ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 261 เต็มไปด้วยเรื่องดีๆ
“ท่านแม่ อย่าเพิ่งลูกชงลูกชาย”
“ไอ๊หยา วัวของข้า” ฝ่ามือเดียวผลักซ่งฝูเซิงกระเด็นไปด้านข้าง “วัวนมตัวใหญ่ๆ ของข้า วัวนมใหญ่ๆ วัวนมใหญ่ๆ มองข้าสิ” สมจริงเหลือเกิน หลังจากที่แน่ใจว่าลูกหลานปลอดภัย พอเห็นวัวก็ดีใจเสียยิ่งกว่าเห็นลูกหลาน
ท่านย่าหม่าเข้าไปกอดคอวัว ตื่นเต้นดีใจเสียจนเกือบน้ำตาไหล
จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่สิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะวัวตัวเดียวอีกต่อไป นี่เป็นวัวของนางเอง ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากสองมือของนาง
“ท่านแม่ อย่าเพิ่งสนใจวัวเลย” ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ “ข้าหิว พวกเราไม่มีเงินซื้อข้าวกินด้วย”
“หืม?” ย่าหม่าปล่อยมือออกจากคอวัว จากนั้นก็ตีผัวะ
ไม่รีบพูดเล่า เงินหมด นางมี ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ
ไปๆๆ แม่จะเลี้ยงข้าวพวกเจ้าเอง
ขณะที่ท่านย่าหม่าพูดได้หันกลับไปมองโรงเตี๊ยม เล่นเอาต้าหลังตกใจ “ท่านย่า อย่าได้คิดเข้าไปกินข้าวที่นี่เชียวนะ อาหารที่นี่แพงจะตาย อีกอย่างเ ขาก็ไม่ให้ผูกวัวกับล่อไว้บนถนนเส้นนี้ด้วย แค่ให้ผ่านอย่างเดียว”
นั่นสินะ ตอนนี้เลี้ยงข้าวที่นี่ไม่ได้ โรงเตี๊ยมอยู่ด้านหลังแท้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไป
ขายกระเทียมเหลืองให้ที่นี่ ขนมเค้กก็ขายให้ที่นี่ อาหารหนึ่งจานจะต้องแพงมากแน่นอน
ท่านย่าหม่าหันกลับ สะบัดหัวสลัดความคิดที่อยู่ๆ ก็แวบเข้ามาในสมอง ‘สักวันหนึ่งข้าจะต้องเลี้ยงข้าวลูกหลานของข้าที่นี่ให้ได้ ก็แค่เข้าไป’ จากนั้นก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ ให้ซ่งฝูเซิงไปกับนาง บอกว่านางรู้ว่าที่ไหนมีร้านที่อาหารอร่อยและเจ้าของร้านก็ให้ผูกสัตว์ไว้หน้าร้านด้วย
ประจวบเหมาะเสียจริง ร้านเล็กๆ ข้างทางที่ไปเป็นร้านที่ซ่งฝูเซิงเคยพาเฉียนหมี่โซ่ว ภรรยา และลูกสาวไปมาก่อนหน้านี้ สุดท้ายไม่ได้กินเกี๊ยวน้ำที่ร้านนี้ ทั้งยังโมโหมากทีเดียวที่ทางร้านดูถูกพวกเขา ที่ถามว่าให้ใส่แผ่นแป้งเท่าไร
ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเอ้อร์ของที่นี่เป็นอะไร วันนี้ถามอีก แต่วันนี้เขาต้องเจอกับท่านย่าหม่า
ท่าย่าหม่าตบโต๊ะดังปัง สะเทือนไปถึงผ้าโพกผมที่อยู่บนหัว
