ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 260 เกือบถูกจับ
ซ่งฝูเซิงออกไปครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไปซื้อวัวนม
เขายังได้เดินทางเลยถัดจากหมู่บ้านที่ขายวัวนมไปอีกและอยู่ที่นั่นสองวัน
ไปทำอะไรน่ะหรือ
ไปซื้อของใช้ในครัวเรือน
เพราะฟังคนในหมู่บ้านขายวัวนมบอกว่า ถัดไปข้างหน้าอีกหน่อยจะมีเมืองเล็กๆ ก็ไม่รู้ว่าแถวเมืองนั้นมีแร่เหล็กหรืออะไร ทุกสามปีจะมีแรงงานใหม่ๆ ของทางการถูกส่งไปทำงานที่นั่น ซึ่งจะต้องผ่านที่นี่ ได้ยินว่าคนพวกนั้นไปทำงานในหุบเขาลึกของเมืองนั้น มีทหารจำนวนมากไปเฝ้าดู
อีกทั้งราคาเหล็กของที่นั่นก็ถูกกว่าที่อื่น คนในหมู่บ้านพวกเขาไปซื้อหม้อใบใหญ่ซื้อขวานมาจากที่นั่นทั้งนั้น ร้านตีเหล็กก็เยอะมากเหมือนกัน
ซ่งฝูเซิงได้ฟังก็มองกัวคนโตกับต้าหลัง พลางพูด “ไป ในบ้านขาดของใช้พอดี ไปหาซื้อที่นั่นให้ครบ”
เมื่อไปถึงก็หนาวเสียจนมีน้ำแข็งจับที่หนวดเครา
ช่างตีเหล็กถาม “อยากได้ของใช้อะไรรึ”
ซ่งฝูเซิงบอก “เอาคราดสามสิบอัน จอบยี่สิบอัน” และยังทำท่าอธิบายต่อ ทำของใช้สำหรับลูกสาวของเขา แท่งเหล็กที่คล้ายกับน็อต เสียบเข้าไปในโต๊ะได้ จากนั้นก็ขันน็อตให้แน่น ด้านบนมีถาดเหล็กกลมที่หมุนไปหมุนมาได้
ยังไม่ทันที่จะอธิบายจบช่างตีเหล็กก็รีบบอกให้หยุด “เดี๋ยวก่อน”
วางงานในมือลง มองซ่งฝูเซิง กัวคนโต และต้าหลังด้วยสายตาสงสัย “พวกเจ้าซื้อของพวกนี้ไปทำอะไร”
“ใช้ทำสวนของครอบครัว”
“บ้านใครมีคนเยอะขนาดนั้น ต่อให้มีก็ต้องตัดเด็กกับผู้หญิงทิ้ง อย่างมากก็ซื้อแค่เก้าอันสิบอัน”
ซ่งฝูเซิงบอก “ได้ๆๆ แบบนั้นที่นี่ขายได้มากสุดเท่าไร”
นึกไม่ถึงว่าจะซื้อของก็มีจำกัดจำนวนด้วย จ่ายเงินทั้งทียังเหนื่อย
ช่างตีเหล็กบอกว่าทางการมีข้อกำหนด ครอบครัวใหญ่ที่อยากซื้อของใช้ที่ทำจากเหล็กจำนวนมากๆต้องมีหนังสือแจ้ง (หนังสือขออนุญาต) ถ้าเป็นคนของเมืองข้างล่าง ก็ต้องให้เซียงเซินกับหลี่เจิ้งรับรอง
ซ่งฝูเซิงกับกัวคนโตมองหน้ากัน กัวคนโตยังไม่เข้าใจ กลับเป็นต้าหลังที่เข้าใจขึ้นมาก่อน ความหมายของอาสามก็คือ เช่นนั้นพวกเราก็แยกซื้อเป็นสามร้านสิ มากันตั้งสามคน
สรุปคือ สุดท้ายซ่งฝูเซิงซื้อของไปเยอะมากจากร้านขายเหล็กสามร้าน
ของมันถูกนี่ เหล็กของที่นี่ถูกกว่าถงเหยาเจิ้นเป็นเท่าตัว
เขายังได้ซื้อหม้อให้บ้านตัวเองกับบ้านท่านย่าหม่าอีกด้วย
ตอนนี้บ้านตัวเองมีหม้อเหล็กใช้แค่ใบเดียว หม้อที่ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยใช้เป็นหม้อดิน
ซื้อหม้อดำใบใหญ่ให้บ้านท่านแม่ บ้านนั้นคนเยอะ จะได้ไม่ต้องใช้หม้อใบเดียวทำอาหาร อยากกินข้าวเร็วๆ ยังต้องรอคดข้าวออกมาก่อน ถึงจะเอาหม้อไปทำกับข้าวได้
น่าจะซื้อครบหมดแล้วนะ
