ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 259 มุ่งสู่เป้าหมาย
ซ่งฝูหลิง ฮ่าๆๆ ดูไม่ออกเลยนะว่าท่านพ่อเป็นคนแบบนี้
นางถือข้อความของซ่งฝูเซิงแล้วจูงน้องชายที่กำลังคึกออกไปข้างนอก
ท่านย่าหม่าก็ออกไปด้วย เรื่องที่นางต้องทำยังมีอีกมาก
ซ่งฝูเซิงใส่หมวกผ้าฝ้าย เดิมทีอยากออกไปทำงานต่อ
“หยุดนะ”
“มีอะไรรึ”
เห็นเพียงทันใดนั้นเฉียนเพ่ยอิงก็เข้ามาใกล้เขา หลังจากที่จ้องเขาพลางพูดพึมพำ ซ่งฝูเซิงก็ร้องขอชีวิตไม่หยุด อ้อนวอนพลางหลบ “ไอ๊หยา ที่รัก อย่าหยิกสิ”
“คลื่นประกายในแววตา บุปผาเบ่งบานไปถ้วนทั่วใช่ไหม”
“หา?” ซ่งฝูเซิงแสร้งทำหน้างง “เจ้าจะมาเอาเรื่องอะไรข้ากลางวันแสกๆ ใจเย็นๆ สิ ที่รัก มันจะดูไม่ดีนะ”
เฉียนเพ่ยอิงยิ้มพลางด่า “ไสหัวไป”
ซ่งฝูเซิงวิ่งหนีออกไปแล้ว เฉียนเพ่ยอิงอยู่ในบ้านยังได้ยิน “หัวหน้าหม่า รอด้วย”
ได้ยินไม่ชัดว่าท่านย่าหม่าด่าอะไรซ่งฝูเซิง แต่ก็มองเห็นว่าท่านย่าหม่าตบหลังซ่งฝูเซิงเบาๆ หนึ่งที
เฉียนเพ่ยอิงส่ายหัว ผู้ชายพวกนี้ ช่วงนี้ชอบไม่อยู่กับร่องกับรอย กินอิ่มก็เริ่มทำตัวเอาใหญ่ วันๆ เอาแต่พูดว่าจะสร้างบ้าน
ซ่งฝูเซิง เมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยากับมารดาก็ทำตัวแบบหนึ่ง อยู่ต่อหน้าบุตรสาวก็ทำตัวอีกแบบ
ตกเย็นหลังจากที่แบ่งงานคนตัดกระเทียมเหลืองกลางดึกเสร็จ ไปดูต้นกล้าที่สวนพริกเสร็จ เขาตั้งใจไปดูบุตรสาวที่อยู่ในห้องทำขนมส่วนตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำขนมเค้กวันเกิดไซส์ใหญ่ อีกทั้งยังขายให้กับคนภายนอก ต้องมาดูเสียหน่อย
ดูห้องทำงานเล็กๆ ของลูกสาวเขาสิ เขาจัดเก็บจนเรี่ยมเชี่ยม
เตาผนังสี่เตา ปล่องควันสี่ปล่องด้านนอกมีควันดำลอยออกไป ภายในห้องอบอุ่น แต่กลับไม่สำลักควันแม้แต่น้อย
เตาอบสามเตาที่เพิ่งติดตั้งก็ดูใช้งานได้ดี ไม่เหมือนเตาอบในห้องก่อนหน้านี้ที่สร้างอย่างไม่มีประสบการณ์ อีกทั้งตอนนี้ห้องนั้นก็มีเตาอบอยู่สิบห้าเตา ห้องเล็กแค่นั้นแต่ยัดเตาพวกนั้นเข้าไป บวกกับโต๊ะยาวอีกสองตัว อัดแน่นเต็มพื้นที่
มีหรือจะเหมือนห้องนี้ โต๊ะทำงานเป็นโต๊ะทำงาน โต๊ะวางขนมที่เสร็จแล้วก็ได้ตั้งใจให้พี่รองช่วยต่อแบบมีตู้ให้ ทั้งยังทำเก้าอี้สูงให้ลูกสาว นี่เป็นผลงานการออกแบบของเขาทั้งนั้น
