ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 27 ใจแห้งหายไปสี่กิโล
ท่านย่าหม่าเปิดม่านหน้าต่างรถ นางแหงนหน้ามองตลอด
มองถนนสายนั้น คิดรำพึงในใจ ถนนสายนี้ เมื่อก่อนได้ออกมาเดินบ่อยๆ แต่ต่อไปคงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
มองถนนเส้นทางแคบทางเข้าหมู่บ้านต้าจิ่งชุน คิดในใจ เมื่อก่อนเวลาบอกว่ากลับบ้าน ก็คือการกลับบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าเดินทางไปไกลแค่ไหน บ้านจะทรุดโทรมขนาดไหน แต่ถ้าฟ้ามืดก็ต้องกลับบ้าน แต่ต่อไปก็ไม่รู้ว่าบ้านคือที่ไหนแล้ว
มองผืนดินที่เพิ่งไปเก็บข้าวโพดมา ถ้าเป็นเมื่อก่อน อย่าว่าแต่ทิ้งที่ดินสิบสามไร่เลย แค่ใครมาเอาเปรียบบนที่ดินของนางเพียงเล็กน้อย นางก็กล้าที่จะตอบโต้กับคนนั้นจนถึงที่สุด ต่อไปไม่มีแล้ว ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน
ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าอับจนหนทางแล้วจริงๆ
ทำไปก็เพื่อลูกหลาน ไม่มีลูกหลานจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม? ถ้าแบบนั้นก็ยิ่งไม่มีความหวัง ดังนั้น ขอทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้กับพวกท่านก่อนแล้วกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งทรมานจิตใจ หญิงชราเอามือกุมหน้า น้ำตาไหลลอดลงมาตามนิ้วมือ สักพักเสื้อผ้าด้านหน้าก็เปียกชื้น บ่าสั่นคลอนเพราะพยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ แล้วก็มีเหมือนเสียงสะอึกออกมาจากทรวงอก
เฉียนหมี่โซ่วเขยิบตัวไปด้านหน้า เหลือบมองท่านย่าหม่า มั่นใจว่านางกำลังปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นว่ากำลังทำอะไร เขาจึงใช้มือเล็กๆ ตีเรียกพี่สาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ซ่งฝูหลิงเงยหน้าขึ้นมอง
เฉียนหมี่โซ่วบุ้ยคางไปทางท่านย่าหม่าเพื่อบอกพี่สาว ท่านดู ย่าของท่านร้องไห้แล้ว
ซ่งฝูหลิงถอนหายใจในใจ ไม่เพียงจะไม่หันไปมองย่าของนาง ยังเบี่ยงตัวหันหน้าไปทางประตูแทน
นางคิดแค่ว่า ปล่อยให้ย่าร้องไห้ให้เต็มที่เถอะ แล้วก็ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินจะดีกว่า
เพราะในเวลาที่คนรู้สึกเศร้าโศกเสียใจมากที่สุด การปลอบใจที่ดีที่สุดที่คนอื่นจะมอบให้ได้คือการไม่ไปรบกวน นางก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
แบบนี้ท่านย่าจะได้ไม่ต้องหนักใจในการร้องออกมา ร้องไห้ให้เต็มที่ ไม่ว่าจะคิดได้หรือไม่ ก็ต้องมองไปที่อนาคตข้างหน้า
ซ่งฝูหลิงแอบใช้มือขวานวดแขนข้างซ้ายและใช้มือซ้ายนวดแขนข้างขวา สุดท้ายนางก็นำมือทั้งสองมาประกบกัน ออกแรงให้สิบนิ้วมาประชิดกัน ปรากฏว่ามือยังสั่น วิธีนี้ไม่ได้ผล นางจึงใช้ขาทั้งสองข้างหนีบมือเอาไว้
มือทำไมถึงสั่น? หรือเพราะแกะข้าวโพดจนเหนื่อย
ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ต้องพยายามมองในแง่ดี นางครุ่นคิดในใจ
แค่การแก่งแย่งกันเมื่อครู่ หากนางอยู่ในยุคปัจจุบันและมีเรี่ยวแรงเหมือนเมื่อกี้ คงไม่มีใครสู้ได้
ตัวอย่างเช่น การร่วมแสดงในรายการทางโทรทัศน์ ที่มีการจับเวลาให้คนไปแย่งของในซุปเปอร์มาร์เก็ต แย่งมาได้มากเท่าไรก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของตนเอง คงเป็นเหมือนรายการแบบนั้น หากนางใช้แรงเหมือนเมื่อครู่ก็คงชนะแล้ว
หากให้คนโบราณยุคนี้เข้าร่วมรายการโดยใช้เรี่ยวแรงเหมือนการเก็บข้าวโพดนั่น ชั้นวางของในห้างก็คงถูกรื้อกระจุยไปหมดแน่
คิดถึงตรงนี้ ปากก็เผลอยิ้มออกมา
แต่การเผลอยิ้มในตอนนี้ช่างไม่ถูกจังหวะ
ท่านย่าหม่าร้องไห้ไปสักพัก เมื่อเอามือลง ก็เห็นหลานสาวคนเล็กกำลังยิ้ม ทำให้นางโมโหขึ้นมาทันใด
“ข้าร้องไห้ เจ้าเลยหัวเราะ?”
