ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 28 ความสามารถหลายด้าน
ในบรรดาหน้ากากพวกนี้ ซ่งฝูหลิงชอบหน้ากากผีดิบมากที่สุด
เพราะเสียเงินไปเยอะ
เพราะเหมือนจริงมากที่สุด
มันเป็นรูปแบบไหนนะ?
ใบหน้าบนหน้ากากเหมือนโดนเลือดนิดหน่อย เพื่อความสมจริงให้ดูเหมือนกำลังเน่าเปื่อย บนหน้ากากยังวาดหนอนตัวอ้วนสีขาวหลายตัวติดอยู่บนใบหน้า ดวงตาสองข้างมีสีดำเงางาม ไม่มีลูกนัยน์ตาขาว คิ้วดกและสั้น และด้านล่างยังมีริมฝีปากใหญ่สีแดง
แต่เดิม ตรงริมฝีปากสีแดงยังมีฟันใหญ่หลายซี่ ก่อนที่ซ่งฝูเซิงจะนำมันออกมาจากพื้นที่พิเศษ เขารู้สึกไม่ดี จึงถอดฟันออกไป มิเช่นนั้นจะเหมือนจริงมาก
แค่หน้ากากอันนี้ เฉียนหมี่โซ่วหยิบขึ้นมาใส่แบบกะทันหัน ไม่ส่งเสียงหรือเอ่ยอะไรก่อน แค่จ้องมองท่านย่าหม่าสองรอบก็สวมใส่ทันที
แค่คิดก็รู้ว่า หากท่านย่าหม่าถูกทำให้ตกใจกะทันหันเช่นนี้ จะมีสภาพเยี่ยงไร
ตอนนั้นเองหน้านางเริ่มซีดเผือด ตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง ลิ้นไม่สามารถขยับได้ พูดอะไรออกมาไม่ได้
เมื่อก่อนท่านย่าหม่าคิดมาตลอดว่า คนที่ถูกทำให้ตกใจ รวมทั้งตัวนางเองจากประสบการณ์สิบกว่าปีที่ผ่านมา น่าจะต้องส่งเสียงร้องออกมาก่อน
แต่ขณะนี้นางเพิ่งเข้าใจว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนั่นคือตอนที่ยังไม่ตกใจมาก แต่พอตกใจมากๆ เสียงจะค้างอยู่ในลำคอ ไม่สามารถออกเสียงได้ ลิ้นก็แข็ง
ตอนนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เด็กน้อยสวมหน้ากากนั่นอยู่ นางไม่กล้าเหลือบไปมองอีกเลย แต่นางอยากเรียกหลานสาวคนเล็กให้ช่วยลูบหลังหรือเทน้ำให้หน่อย ภาวนาให้มองมาทางนางที อย่าให้นางตาเหลือกจนหมดสติไปก่อน
แต่ปัญหาคือ นางส่งเสียงออกมาไม่ได้ หลานสาวคนเล็กกำลังทำตามคำสั่งนางด้วยการก้มหน้านวดข้าวโพดอย่างตั้งใจ ตอนที่ควรจะซื่อสัตย์ก็ไม่ซื่อสัตย์ ตอนที่ควรจะเชื่อฟังก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เอะใจเลยว่านางถูกเฉียนหมี่โซ่วแกล้งทำให้ตกใจเพราะนางก้มหน้าอยู่ตลอด
เฉียนหมี่โซ่วสวมหน้ากาก ตอนนี้เขาหันไปมองท่านย่าหม่า ครุ่นคิดในใจ เอ๊ะ? ท่านย่าเป็นอะไรไป? ดูเหมือนไม่ปกติ แต่ก็ดีแล้วที่ไม่มีอะไร ยังไงก็อย่าส่งเสียงออกไปดีกว่า มิเช่นนั้นอาจโดนด่าได้
เด็กน้อยลืมไปแล้วว่าตอนที่ซ่งฝูหลิงสวมหน้ากากนี้ จากหน้ากากสี่ใบที่มี เขากลัวอันนี้มากที่สุด เกือบจะทำให้เขาตกใจจนฉี่ราดเลย
เพราะว่าเขาตกใจไม่น้อย ซ่งฝูหลิงจึงยกหน้ากากอันนี้ให้เขา เมื่อเขาใส่ก็จะได้ไม่เห็นใบหน้าของตัวเอง และไม่ต้องกลัวอีก
ท่านย่าหม่าคอแห้ง มือสั่นอยู่เกือบครึ่งนาที นางใช้แรงที่มีจับข้าวโพดฟักหนึ่งโยนใส่ซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงเงยหน้า อาศัยแสงจากตะเกียงมอง ไอยา!