แต่ว่า “ลูกพ่อ แบบนี้ไม่ได้นะ คนอื่นทำเค้กวันเกิดด้านล่างมีพานหมุนใช้หมุนเค้กไปมา แต่เจ้ากลับเดินรอบโต๊ะหมุนไปรอบเค้ก”
คิดดูสิ ต้องก้มๆ เงยๆ บ่อยครั้ง ขนมเค้กก้อนแค่นั้น แต่ก็ต้องใช้เวลาทำอยู่สักพัก วันหน้าได้มีเอวเคล็ดกระดูกเบี้ยวบ้างล่ะ “รอเดี๋ยวนะ พ่อจะออกไปข้างนอก พ่อแก้ปัญหาให้แล้วกัน เดี๋ยวไปทำแท่งเหล็กที่เหมือนน็อต เอามาเสียบบนโต๊ะกลมให้ แล้วก็ทำถาดหมุนด้วย”
ซ่งฝูหลิงกำลังปาดครีมลงบนตัวเค้ก พอได้ยินแบบนั้นนางก็ดีใจ
“ดีเลยค่ะคุณพ่อ ช่วยลูกคิดด้วยว่าจะใช้อะไรผสมให้ครีมกลายเป็นสีเขียวดี จะมีแต่ดอกไม้ไม่ได้ แม้แต่ใบไม้สีเขียวสักใบยังไม่มีได้ยังไง อีกอย่าง ตอนนี้มีแค่สีม่วงแดง สีส้ม สีเหลืองไข่ไก่ สามสีเอง สีน้อยเกินไป”
“สีเขียวจากผัก ผักปวยเล้ง ใช้หินตำให้น้ำมันออก เอามาผสมเป็นสีเขียว”
“แต่พวกเราไม่มีนี่ กลางฤดูหนาวแบบนี้จะไปหาปวยเล้งจากไหน พริกของท่านพ่อก็ใช้ไม่ได้ เอามาผสมกับครีม รสชาติจะเป็นแบบไหน ต้นหอมที่ท่านแม่ปลูกในกระถางก็เป็นใบสีเขียวอยู่หรอก แต่ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกันหรือเปล่า จะให้ขนมเค้กมีกลิ่นต้นหอมก็ไม่ได้”
ก็จริง สมัยโบราณตอนฤดูหนาวจะหาผักใบเขียวได้ยากมาก ซ่งฝูเซิงเก็บปัญหาของบุตรสาวไว้ในใจ “ห้องนั้นฝึกกันมาตลอดบ่ายแล้ว มีคนที่วันพรุ่งนี้พอใช้งานได้หรือยัง”
“มี” ซ่งฝูหลิงมัวแต่ทำขนมเค้ก
คืนนี้นางต้องทำให้เสร็จ พรุ่งนี้ต้องให้ท่านยายกัวที่รับผิดชอบการขายถงเหยาเจิ้นเอาไปส่งแล้ว
อีกทั้งขนมของถงเหยาเจิ้นไม่ใช่แค่ขนมเค้กแบบดั้งเดิมยี่สิบกว่าก้อน ขนมปังกรอบม้วนที่เมื่อวานนางอบไว้สองเตาก็จะเอาไปลองขายด้วย ขนมเค้กวันเกิดสิบหกนิ้วหนึ่งก้อน ไหนจะโมเดลอีก โมเดลขนมเค้กแบบหนึ่งชั้นกับสามชั้น หนักๆ ทั้งนั้น เพราะใช้ท่อนไม้กลมใหญ่เอามาทำ จะต้องเอาตัวอย่างพวกนี้ไปวางตั้งโชว์ที่โรงเตี๊ยม
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ซ่งฝูเซิงร้อนใจไปพร้อมกับบุตรสาว อยากให้มีคนเป็นงานเร็วๆ ไม่อย่างนั้นลูกสาวของเขาคงได้เหนื่อยตายแน่ สองวันมานี้ทั้งทำโมเดลทั้งทำขนมเค้ก เมื่อวานเขายังต้องเข้ามาช่วย “ใคร”