“เอ๊ะ?” ซ่งฝูหลิงถึงกลับตกใจ หันหน้าไปมองย่าของนาง
“ยังจะเอ๊ะอีก เจ้าเด็กคนนี้นี่ ซื่อบื้อหรืออะไร ตอนนี้มีแต่เรื่องหนักอึ้งในใจ เจ้าหัวเราะอะไรกัน ตอนนี้มีอะไรที่ทำให้เจ้าหัวเราะได้? เรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าสนใจถึงขนาดไม่คิดถึงเรื่องครอบครัวตนเอง เจ้ายังมีความสุขอยู่รึ? ”
“เปล่านะ ข้าไม่ได้หัวเราะ”
“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือไง!”
“ฟ้ามืดขนาดนี้ ท่านจะมองเห็นชัดเจนได้อย่างไร บางทีอาจมองผิดไปก็ได้”
“ข้าเห็นชัดเจน!”
“ก็ได้ ข้าผิดไปแล้ว”
อยู่ๆ ก็ยอมรับผิดอย่างกระทันหัน
“นี่เจ้าหมายถึงอะไร”
“โอ้ย ท่านย่า ท่านอย่าได้ถามได้ไหม? ท่านซักไซ้มากไปแล้ว ข้าหัวเราะก็จริงแต่ก็ไม่ได้หัวเราะเยาะท่าน ท่านอยากให้ข้าพูดอะไร” นิ่งไปสักพัก ซ่งฝูหลิงก็พูดเสริมขึ้นมา “ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้าพูดไปแล้วไง”
“บอกว่าผิดไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เจ้ายังหัวเราะเยาะข้า!”
“ท่านย่า ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ขัดแย้งกันไปมา ท่านร้องไห้ ข้าจะหัวเราะได้อย่างไร ข้าหัวเราะอาจจะเป็นเพราะกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ก็ได้ มีคำหนึ่งที่บอกว่า ในความทุกข์ก็ต้องพยายามทำตนให้มีความสุข การหัวเราะไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องมีความสุขเสมอไป อาจจะมีความทุกข์บางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาก็ได้”
ท่านย่าหม่าถลึงตาใส่ แต่ละอย่างที่พูดมันหมายถึงอะไรกัน “ในความทุกข์จะมีความสุขได้อย่างไร เจ้าหลอกใครกันแน่”
ซ่งฝูหลิงเงียบกริบไม่พูดต่อแล้ว
นางวางแผนไว้เองว่าให้ย่าได้ด่าสักสองสามประโยคเดี๋ยวก็จบ ได้ระบายอารมณ์โกรธออกมาก็จะดีขึ้น และจะได้ไม่มีผลกระทบกับการเดินทาง
คนธรรมดาๆ ที่ไหนกันจะพูดคุยกันแต่เรื่องหัวเราะหรือไม่หัวเราะ นี่แสดงว่าท่านย่าของนางอยากใช้ประเด็นนี้กลบเกลื่อนเรื่องอื่น
แต่นางไม่ให้โอกาสนั้นหรอก
ท่านย่าหม่าหรี่ตามอง พบว่าหลานสาวคนเล็กที่อยู่ตรงหน้าช่างแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
ก่อนนี้ หลานสาวคนเล็กชอบความสบาย แต่ซื่อสัตย์ และมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง ตั้งแต่เล็กย่าเป็นคนซักผ้าอ้อมให้ ยังไม่เคยดูแลหลานชายแบบนี้เลยสักคน