นางบอกว่า หูมีปัญหาหรืออย่างไร หรือสมองเพี้ยนไปแล้ว ไปเรียกเจ้าของร้านออกมา แค่จะกินเกี๊ยวเนื้อ จะให้พวกนางเพิ่มบะหมี่น้ำให้ได้ ลาออกไปเถอะ มันจะเป็นเงินสักเท่าไรกัน ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว คิดว่าพวกนางไม่มีเงินจ่ายรึ เอามาหกชามใหญ่ ขอเนื้อล้วนๆ
เสี่ยวเอ้อร์ตกใจ ตะโกนเข้าไปในครัวว่าเกี๊ยวน้ำหกชามใหญ่
ท่านย่าหม่ากลับไม่ปล่อยเขาไป “ถ้าเจ้ากล้าถุยน้ำลายใส่ตอนยกออกมา” เพิ่งจะพูดออกมา โต๊ะอื่นๆ ก็พากันเงยหน้ามอง
เสี่ยวเอ้อร์มองปฏิกิริยาของทุกคน พูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้ ใครถุยน้ำลายกัน
ท่านย่าหม่าไม่ว่างสนใจเขา นางเองก็โมโหจนยืนขึ้น ยิ้มออกมาประหนึ่งเป็นการแสดงเปลี่ยนหน้า “มือปราบลาดตระเวนอยู่ไหน”
มือปราบอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร นางหันไปทักทาย
และก็ได้รับเกียรติพอสมควร มือปราบพร้อมลูกน้องสี่คนพยักหน้าให้ท่านย่าหม่า
“นี่คือลูกชายของข้า หลานชายของข้า รู้จักกันไว้นะ” ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะสนใจดูหรือไม่ แค่อยากแนะนำให้มือปราบคุ้นหน้าคุ้นตาไว้
ซ่งฝูเซิง “…”
แค่ไม่อยู่บ้านไม่กี่วัน ทำไมท่านแม่รู้จักคนไปทั่ว แม้แต่มือปราบยังรู้จัก
นึกถึงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ ของหายเหรอ”
ท่านย่าหม่าบอกว่า เปล่าเสียหน่อย นางเองก็ยังสงสัย
อ่อ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พั่งยาสอนมาว่า ยอมเสียเงินเล็กน้อยก็ต้องขอรู้จักคนที่มีประโยชน์ให้ได้ เข้าออกในเมืองบ่อยๆ อีกหน่อยจัดการเรื่องต่างๆ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเจรจา จะให้ไปทำความรู้จักตอนนั้นแล้วเรียกใช้งานเลยก็ไม่ดี ทางที่ดีเริ่ม ต้นจากทำความรู้จักกันก่อน ให้คุ้นหน้าคุ้นตากันไว้
จากนั้นก็เคยบังเอิญเจอมือปราบคนนั้นในโรงเตี๊ยม ต่อมาตอนเดินอยู่ริมถนนก็เคยเจอ จึงแบ่งขนมเค้กที่จะส่งให้โรงเตี๊ยมทางตอนใต้ของเมืองไปให้หน่อย
ปากก็บอกว่าของขายเหลือ ขออย่ารังเกียจกัน พวกเจ้ารับราชการก็ลำบาก อันที่จริงยุคสมัยนี้คนที่ทำงานออกข้างนอกบ่อยๆ ล้วนไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายก็พอรู้อยู่ในใจว่าขนมเค้กมีราคาแพง และแล้วก็ได้รู้จักกันเพราะแบบนี้
ซ่งฝูเซิง “…” หยิบกระดาษที่ม้วนอยู่ในมือมารดามาดู เอาเถอะ ไม่ยุ่งแล้ว อ่านไม่ออก
มีวงกลม กากบาท แต้มจุดด้วย