“พี่เอ้อร์ยา”
“ไม่มีคนอื่นอีกเหรอ”
“ถ้ามีอีกก็ซื่อบื้อไปหน่อย คนที่ไม่ซื่อบื้อก็คือหลี่ซิ่วกับพี่เถาฮวา พวกนางจำเวลานาฬิกาทรายได้ ความจำดี แต่พี่เอ้อร์ยาดูเป็นงานอย่างเห็นได้ชัด นางทำได้ดี คิดว่านางน่าจะเป็นคนแรกที่ถ้าไม่มีนาฬิกาทรายก็ทำขนมเค้กได้ดี”
ซ่งฝูเซิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย
เดิมทีเขาคิดว่าคนที่มาเป็นอันดับหนึ่งจะเป็นเถาฮวาที่ละเอียดอ่อน หรือไม่ก็ต้ายา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเอ้อร์ยาที่ดูไม่เป็นการเป็นงาน ชอบเล่นเรื่อยเปื่อย
“ข้าจะบอกให้ฟัง ท่านพ่อ คนตะกละโดยทั่วไปจะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารมากกว่าคนที่ไม่รักการกิน ต้องยอมรับเลย”
เอ้อร์ยาเป็นประเภทที่ว่า นางตะกละตะกลาม ก็แค่เก็บงำไว้มาตลอด เพราะฐานะทางบ้านไม่เอื้อให้เป็นคนแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเอ้อร์ยากับซ่งจินเป่า สมกับเป็นพี่น้องแท้ๆ
…
เช้ามืดวันต่อมา ยังคงเป็นเวลาเดียวกับคราวก่อน ตีสองกว่า
คนทำงานจำนวนยี่สิบกว่าคนลงแปลงเพาะปลูกใต้ดินพร้อมกัน ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ตัดกระเทียมเหลืองที่เหลืออยู่อีกสามแปลงเสร็จ
ทางนี้ตัดเสร็จ ทางด้านพวกผู้หญิงก็เริ่มเด็ดกระเทียมเหลืองกัน จัดการทำความสะอาดผัก ตะโกนไปทางด้านนอกแปลงเพาะปลูกใต้ดิน “เอาเข่งมา”
มีคนที่อยู่ด้านนอกส่งเข่ง ส่งตะกร้าเข้ามา สุดท้ายมีหลายคนที่หอบผ้าห่มในบ้านเข้ามา
เนื่องจากอากาศหนาวเย็นกว่าเดิม ย่างเข้าเดือนสิบสองแล้ว ตะกร้ากับเข่งยิ่งจำเป็นต้องพิถีพิถันมากกว่าคราวก่อน หนึ่งชั้นวางกระดาษไข หนึ่งชั้นเป็นผ้าห่ม แทรกกระดาษไขเข้าไปในผ้าห่มอีกหนึ่งชั้น เอาผักวางไว้ในนั้นแล้วมัดปากด้วยเชือกป่านให้แน่น เอาผ้าห่มห่อเข่งด้านนอกอีกหนึ่งชั้น ปิดท้ายด้วยการใช้เสื่อฟางคลุมปิดด้านบนเป็นอันเสร็จสิ้น
ครั้งนี้ส่งขายเยอะกว่าคราวก่อน ครั้งก่อนขายกระเทียมเหลืองแค่แปลงเดียว ครั้งนี้ลองชั่งดูอย่างลวกๆ ตัดน้ำหนักของผ้าห่ม เสื่อฟางและเข่งทิ้ง สามแปลงได้ผลผลิตทั้งหมดประมาณหนึ่งพันจิน หนึ่งพันจินกับอีกนิดหน่อย จัดการขนขึ้นรถ