แต่ดูตอนนี้สิ นั่งห่างจากนางตั้งไกล นางร้องไห้ขนาดนั้นก็ไม่ปลอบใจ แค่พูดเพียงสองประโยคยังไม่ทันได้ด่าก็ทำคอเชิดเชียว เหมือนกับลูกสะใภ้สามที่กลับมาในครั้งนี้ ก็แสดงท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เหล่าหนิวคอยคุมรถลากเทียมล่อนี้ เขารู้สึกว่าแผ่นหลังของตนเองกำลังตึงจนแข็งทื่อ ทำไมบนรถถึงไม่มีการเคลื่อนไหว? ดูไม่เหมือนกับกำลังมีการด่าว่ากันสองสามประโยค
แท้จริงแล้วท่านย่าหม่าไม่สบายใจ ตรงหน้าก็ไม่มีใคร เลยต้องหาเรื่องคุณหนูน้อย
เฉียนหมี่โซ่วจ้องมองซ่งฝูหลิง เขียนคำว่า “นับถือ” ตัวใหญ่ไว้ในใจ อารมณ์พี่สาวของเขาเหมือนเมื่อสักครู่ คนที่อ้าปากเถียงดูเหมือนไม่ใช่นาง ดูปกติ อารมณ์ก็ดีเกิน
ท่านย่าหม่าเริ่มขยับตัวควานหาสิ่งของไปทั่วทิศ นางนำกะละมังที่ซ่งฝูหลิงขนมาตอนออกเดินทางมาเมื่อครู่ออกมา
หลังจากนั้นก็สะบัดเสื้อผ้าลงไป แล้วใช้ปลายเท้าเลื่อนกะละมังไปข้างหน้าซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงก้มหน้าลงมอง ข้าวโพดมาจากไหนกัน เข้ามาอยู่บนรถคันนี้ได้อย่างไร ย่าของนางคงไม่ได้มีเวทมนตร์มาตั้งแต่เกิดใช่ไหม ทำไมร่างกายสามารถแอบซ่อนของได้มากมายเพียงนี้
“ปอกเปลือก ปอกเสร็จแล้วก็เอาข้าวโพดสองฝักมาถูกัน ถูพวกมันให้เป็นเม็ดเล็กๆ”
ซ่งฝูหลิงหันไปมองย่าของนาง ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ขั้นตอนเป็นแบบนี้? ไม่ต้องตากแดด? ท่านแน่ใจนะว่านี่ไม่ได้เป็นการลงโทษนางที่นางหัวเราะเมื่อครู่?
ท่านย่าหม่าเหมือนจะคาดเดาได้ กลอกตาพูดด้วยสีหน้าดุดัน “สถานการณ์แบบนี้จะเอาไปตากแดดตรงไหน จะแขวนเป็นพวงไว้บนรถให้คนมาแย่งกันหรือไง ถูให้เป็นเม็ดแล้วเก็บใส่ถุงไว้ก่อน พรุ่งนี้ตอนเที่ยงค่อยหาโอกาสเปิดมาผึ่งแดด”
“อ๋อ” ซ่งฝูหลิงยื่นมือเล็กสองข้างที่สั่นเทาออกมา และก้มหน้าลงถูข้าวโพดอย่างจริงจัง
เฉียนหมี่โซ่ว เขานึกว่าพี่สาวเขาจะยังคงเถียงต่อไป เฮ้อ
เพิ่งแอบเงยหน้าขึ้นมอง ท่านย่าหม่าก็จับจ้องมาที่เขา
เฉียนหมี่โซ่วแววตาเป็นประกาย ด้านหนึ่งสบตากับเหล่าไท่ไทไป อีกด้าน เขาเอามือจับสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลังไว้แน่น ขนาดจับไว้แน่นก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจึงนำหน้ากากผีดิบที่พี่สาวให้สวมใส่บนใบหน้าไว้
ท่านย่าหม่า “…”