และก็ไม่ได้ถาม ดูท่านแม่ของเขาสิ รู้จักรับงานใหญ่แล้ว เกี๊ยวน้ำหกชามใหญ่ถูกยกมาที่โต๊ะพอดี ซ่งฝูเซิงหิวไม่ไหวแล้ว คนละสองชาม ทั้งสามคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ท่านยายเถียนมองดูเหมือนมองลูกหลานตัวเอง บอกให้กินช้าหน่อย จากนั้นก็ถือกระเป๋าน้ำไปขอน้ำจากเสี่ยวเอ้อร์
คราวนี้เสี่ยวเอ้อร์ไม่กล้ามีปัญหาอีก คิดในใจ มิน่ายายคนนั้นถึงกล้าพูดจาต่อปากต่อคำ รู้จักกับมือปราบเสียด้วย เสี่ยวเอ้อร์จึงพาท่านยายเถียนไปกรอกน้ำ
ท่านย่าหม่ามองต้าหลัง ถามหลานชายคนโตว่าหนาวหรือเปล่า พูดจาใจกว้างพอสมควร บอกว่าครั้งนี้พอเจ้าได้ค่าแรงย่าจะไม่เก็บแม้แต่เหวินเดียว จะทำเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้ จากนั้นก็หันไปถามซ่งฝูเซิง “เจ้าสาม พวกเจ้าซื้ออะไรกันมา” นางชี้ไปยังของที่วางอยู่เต็มคันรถ มีเสื่อคลุมไว้
ซ่งฝูเซิงอธิบายอย่างกระชับ กัวคนโตก็กระซิบบอกด้วย
แต่กลับเห็นย่าหม่ายืนขึ้น ทั้งสามคนคิดว่านางเจอคนรู้จักอีกแล้ว ย่าหม่าพูดว่า “แย่แล้ว ข้าลืมไปเสียสนิท จ่ายเงินไปแล้วด้วย พวกเจ้ากินไป เดี๋ยวข้ามา”
เดี๋ยวมาจริงๆ ไปแค่สองเส้นถนน
ใช้เข่งเก่าๆ ปิดด้วยเสื่อผุๆ แบกกลับมาวางลงข้างโต๊ะ
ต้าหลังกินเกี๊ยวน้ำพลางแง้มดู อะไรน่ะ ท่านย่าของเขาบอกว่าเกือบลืมไป จ่ายเงินไปแล้วแสดงว่าสั่งไว้ก่อนหน้านี้
ชั่วขณะที่เปิดออก “แค่กๆๆ” ซ่งฝูเซิงสำลักทันที
กัวคนโตยกชามกำลังซดน้ำ เขาเองก็งง
เห็นของที่อยู่ในเข่งวาววับ มีดขนาดใหญ่สี่เล่ม
ท่านย่าหม่ายังพูดอีกว่า พวกเจ้าซื้อของทำจากเหล็กพวกนั้นมาก็ถูกแล้ว
เพราะหลานสาวคนเล็กของนางพูดไว้อยู่ประโยคที่นางรู้สึกว่ามีเหตุผล
นั่นก็คือ ‘ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น เราต้องมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เพื่อการใช้ชีวิต ต้องเสียเงินเท่าไรก็เหมาะสมแล้ว หากคนเราตายไป ยังจะสนเรื่องเงินทำไมอีก ต่อให้เก่งขนาดไหนแล้วไงล่ะ ดังนั้นจะมามัวประหยัดเงินไม่ได้’
เห็นหรือยัง นางจะเอามีดพวกนี้ให้กลุ่มส่งขนมเค้ก กลุ่มละหนึ่ง เอาไว้ป้องกันตัว พวกเราไม่ไปแย่งไม่ไปปล้นใคร แต่ถ้าระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจอคนเลวก็ไม่ต้องกลัว เตรียมไว้ให้พร้อมก่อน เมื่อถึงตอนนั้นอย่างน้อยก็ไม่ต้องลนลาน ชักมีดออกมาสู้
ฟังย่าหม่าพูดแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความคิดของย่าหม่าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่จะให้นางควักเงินซื้อมีดที่ไม่รู้จะได้ใช้หรือไม่ เอาแค่เรื่องที่พวกซ่งฝูเซิงซื้อของทำจากเหล็กพวกนี้มา นางคงบ่นยืดยาวไม่รู้จบแล้ว