ในเวลาเดียวกันที่หน้าห้องทำขนม เปลวไฟยังสว่างไสวอยู่
เหล่าหญิงสูงวัยก็กำลังขนของขึ้นรถเช่นกัน โดยเฉพาะรถคันที่ไปถงเหยาเจิ้น เดิมทีทางนั้นก็มีสินค้าที่สั่งจองอยู่แล้ว นี่ยังมีโมเดลขนมเค้กไปด้วย ไม่เหมือนรถคันอื่นที่ครั้งนี้แค่ลองดูเท่านั้น หนึ่งคนขนขนมเค้กได้แค่สี่เข่ง
เวลาตีสามกว่า ออกเดินทาง
เหล่าหญิงสูงวัยตามอยู่ด้านหลังลูกชายและหลานชายของตัวเอง
ครั้งนี้พอได้สุขสบายอยู่บ้าง พวกผู้ชายเข็นรถ พวกนางถือคบเพลิง
จำทางไว้ ต้องจำทางให้ดี หญิงสูงวัยสี่คนท่องอยู่ในใจ
เช้านี้ซ่งฝูหลิงก็ตั้งใจตื่นขึ้นมา วันแรก ต้องมีอารมณ์แบบเป็นทางการหน่อย
นางคลุมตัวอย่างแน่นหนา เห็นเพียงดวงตา พาพวกคนทำขนมออกมาตะโกนตามหลังพวกท่านย่าท่านยาย “เดินทางปลอดภัย”
ณ หอนางโลมในถงเหยาเจิ้น
ยายกัวกับยายฉีอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งสองคนรับหน้าที่เป็นวันแรก ทั้งยังมีย่าหม่าปูทางให้ก่อนแล้ว เพื่อที่จะไม่ทำให้ย่าหม่าขายหน้า พวกนางจงใจทำให้ตัวเองดูสุขุมเยือกเย็น ไม่มองซ้ายมองขวา
แต่พวกนางพบว่า ชั่วขณะที่แม่เล้าเห็นขนมเค้กวันเกิดปรากฏตรงหน้า ใบหน้ากลับไม่เก็บอาการเลยสักนิด ปากของแม่เล้าอ้าออกเป็นวงกลม แบบนี้ก็ถูกแล้ว
เห็นเพียงขนมเค้กวันเกิดขนาดสิบหกนิ้ว ตรงขอบเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองทองอยู่ข้างข้อความ ‘สายลมใบไม้ผลิพัดใบหลิว สกุณาคล้อยตามกลิ่นหอม’ ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้สีแดงหลายดอกตั้งแต่บนลงล่าง
“กินได้จริงหรือ”
ท่านยายกัวกับท่านยายฉี ยิ้มให้กันแล้วถึงพยักหน้า พลางพูดกับแม่เล้า “กินได้”
แม่เล้ายิ้มอย่างพอใจ
ณ อำเภออวิ๋นจง
เก่อเอ้อร์นิวป้าสะใภ้ใหญ่ของซ่งฝูเซิงหลังจากที่รอบรรดาหลานชายนับเงินค่ากระเทียมเหลืองเสร็จถึงได้ไปแนะนำ “ขนม” กับเถ้าแก่พร้อมท่านยายรองซ่ง
ต้องทราบก่อนว่า ท่านย่าหม่าอบรมพวกนางมาก่อน ถึงแม้ช่วงแรกจะเกร็งเพราะถูกเถ้าแก่จ้องจนคิ้วขมวด แต่พอพูดไปเรื่อยๆ ก็ลื่นไหลและผ่อนคลายลงทีละนิด
เก่อเอ้อร์นิวพูดหลังจากให้เถ้าแก่ชิมว่า “เถ้าแก่รู้จักถงเหยาเจิ้นใช่ไหม ที่นั่นขายดีมากเลยนะ สั่งจองขนมจากร้านข้าหมดเลย”
“หืม?”
