว่ารูปแบบนั้น ก็เป็นแบบเดียวกับโต้วเจวี่ยนสินะ เจ้าอย่าคิดตบตาข้าเป็นอันขาด”
“ใครจะกล้าตบตาท่าน ข้างในมีเนยด้วยนะนี่…
…ของคนอื่นเป็นโต้วเจวี่ยน ด้านในเป็นถั่วพวกถั่วแดง ถั่วเขียว แค่ถั่วจะมีราคาเท่าไหร่กันเชียว ที่ไหนก็มีของแบบนี้ ตอนฤดูเก็บเกี่ยวก็ได้มาเยอะ แต่นี่ ไส้ในขนมของนางเป็นครีมนะ ฟังดูสิ มีทั้งนมและก็น้ำมัน…
…น้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันงา น้ำมันถั่ว หรือน้ำมันข้าวโพด หรือจะเป็นน้ำมันไช่จื่อ เถ้าแก่ ท่านเปิดโรงเตี๊ยม ท่านก็ต้องรู้ราคาน้ำมันอยู่แล้วว่าขายราคาเท่าไร…
…พวกเราซื้อน้ำมันอย่างดีมาใช้ แต่ท่านรู้ไหมว่าเวลาพวกเราทำเค้ก เตาหนึ่งต้องเทน้ำมันลงไปเท่าไหร่? ต้องเทไปครึ่งโถเลยนะ โถขนาดใหญ่”
เถ้าแก่ที่ฟังอยู่ถึงกับงุนงง ขนมเค้กของพวกเจ้าใช้วิธีทอดเอาหรือ? ไม่น่าใช่ มองดูไม่เห็นเหมือนเลย
อย่าว่าแต่เถ้าแก่เลย แม้แต่แม่เฒ่าหลายคนที่มาเป็นเพื่อนก็มีสีหน้าตกใจ
โอ้ สวรรค์ มิน่าพี่สาว (น้องสาว) เลยขายแพงขนาดนี้ ใช้น้ำมันเยอะนี่เอง
จำเป็นต้องขายแพงหน่อยเพราะต้องหักต้นทุนวัตถุดิบในการทำเค้ก ต่อไปยังต้องจ่ายเงินให้พวกนางเพื่อเอาขนมออกไปขายข้างนอกอีก ไหนจะต้องซื้ออิฐ แป้ง ไข่ไก่ นมวัว น้ำตาลมาเพิ่มอีก ต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือพวกนี้ และยังต้องซื้อน้ำมันจำนวนมาก ต้องขายแพงหน่อย มิฉะนั้นจะเอากำไรมาจากไหน
ในนี้มีเพียงซ่งอิ๋นเฟิ่งคนเดียวที่รู้ดี นางคิดในใจ ไม่เห็นจะเคยซื้อน้ำมันเลย พวกท่านป้าทั้งหลายทำกับข้าวคงไม่รู้ แต่นางรู้ดี นางกับท่านแม่ไม่ได้ขนน้ำมันกลับบ้านเลยสักนิด
แต่นางไม่ถาม
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเคยชินเสียแล้ว ท่านแม่ของนางนั้น นับตั้งแต่เข้าเมืองมาก็ไม่มีคำไหนที่พูดความจริงเลยสักประโยค
ท่านย่าหม่า เชอะ พูดจนพวกเจ้างงล่ะสิ พูดจนงงก็ถูกแล้ว
หลานสาวคนเล็กเคยบอกไว้ ต่อไปจะขยับขยายกิจการขายขนมเค้กออกไปหลายพื้นที่ ก็จะผ่านตาร้านค้าของว่างที่เป็นคู่แข่งทางการค้าง่ายขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเขาคงศึกษาฝีมือการทำขนมของพวกนาง นางไม่ต้องการให้พวกเขามาศึกษาฝีมือการทำ นางต้องการปล่อยข่าวปลอมออกไปเอง พูดซี้ซั้วไปเรื่อย ให้พวกเขาใช้น้ำมันทอดไปอีก
เถ้าแก่บอก “ได้สิ พวกเราพูดคุยกันก็ไม่ชัดเจน รอพวกเจ้าทำเสร็จแล้ว อบออกมาสักเตาหนึ่งให้ข้าได้เห็น”
“ได้สิ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็พูดคุยหัวข้อต่อไปกัน”
“ยังมีหัวข้อต่อไปอีกหรือ เรื่องอะไร?”
“พวกเราสามารถทำเค้กวันเกิดได้แล้ว ขอเพียงมีเงินถึง จะทำกี่ชั้นก็ได้”
“เค้กวันเกิดอะไรกัน”
ท่านย่าหม่าตบมือดังฉาบ พร้อมกับพูดว่า “มันสวยมากเลยนะ ข้าจะบอกท่านไว้ บนเค้กสามารถเขียนตัวอักษรได้ และสามารถกินตัวอักษรลงท้องได้อีกด้วย”
เถ้าแก่ได้ฟังก็รู้สึกสนใจมาก นี่สำหรับแขกบางคน โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบบทกลอนกวีทั้งหลายที่ต้องการแสดงออกให้รู้ว่ามีการศึกษา “สามารถเขียนตัวอะไรได้บ้าง?”
“ยกตัวอย่างเช่น เถ้าแก่ท่านซื้อเค้กวันเกิดมาหนึ่งก้อน ข้าก็จะเขียนบนเค้กให้ท่านว่า ความสุขและความโชคดีดั่งท้องฟ้า”
“โอ้ นี่ไม่ได้ ข้าไม่คู่ควรที่จะใช้คำนี้”
“ถ้าเช่นนั้นจะเขียนให้ท่านว่า ขอให้มีภรรยาใหญ่น้อยเยอะๆ”