ซ่งฝูเซิงซื้อของให้ท่านย่าหม่า แต่ไหนแต่ไรเขาไม่คิดจะเอาเงิน ให้ฟรีๆ อีกทั้งเขาเป็นฝ่ายเสนอให้ก่อน ไม่เคยเสียดาย ในใจรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าใครแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งหรือบอกเป็นนัยๆ ว่าอยากได้ของ เขาจะรู้สึกไม่ดี เขาเป็นคนแบบนี้มาตลอด
กัวคนโตก็มาบอกกล่าวกับซ่งฝูเซิงว่าอยากได้เงินสักหน่อย จะไปซื้อหม้อให้ที่บ้าน
ต่อมาก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร ผู้ชายทั้งสามยืนปรึกษากันบนถนน ลำบากลำบนกว่าจะได้มาทั้งที ซื้อหม้อไปเลยสิบใบ เกิดว่าบ้านอื่นก็ต้องการล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้วซื้อกลับไปเลยดีกว่า ไม่มีเหลือแน่นอน
สุดท้ายทั้งสามคนก็แยกกลับไปที่ร้านขายเหล็กทั้งสามร้าน สั่งทำของอีกรอบ บอกให้ช่างตีเหล็กทำ ‘แหลมๆ’ ยื่นม่านฟางให้ดู ความหมายคือ ให้ทำเหล็กปลายแหลมๆ แบบที่ว่า พอกลับไปก็จะเอาเหล็กแหลมพวกนั้นปูให้เต็มม่านฟาง
ช่างดูเอาแล้วกันว่าม่านหนึ่งอันต้องใช้เหล็กแหลมๆ เท่าไร ไม่ต้องประหยัด พวกเรามีเงิน เอาแบบถี่ๆ เลยนะ
ซ่งฝูเซิงต้องการซื้อของสิ่งนี้เพราะตรงประตูใหญ่ของบ้านจะเอาแต่ขุดหลุมก็ไม่ได้หรือเปล่า แบบนั้นเข็นรถไปมาจะทำอย่างไร คนเดินไปเดินมายิ่งแล้วใหญ่
แต่ไม่ว่าจะมองประตูอย่างไรก็รู้สึกว่าตรงนั้นมีช่องโหว่ใหญ่
วันดีคืนดีเดี๋ยวได้มีสัตว์ใหญ่เดินทะเล่อทะล่าเข้าประตูมา โดยเฉพาะประตูห้องของพวกเขาที่อยู่ตรงกับประตูใหญ่พอดี
ดึกๆ ดื่นๆ กำลังนอนหลับสบาย ไม่ได้ยินเสียงอะไร สัตว์ใหญ่ปีนขึ้นมาถึงเตียง คาบฝูหลิงกับเสี่ยวหมี่โซ่วไป จากนั้นก็แทะกินภรรยาของเขา เมื่อถึงตอนนั้นเขาปกป้องไม่ได้สักคน สู้ก็สู้ไม่ไหว ไม่ดีแน่
ต้องทราบก่อนว่าคนเราใช้ชีวิต ทำงานหาเงินเอาเป็นเอาตายก็เพื่อให้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าอุ่นๆ มีชีวิตที่ดี
ในความคิดของซ่งฝูเซิง เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน เขายอมจ่ายเงินจำนวนมาก ยอมทิ้งเงินไปเปล่าๆ แม้จะทำแล้วไม่ได้ใช้ก็ตาม ยังไงเขาก็ต้องระวัง ห้ามประมาทเด็ดขาด
สรุปคือ ของที่ทั้งสามคนซื้อเพิ่มมีถาดเหล็กกลม หม้อดำใบใหญ่สิบใบ รวมถึงเหล็กแหลมที่ใส่อยู่ในถุงขนาดใหญ่สามใบ ใช้เงินในตัวซ่งฝูเซิงหมดเกลี้ยง กระเป๋าสะอาดยิ่งกว่าใบหน้า
ทั้งสามคนหอบของเดินกลับ
เรื่องที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ พวกเขาเกือบถูกทางการจับแล้ว จะถูกจับหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของช่างตีเหล็กทั้งสาม
ช่างตีเหล็กทั้งสามคนสุมหัวกัน นั่งสนทนาอยู่ข้างถนน
“เอ๊ะ พวกเราไปแจ้งทางการดีไหม”
“เงินหายหรือไง”
“ก็ไม่นะ”
“เงินไม่หายจะไปแจ้งทำไมเล่า สมัยนี้ข้างนอกสู้กันวุ่นวาย มีโจรโผล่ออกมาจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว”
ขอบคุณที่จิตใจดี ขอบคุณช่างตีเหล็กคนสุดท้าย
ที่บ้านร้อนใจกันหมดแล้ว
ไม่มีโทรศัพท์ ก่อนมาบอกแค่ว่าสองวันก็กลับ นี่ปาเข้าไปสี่วันแล้ว