เก่อเอ้อร์นิวบอกว่านางไม่ได้โกหก ยายรองซ่งก็รีบพูดเสริม เอ่ยชื่อโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา รวมถึงชื่อหอนางโลมในถงเหยาเจิ้น
ท่านยายทั้งสองรับ-ส่งกันอย่างเข้าขา คนหนึ่งพูด ถ้าไม่เชื่อไปสืบดูได้ อีกคนพูดต่อ พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเราเป็นคนของร้านขนมเค้กท่านย่าหม่า ดูผ้าโพกหัวของพวกเราสิ พวกเราขยายกิจการ ถึงได้มาถึงที่นี่
ถงเหยาเจิ้นสั่งกันหมดเลยรึ
เถ้าแก่ลังเลเล็กน้อย งั้นเขาสั่งบ้างละกัน มันก็ดูแตกต่างจากขนมที่นึ่งขายข้างนอกจริงๆ
เพียงแต่จะว่าอย่างไรดีล่ะ มีจุดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยพอใจก็คือ ถึงแม้รสชาติจะดี แต่รูปร่างหน้าตามันไม่ดูดีเท่าขนมที่พ่อครัวมือเก๋าทำออกมา ขนมที่โรงเตี๊ยมของพวกเขาซื้อมา ตรงกลางจะมีจุดแดง แต่ของที่สองคนนี้ขายใช้วิธีหั่นกิน
เก่อเอ้อร์นิวทำหน้าตกใจ “ท่านรังเกียจที่ขนมของพวกเราหน้าตาแย่รึ เถ้าแก่ พวกเรามีแบบที่สวยเสียยิ่งกว่าสวย มีขนมเค้กแบบหนึ่งที่สวยเสียจนแม้แต่เถ้าแก่ก็ไม่เคยเห็น”
ท่านยายรองซ่งตบขาหนึ่งฉาด “ถ้าขนมเค้กแบบนั้นของพวกเราไม่สวย ข้าขอใช้หัวของข้าเป็นประกันเลยว่าโลกนี้ก็ไม่มีขนมที่ไหนสวยอีกแล้ว”
เถ้าแก่ “เอามาด้วยหรือเปล่า”
ดูเอานะ โอกาสมาแล้ว ท่านยายทั้งสองเริ่มสาธยายเรื่อง ‘ขนมเค้กวันเกิด’ ทันที
วันนี้เป้าหมายเริ่มต้นของพวกนางก็คือ แนะนำให้โรงเตี๊ยมร้านอาหารในอำเภออวิ๋นจงรู้จัก
เป็นครั้งแรกที่ลูกชายคนที่สี่ของท่านยายรองซ่งเห็นมารดาพูดเก่งขนาดนี้
ณ อำเภอจยา
พวกผู้ชายที่เดิมทีออกมาขายกระเทียมเหลืองด้วยกัน อยากตามยายหวังกับสะใภ้ใหญ่บ้านลุงซ่ง ออกไปขายขนมเค้กด้วย แต่ทั้งสองคนไม่ให้ไป บอกว่าพาไปด้วยแล้ววุ่นวาย ดูสภาพของพวกเขาสิ
หวังจงอวี้ ท่านแม่ไม่ควรรังเกียจลูกชายตัวเองหรือเปล่า ท่านแม่พูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร อีกอย่างนะ พวกเขาออกมาขายกระเทียมเหลือง ส่งของนับเงินเสร็จก็กลับ ใครยังจะมัวตื่นมาแต่งหน้าแต่งตัวแต่เช้ามืดได้ล่ะ
ด้วยเหตุนี้พวกผู้ชายจึงไม่ได้ตามไปด้วย