หลังจากนั้นก็โยนข้าวโพดสองฝักทิ้ง รีบมาลูบอกให้ท่านย่าหม่า “ท่านย่า ท่านเป็นอะไร”
ท่านย่าหม่าคิดในใจ นับว่าข้ายังมีโชค มิเช่นนั้นคงไม่ได้ยินเสียงเจ้าถามข้าอีก
ซ่งฝูหลิงเห็นท่านย่าแค่หลับตา แต่มือชี้ไปทางเฉียนหมี่โซ่ว นางจึงมองตามไป “ก่อนที่เจ้าจะใส่ทำไมไม่บอกก่อน เจ้าดูนี่สิ ทำให้ท่านย่าตกใจหมดแล้ว!”
เฉียนหมี่โซว “อืม?”
ซ่งฝูหลิงหยุดสั่งสอนน้องชายคนเล็ก นางรีบนำกระติกน้ำร้อนที่แบกไว้ด้านหลังออกมา เทน้ำลงบนฝากระติก
นางคิดว่าหากดื่มน้ำแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น รอสักพักก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นมา นางจะนำยาโรคหัวใจออกมาสองเม็ดให้หญิงชรากิน
ริมฝีปากสั่นของท่านย่าหม่าสัมผัสเข้ากับฝาน้ำ น้ำก็ลวกปากของนาง เลยยิ่งทำให้ปากของนางสั่นมากกว่าเดิม
นางไม่ทราบว่าหลานสาวคนนี้นำน้ำร้อนมาจากที่ไหน นางก็อยากถามหลานสาวเหมือนกัน ตอนเจ้ายังเล็กข้าป้อนเจ้าแบบนี้? เอาน้ำร้อนมาป้อน กะจะลวกให้ตายหรือไง
“ขอโทษด้วยท่านย่า ข้าจะเป่าให้ท่านนะ” นางยังไม่ทันเป่า เฉียนหมี่โซ่วก็นำถุงน้ำของเขายื่นมาให้
ท่านย่าหม่าเหล่มองก็ถึงกับเอามือกุมหัวใจอีกครั้ง
ซ่งฝูหลิงนำถุงน้ำให้ย่าของเธอดื่มแล้วก็เอ่ยขึ้น “ถอดออกซะ ถอดออกก่อน!” หลังจากนั้นก็ปลอบท่านย่าหม่า
“ท่านย่า นั่นเป็นของปลอม พ่อของข้าซื้อมาให้ข้าใส่เล่น เพราะเห็นว่าราคาถูกจึงซื้อมาสี่อันทั้งที่ยังวาดไม่เสร็จ ในเมืองใหญ่เขาก็ใส่กันแบบนี้ ท่านอย่าไปคิดในทางที่ไม่ดีและไม่ต้องกลัว ในหนังสือก็เขียนบอกไว้ แชมัน อยู่ที่ไหน อยู่ในสถานที่ที่ไม่ห่างไกลจากพวกเรามาก ในสถานที่นั้นคนไล่ผีจะสวมหน้ากากไว้ เมื่อท่านได้เห็นบ่อยขึ้น เดี๋ยวก็จะคุ้นเคยไปเอง”
ท่านย่าหม่าส่ายหน้า นางไม่สามารถจะคุ้นเคยได้ นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทิ้งมันไปเถอะ”
“ท่านย่า ทิ้งไม่ได้ ท่านดูยุงกัดข้าสิ สักพักข้าก็ต้องใส่เหมือนกัน ข้าให้ท่านใส่อันหนึ่งแล้วนำผ้ามาพันคอ ท่านรู้สึกดีแล้วก็ลุกขึ้นมาดู พวกลุงใหญ่เดินเท้า ยุงเยอะจนแทบจะลืมตาขึ้นมาแทบไม่ได้ ของมีประโยชน์แบบนี้จะทิ้งไปได้อย่างไร ตอนนี้พวกเราพกสิ่งของมาเยอะแยะเผื่อจำเป็นต้องใช้ ต้องนำของที่มีทั้งหมดนำมาใช้ประโยชน์ ที่มีอยู่นี่ก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว”
ซ่งฝูหลิงพูดจบ นางก็ยื่นมือไปเอาหน้ากากจากเฉียนหมี่โซ่วและยัดใส่มือย่าของนาง พร้อมเงยหน้าถาม “ท่านลองลูบดู นี่ของปลอม ยังน่าตกใจอยู่ไหม?”