เวลานี้ลุงซ่งกับซ่งจินเป่าทำสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือยืนมองอยู่ริมแม่น้ำ
อันที่จริงซ่งฝูเซิงก็เคยพยายามแล้ว เขาลองทิ้งโน้ตไว้ให้เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงในพื้นที่พิเศษ
แต่ความสามารถเหนือใครของเขาทำได้แค่หยิบของออกมา แต่ใส่เข้าไปไม่ได้
ยังคำนึงถึงจุดนี้ได้ เขาตั้งใจเดินไปที่ห้องทำงานของลูกสาว ใช้กระดาษกับปากกาในพื้นที่พิเศษเขียนข้อความ
แต่ก็ไม่ได้ผล
เพราะพอเขาออกจากพื้นที่พิเศษ ในนั้นก็โยนกระดาษของเขาออกมา
ซ่งฝูเซิงโมโหจนกระทืบเท้า ทำไมใจแคบแบบนี้ ไม่ได้วางอย่างอื่นเสียหน่อย แค่ทิ้งข้อความก็ไม่ได้หรือไง
ไม่อย่างนั้นซ่งฝูเซิงจะคิดมาตลอดเหรอว่าคนที่ฉลาดสุดในบ้านคือลูกสาวของเขา
ตอนที่เขากังวลขึ้นมาอีกครั้งว่าคนที่บ้านจะเป็นห่วง อยากอาศัยช่วงที่เข้าห้องน้ำเข้าไปในพื้นที่พิเศษคิดหาทาง ก็เห็นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะรับแขก
ความสามารถเหนือใครของลูกสาวเขาคือวางของไว้ข้างในได้ ทิ้งข้อความเอาไว้
ในนั้นเขียนว่า
คุณพ่อ ถูกลักพาตัวไปขายที่ไหนหรือเปล่า ปลอดภัยดีไหมคะ ถ้าปลอดภัย ไปซื้อของที่อื่นอยู่ ก็หยิบไซลิทอลออกไปหนึ่งเม็ดนะคะ
ถ้าถูกลักพาตัวไปทำให้เสียเวลา ไม่ใช่ไปซื้อของ แต่ว่าปลอดภัย ไม่มีเรื่องอะไร ก็หยิบไปสองเม็ด
ถ้าอยู่ระหว่างทางกลับแล้ว อีกไม่นานก็ถึงบ้าน ให้หยิบออกไปสามเม็ด
ถ้าสถานการณ์แย่มาก ไม่ปลอดภัย จำเป็นต้องให้พวกเราไปช่วย ก็หยิบไซลิทอลออกไปให้หมด
จากซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูเซิงหยิบออกไปสามเม็ด
ในขณะเดียวกันซ่งฝูหลิงก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว นางไปบอกเฉียนเพ่ยอิงก่อน จากนั้นก็ปลอบหมี่โซ่ว แล้ววิ่งไปเกลี้ยกล่อมท่านปู่ที่ริมแม่น้ำ แต่ท่านปู่ไม่ยอมฟัง จะมองอยู่ริมแม่น้ำให้ได้
ยังมีอีกคนที่เป็นห่วงยิ่งกว่า นั่นก็คือท่านย่าหม่า
บุตรชายเดินทางไกลพันลี้ มารดาย่อมเป็นห่วง ทั้งยังไปซื้อวัวนมให้นาง
แต่ท่านย่าหม่างานยุ่งเหลือเกิน ความร้อนรุ่มในใจถูกกดลงไปทั้งแบบนี้
ช่วงไม่กี่วันมานี้ ตั้งแต่ขยายกิจการไปที่เมืองเฟิ่งเทียน ท่านย่าหม่าก็ไม่ใช่ท่านย่าหม่าคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ตกเย็นพอกลับมาล้มตัวนอนลงบนเตียง เหน็ดเหนื่อยเสียจนคิดเรื่องลูกสามแล้วก็ผล็อยหลับไป เหนื่อยเสียจนยกแขนไม่ขึ้น ตีสามครึ่งก็ต้องออกเดินทางตรงเวลาพร้อมท่านยายเถียนอีก
เดิมทีจิตใจกระวนกระวายที่ลูกสามยังไม่กลับมา แต่พอนางเข้าเมืองพบเจอใคร นางก็ยิ้มให้ทุกคน
วันที่ซ่งฝูเซิงกลับ ได้ผ่านเมืองเฟิ่งเทียน ตั้งใจรอมารดาอยู่บนถนนด้านนอกโรงเตี๊ยม
ท่านแม่ในสายตาของเขา ก็ไม่รู้ว่าดีใจมากเกินไปที่เขากลับมาหรือเพราะเห็นวัวนม เอาเป็นว่ายิ้มหน้าบาน วิ่งเร็วมาก ชูใบสั่งของวิ่งเข้ามาหาเขา
“ลูกข้า ลูกชายของข้า”