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ท่านยายหวังที่มีความโลภ วันนี้ไม่เพียงแต่จะอยากเจรจากับโรงเตี๊ยมให้สำเร็จ นางยังหมายตาหอนางโลมอีกด้วย นางคิดว่าที่นั่นซ่อนโอกาสค้าขายที่ใหญ่มากเอาไว้ จะทำเงินก้อนใหญ่ให้ได้หรือไม่นั่นเป็นหัวใจสำคัญ นางพยายามจะเข้าไปขายในหอนางโลมให้ได้ แต่ก็ถูกคนผลักออกมา
ทั้งยังบอกให้พวกนางไสหัวไป
คิดว่าที่นี่ใครก็เข้าได้อย่างนั้นรึ คนรวยเข้าได้ พวกเจ้าคู่ควรรึ
ซึ่งก็หมายความว่า ไม่เพียงแต่จะเข้าไปเสนอขายไม่ได้ ยังถูกผลักถูกด่าไปหนึ่งยก หาว่าพวกนางมาด้อมๆ มองๆ ลับๆ ล่อๆ ดูก็รู้ว่าคิดไม่ดี
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้นหน้าหอนางโลม ไม่สนใจเรื่องอื่น รีบไปเก็บขนมเค้กที่ตกอยู่บนหิมะ
‘ขนมเค้ก’ หลายชิ้น เดิมทีอยากประจบประแจงให้คนเฝ้าประตูได้ลองชิม จากนั้นค่อยพูดอวยพรปีใหม่ หวังให้พาพวกนางเข้าไป นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะเสียทั้งหมด ตกลงบนหิมะหมดแล้ว
ท่านยายหวังใช้มือที่แข็งจนยืดตรงไม่ได้ปัดหิมะที่อยู่บนขนมเค้ก สีหน้าเสียใจ เฮ้อ เดี๋ยวกลับบ้านเอาให้ซ่วนเหมียวจื่อกินแล้วกัน
สะใภ้ใหญ่ลุงซ่งเมื่อครู่ถูกผลักไม่ใช่เบาๆ นางล้มลงไปนั่งบนพื้น เอามือนวดก้นที่เหมือนจะช้ำ สูดน้ำมูกพลางคิดในใจ ให้ตายเถอะ จะตีพวกเราก็ตีไปสิ มาทำขนมเค้กของพวกเราเละเทะแบบนี้ทำไม ต้องขาดทุนเท่าไรเนี่ย
ต่อมาหญิงสูงวัยทั้งสองที่ทำงานไม่ราบรื่นพอเห็นบรรดาลูกๆ ตัวเองกลับไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
หวังจงอวี้ถามยายหวัง “ท่านแม่ ทำไมตรงเอวด้านหลังมีแต่หิมะล่ะ หกล้มเหรอ”
“อ๋า ไม่เป็นไร คงไปถูกับตรงไหนมา ปัดๆ หน่อยก็หมด”
ณ เมืองเฟิ่งเทียน
ท่านย่าหม่าที่มีซ่งฝูเซิงลูกชายคนที่สามอยู่ข้างๆ บุคลิกดูสุขุมยิ่งกว่าเดิม
สีหน้าของท่านย่าหม่าไม่ค่อยเหมือนมาเมืองใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรก
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับท่านยายเถียนที่อยู่ข้างกัน
สีหน้าของท่านยายเถียนดูทำตัวไม่ถูกและงุนงง ไม่รู้จะเดินไปทางไหน ท่านย่าหม่ามองอาคาร มีเพียงความอยากรู้อยากเห็น ดวงตามีรอยยิ้ม ราวกับนางเห็นเงินตกลงมาจากอาคาร
ณ โรงเตี๊ยม