ท่านย่าหม่า“…”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ท่านย่าหม่าเปลี่ยนมาสวมหน้ากากผีดิบ นางกับเฉียนหมี่โซ่วเลยเกิดอาการอย่างเดียวกัน มันน่ากลัวมากจนไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากัน
เฉียนหมี่โซ่วเปลี่ยนหน้ากากเป็นหน้ากากโจ๊กเกอร์ ส่วนซ่งฝูหลิงเป็นหน้ากากสีขาว
นอกจากนี้ยังวางแผนไว้ว่าผ่านเส้นทางถนนที่ไม่ดีนี้ไปก่อน เพื่อที่จะลงไปเอาข้าวโพดเพราะตอนนี้ถูจนได้เป็นเม็ดแล้ว และจะได้นำไปให้เปี่ยวเกอ ที่คอยเคลื่อนรถให้ท่านป้า
ในตอนนั้นเอง ป้ารองของซ่งฝูหลิงก็พาซ่งจินเป่ามา
“ท่านแม่ ให้จินเป่าขึ้นรถเถอะ จินเป่าของพวกเราเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ป้าจูซื่อคิดในใจ คอยหาเวลาแอบเตือนหญิงชราให้บอกซ่งฝูหลิงลงจากรถ
เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ขนาดเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ยังต้องลงมาเดิน นางยังทำตัวเหมือนคุณหนูนั่งอยู่ตรงนั้น ต้ายากับเอ้อร์ยาเดินจนเท้าพองมีเลือดไหล ก็ยังต้องเดินต่อไป ทั้งที่ไม่มีรองเท้าดีๆ สักคู่ อย่างน้อยพั่งยาก็ยังมีรองเท้าดี
แต่นางไม่สามารถพูดตรงๆ ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการล่วงเกินครอบครัวน้องสาม กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผิดใจกัน ต้องให้ท่านย่าหม่าเป็นคนบอก ครอบครัวน้องสามถึงจะไม่ถือโทษโกรธ
นอกจากนี้ยังมีเฉียนหมี่โซ่ว หากท่านย่าหม่าคอยแต่เอาใจใส่น้องสามและห่วงใยพั่งยา คนที่จะลงจากรถก็คงจะเป็นเด็กน้อยแซ่เฉียนคนนั้น
“ท่านแม่? ท่านดูเท้าของจินเป่าสิ เดินจนเท้าแตกหมดแล้ว” ช่วงที่พูดนางก็เปิดม่านรถ
แต่จูซื่อไม่คาดคิดเลยว่าข้างในมีผีนั่งอยู่สามตัว นางเรอออกมาเป็นเสียงหนึ่งครั้ง ก่อนร่างกายจะอ่อนปวกเปียก ล้มตัวลงข้างรถจนเกือบถูกล้อรถวิ่งทับ
ทั้งขบวนต่างพากันโกลาหล
เฉียนเพ่ยอิงปลดถุงน้ำออกมาราดลงไปที่ใบหน้าของจูซื่อเพื่อให้นางรู้สึกตัว
ซ่งฝูเซิงใช้โอกาสนี้พูดกับทุกคนอีกรอบ อย่ากลัว สี่อันนี้เป็นเพียงแค่หน้ากาก หน้ากากนี้เขาอธิบายความเป็นมาของมันตั้งแต่แรก เขาเริ่มรำคาญมาก ต่อไปไม่ต้องกลัว ทำใจให้กล้าหน่อยและไม่ต้องมาถามอีก หากใครกลัวก็อย่าไปมอง
แต่เรื่องของหน้ากากยังไม่จบดี เกวียนเทียมวัวควายของครอบครัวลุงใหญ่ก็ตามติดมาแล้ว
ป้าใหญ่ดึงซ่งฝูเซิงมาคุย เกวียนบ้านของนางต้องลากอาหารและคนอื่นๆ รวมถึงลุงใหญ่จึงไม่สามารถพาหลานๆ ไปด้วยได้ พวกเจ้ามีรถลากเทียมล่อสามคัน ขอให้พวกหลานๆ ขึ้นรถด้วย
ซ่งฝูเซิงชี้ไปทางบ้านตน “พวกเด็กของข้าก็ไม่ได้ขึ้นรถ”
ป้าใหญ่ร่ำไห้พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา “น่าสงสารลุงใหญ่ของเจ้า เมื่อสองวันก่อนข้อเท้าแพลง ตอนบ่ายออกมาหาเจ้า ยังต้องให้พี่ชายใหญ่เจ้าพยุงเดิน ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องให้ลุงใหญ่เป็นคนลงมาเดินแล้วล่ะ”
หึ ข่มขู่คนอื่นเหรอ
ซ่งฝูเซิงหรี่ตา ยังไม่ทันจะพูดทิ้งท้ายสักสองสามประโยคให้โมโห ท่านย่าหม่าที่นั่งอยู่บนรถลากเทียมล่อก็เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ดี “ลูกสาม ใช่ป้าใหญ่ไหม? รีบพานางมาคุยกับข้าหน่อย”