นางคงพูดว่า นี่ใช้เงินไปเท่าไรกันเนี่ย ยังเหลือเงินหรือเปล่า ในบ้านยังมีเรื่องต้องใช้เงินอีกเยอะนะ อย่าบอกข้านะว่า เผื่อมีสัตว์ป่าหิวโหยลงมาจากเขา เจ้าคิดว่ามันอยากลงมานักรึ ถ้าคิดอย่างเจ้าว่า เมื่อก่อนพี่เขยของเจ้าก็อยู่ริมเขา ใครๆ เขาก็อาศัยแถวภูเขาทั้งนั้น แบบนั้นไม่ตายกันเป็นร้อยรอบแล้วรึ เจ้าพวกล้างผลาญ
ทว่าบัดนี้ ท่านย่าหม่าไม่ทำเช่นนั้น คนเรายิ่งมีเงินก็ยิ่งเป็นคนที่หาเงินเก่ง ยิ่งรักชีวิต นางคิดได้ก่อนแล้ว นางมีแต่จะรู้สึกว่า ไอ๊หยา ข้าหาเงินเก่งขนาดนี้ วันดีคืนดีเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำยังไง ฟ้าถล่มเลยนะ
ในหมู่บ้านต่างฮือฮา ‘โจร’ กลับมาแล้ว ชาย หญิง เด็ก คนแก่ต่างออกมากันหมด
ซ่งฝูเซิงแตกต่างจากคนอื่นสำหรับพวกเขา
เป็นเสาหลัก
ทุกคนต่างไม่กล้าคิดว่าหากวันหนึ่งเสาหลักล้มลง วันข้างหน้ายังจะสนุกสนานมีรสชาติแบบนี้ไหม
ซ่งฝูเซิงอุ้มหมี่โซ่วขึ้นมากอดหอม ยกตัวขึ้นท่ามกลางคนที่มารุมล้อม
ช่วยไม่ได้ เด็กน้อยพอเห็นเขาก็ร้องไห้พลางพูด “ท่านลุง ครั้งหน้าไปข้างนอกพาหมี่โซ่วไปด้วยได้ไหม คิดถึง นอนไม่หลับเลย”
ซ่งฝูหลิงเองก็เกือบร้องไห้ นางพูด “ท่านย่า ท่านว่าไงนะ”
“เก้าก้อน ขนมเค้กสิบหกนิ้วเก้าก้อน เร่งพวกเราให้รีบเอาตัวอย่างแบบสามชั้นไปให้ด้วย”
เก้า เก้าก้อนเหรอ ต้องเอาไปส่งวันมะรืน ซ่งฝูหลิงเงยหน้ามองฟ้า เพิ่งจะมองท้องฟ้าได้ไม่เท่าไร ท่านยายกัวที่เดิมทีควรกลับมาเร็วกว่าท่านย่าหม่า เพราะถงเหยาเจิ้นใกล้มาก ทว่าพอนางกลับมาก็ตะโกนว่า “แม่หนู หนึ่งก้อน หนึ่งก้อน”
“หืม?”
“ขนมเค้ก สามชั้น อันที่ใหญ่สุดสามชั้นนั่นน่ะ”
ทุกคนต่างหยุดคุยกับซ่งฝูเซิง พอหยุดก็เห็นเก่อเอ้อร์นิววิ่งออกมาจากบ้าน “ข้าเองก็ขายได้ยี่สิบก้อนนะ เอาพรุ่งนี้” ที่นางไม่ได้ออกมาพูดคุยกับซ่งฝูเซิงทันทีตั้งแต่เขากลับมา เป็นเพราะพอเห็นพวกซ่งฝูเซิงกลับมานางก็ก่อไฟต้มบะหมี่อยู่ในบ้าน
ตรงตีนสะพาน ท่านยายหวังพูดกับสะใภ้ใหญ่ของลุงซ่ง “เจ้าเข็นรถไปนะ”
จากนั้นนางก็ชูใบสั่งของ พลางวิ่งดุ่มๆ ตะโกน “พี่ข้า กลับมาบ้านหรือยัง สี่ก้อน ขนมเค้กวันเกิดสี่ก้อน”
ท่านย่าหม่ายืนอยู่ข้างวัวนมตัวใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาพลางหัวเราะเสียงดัง
ท่าทางประหนึ่งว่าเวลานี้ใครพูดอะไรนางก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น
อย่ามากวน ขอนางมีความสุขก่อน