ซ่งฝูเซิงขายกระเทียมเหลืองเสร็จ รับเงินมาดูตรงข้างๆ สักพักแล้วถึงเรียกต้าหลังกับกัวคนโตไปกับเขา เพราะพวกเขาต้องรีบไปสถานที่ขายวัว วันนี้คงกลับบ้านไม่ทัน กลับถึงบ้านพรุ่งนี้เย็นก็ถือว่าเร็วแล้ว รีบเร่งเดินทาง
ต้าหลังถามอาสาม “ที่นี่เหลือแค่ท่านย่าของข้ากับท่านยายเถียน จะไหวหรือ”
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่บนถนน หันกลับไปมองในโรงเตี๊ยมแล้วยิ้มพลางตอบ “พอไหว”
คิดในใจ พอไหวที่ไหนล่ะ ไหวจนไม่รู้จะไหวยังไงแล้ว
หญิงสูงวัยคนนั้นพูดโน้มน้าวเก่งกว่าเขาเสียอีก เวลาคุยกับอีกฝ่าย ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็ไม่รู้ว่าฝูหลิงล้างสมองท่านย่าของนางยังไง เขาทึ่งมากจริงๆ
รู้หรือไม่ว่าย่าหม่าพูดกับคนในโรงเตี๊ยมว่าอย่างไร พูดอย่างไม่กระพริบตาว่า จัดเป็นของกินที่แปลกใหม่ในเมืองเฟิ่งเทียนจริงๆ แต่ไม่ใช่ของแปลกใหม่ในเมืองข้างล่างแล้ว มันเป็นขนมเค้กที่แพร่หลายในสามอำเภอคือ ถงเหยาเจิ้น อำเภอจยา อำเภออวิ๋นจง มีความหมายว่ารื่นเริงมีความสุข
แต่เช้าวันนี้เพิ่งจะเอาไปเสนอขายที่อำเภออวิ๋นจงกับอำเภอจยามิใช่รึ
ทั้งยังคุยโวกับเถ้าแก่ ความหมายประมาณว่า หลักการบริหารร้านคือเริ่มจากด้านล่างโอบล้อมขึ้นด้านบน จากชนบทก้าวสู่เมืองใหญ่
ก่อนซ่งฝูเซิงจะไป ได้ยินท่านย่าหม่าพูดไปถึงขนมเค้กวันเกิดแล้ว หลังจากที่อีกฝ่ายสั่งขนมเค้กเสร็จ
บอกว่าร้านของท่านย่าหม่าไม่ใช่แค่รับยอดสั่งขนมของงานเลี้ยง งานชมดอกไม้ งานประชันบทกลอนบ่อยๆ ทำให้เจ้าของบ้านได้หน้ายิ่งกว่าเดิม ในเดือนหนึ่งมียอดสั่งเก้าสิบเก้าก้อนใหญ่ที่อำเภอนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังรับทำขนมวันเกิด พอขนมเค้กวันเกิดปรากฏโฉม ตะลึงกันทั้งงาน
อีกทั้งขนมเค้กสามชั้นก็สามารถใช้ในงานเลี้ยง งานชมดอกไม้ งานประชันบทกลอนได้เหมือนกัน ให้เจ้าของงานตัดแบ่ง…
พูดมาขนาดนี้แล้ว เขาซ่งฝูเซิงยังจะมีอะไรไม่วางใจได้อีก เขาที่เป็นคนยุคสมัยปัจจุบันไปขายขนมเค้กด้วยตัวเองก็คงได้แค่ระดับงั้นๆ
ตอนที่ใกล้ออกจากเมืองเฟิ่งเทียน ซ่งฝูเซิงเรียกต้าหลังกับกัวคนโต บอกว่าพวกเขาต้องซื้อของกินติดไประหว่างทาง เพราะไม่รู้ว่ากว่าจะเดินทางไปถึงที่ขายวัวนมจะเป็นเวลาตอนไหน
บางครั้งรถรับจ้างไปได้ครึ่งทางก็ออกนอกเส้นทาง ใช่ว่าจะไปถึงหมู่บ้านขายวัวได้พอดี
อีกทั้งครั้งนี้ เนื่องจากมีกัวคนโตกับต้าหลังตามไปด้วย ถึงแม้จะประหยัดแรงและปลอดภัย แต่ไม่สามารถเอาข้าวร้อนๆ ที่ลูกสาวทำจากในพื้นที่พิเศษออกมากินได้ ต้องเตรียมอาหารแห้งไปด้วย
มองหาร้านค้าเล็กๆ ริมทาง ร้านนี้ขายทุกอย่าง เช่น ซาลาเปา บะหมี่ หมั่นโถว
ซ่งฝูเซิงสั่งให้ห่อหมั่นโถวมาสิบลูก จากนั้นก็สะบัดกระเป๋าน้ำถามเจ้าของร้าน “ตรงไหนมีน้ำร้อนบ้าง ข้าอยากกรอกน้ำร้อนสักหน่อย”
เจ้าของร้านเป็นกันเอง บอกให้ไปด้านหลัง น้ำเพิ่งต้มเสร็จ
ที่ด้านหลังร้าน ซ่งฝูเซิงเห็นผักขึ้นฉ่ายที่แข็งตัวก็ร้องไอ๊หยาในใจ
ผักขึ้นฉ่ายที่แข็งตัวเอาเข้าไปสะบัดน้ำแข็งออกในบ้าน ตำให้ละเอียด น้ำสีเขียวก็ออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกสาวของเขาเอาน้ำสีเขียวไปทำดอกไม้บนขนมเค้กได้
เขายังนึกได้อีกว่า รอปีหน้าตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวขึ้นฉ่าย จะต้องเก็บรากขึ้นฉ่ายเอาไว้ให้มากๆ
เพราะไม่ต้องพูดถึงขึ้นฉ่ายที่แข็งตัวในตอนนี้แล้ว ไม่เหลือโอกาสช่วยชีวิตมันแล้ว ต่อให้เอายาขาวอวิ๋นหนานให้มันกินก็แตกใบออกมาใหม่ไม่ได้
แต่ฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า หลังจากที่เก็บรากขึ้นฉ่ายสดๆ ไว้ก็จะสามารถเอาไปปลูกลงดินได้
ขึ้นฉ่ายยังดูแลง่าย พอเอารากลงดินมันก็เติบโตด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องทำกระโจมหรืออะไรครอบ แค่ให้แต่ละบ้านทำแปลงไม้มากหน่อย ใส่ดินดีๆ ไว้ในแปลงไม้ก็พอ ปลูกเยอะหน่อย พอหน้าหนาวก็จะมีผักสดอีกอย่างเอาไปขายแล้ว
คนโบราณที่นี่ไม่รู้ แต่เขารู้
ซ่งฝูเซิงเดินออกไปถามว่าจะขายขึ้นฉ่ายที่แข็งตัวพวกนี้ให้เขาหน่อยได้หรือไม่
“เจ้าจะเอามันไปทำไม ข้าจะเอาไว้ใช้ทำซาลาเปาตอนช่วงหน้าหนาวนี้ พอปีใหม่ก็เอาไปห่อเกี๊ยว”
หลังจากที่ซ่งฝูเซิงออกไปพร้อมต้าหลังกับกัวคนโตแล้ว เจ้าของร้านก็ถือเงินหกสิบเหวินเดินไปหาภรรยาในครัวอย่างอารมณ์ดี ไม่สนใจต้อนรับลูกค้าแล้ว ดีใจจนอยากเล่าให้ภรรยาฟัง
“เจ้าดูสิ สามคนนั้นสงสัยสมองจะมีปัญหา อยากจะขอซื้อขึ้นฉ่ายแข็งของพวกเราให้ได้ เจ้าดูสิ ให้เงินมาตั้งขนาดนี้ ข้าเหลือไว้ใช้ตอนปีใหม่หน่อย ที่เหลือขายให้พวกเขาไปหมดแล้ว”