ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 3 อาการเรื้อรัง
พ่อซ่งชมบุตรสาวเสร็จก็หันมาดูสีหน้าของเฉียนเพ่ยอิง เข้าใจภรรยาว่าร้อนรนเรื่องอะไร กระแอมไอเบาๆ สองครั้งก่อนเอ่ยปลอบ
“พวกเราดูเหมือนจะกลับไปไม่ได้แล้ว อย่าเหนื่อยคิดเรื่องนั้นเลย ถ้าต้องให้ร่างกายของพวกเรามีปัญหาถึงจะกลับไปได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็โง่นะสิ ข้าไม่ยอมหรอก”
ซ่งฝูหลิงแสดงความคิดเห็น “ท่านแม่ ข้าก็ไม่อยากอยู่ในสถานที่แบบนี้ ไม่อยากฟังเรื่องราวพวกนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่ว่าสิ่งที่สำคัญคือความไม่แน่นอน ถ้าหากว่าร่างกายพวกเรามีปัญหาไปแล้วจริงๆ คงไม่สามารถกลับไปได้ ถ้าเช่นนั้นก็อาจไม่มีอะไรเหลืออยู่ คงมีแค่กองขี้เถ้า เมื่อถึงเวลานั้นทั้งพ่อและแม่ พวกท่านก็จะไม่มีข้า ข้าก็จะไม่มีพวกท่านแล้วเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ดูเหมือนจะน่ากลัวมากกว่าการมีชีวิตในยุคโบราณเสียอีก”
“แล้วทำไมท่านแม่ถึงยังไม่ยอมรับความจริงล่ะ ตายไปก็ไม่เหมือนกับมีชีวิตอยู่ต่อไป เหตุผลแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ ไม่เหมือนลูกของท่าน ข้ากล้ารับประกัน เมื่อกี้ที่ข้าได้พูดเรื่องนั้นไป แม้แต่ชื่อข้าเรียกว่าอะไร ท่านแม่ก็คงไม่ได้จดจำ ปากก็บอกไปให้พูดแต่ใจความสำคัญ แท้จริงแล้วภายในใจมัวแต่คิดหาทางจะกลับไปยุคปัจจุบัน”
ทั้งสองพ่อลูกพูดเพื่อที่จะให้เฉียนเพ่ยอิงฟัง ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงเศร้าโศกเสียใจมาก เช็ดน้ำตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่ขัดแล้ว พวกเจ้าพูดต่อไปเถอะ”
“เจ้าก็ต้องจำไว้บ้าง”
“จำสิ อย่าชักช้า”
“ได้” เหล่าซ่งโบกมือ ดูท่าแล้วสามารถเล่าเรื่องสำคัญได้ เขามองภรรยาและเอ่ยขึ้น
“ข้าชื่อซ่งฝูเซิง ปีนี้อายุยี่สิบเก้า เราสองคนอายุเท่ากัน…
…ท่านพ่อของเจ้าในยุคโบราณเห็นข้า ก็มีความมั่นใจว่าสอบครั้งต่อไปข้าจะสามารถสอบได้อั้นโส่วอีก อนาคตต้องรุ่งโรจน์แน่นอน ดังนั้นพวกเราสองคนถึงได้แต่งงานกัน ตามความนิยมในยุคก่อนที่คนมักแต่งงานกันเร็ว…
…แต่หลังจากนั้นข้ากลับสอบไม่ผ่าน เขามองพลาดไป…
…หลังจากแต่งงาน พวกเราก็มีซ่งพั่งยาคนหนึ่ง ก็คือบุตรสาวของพวกเรา ตอนนี้นางอายุสิบสาม…
…พวกเราตอนแต่งงานสองปีแรก ยังอาศัยอยู่ชนบทกับคนในบ้านตระกูลซ่ง…
…หมู่บ้านนั้นเรียกว่า ต้าจิ่งชุน อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก รู้เลยว่าสภาพหมู่บ้านนั้นเป็นอย่างไร…
…ต้าจิ่งชุนเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปจากเขตการปกครอง หากอยากจะเข้ามาจับจ่ายซื้อของในตัวเมืองนั้นจะค่อนข้างลำบาก…
…อย่างที่เล่าให้ฟัง หมู่บ้านนั้นหากข้ามภูเขาไป เดินตามเส้นทางเดินเล็กๆ ออกไปข้างนอก ใช้เวลาเดินสองวันก็ออกนอกเขตเมืองนี้ไป ถ้านับตามปัจจุบัน ตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นที่ของมณฑลเหอหนาน…
…ตอนนี้คงฟังเข้าใจใช่ไหมแล้วว่าตนเองเป็นใคร พวกเราอยู่ตรงตำแหน่งไหน?”
เฉียนเพ่ยอิงไม่สนใจเขา
ซ่งฝูหลิงสนิทสนมกับพ่อของนางเป็นอย่างดี ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน หากนางขาดเงินก็จะเข้าหาพ่อ ไม่ว่านางจะใช้จ่ายเท่าไรเขาก็ให้ จะไม่ให้สนิทสนมกันได้อย่างไร นางรีบกล่าวตอบ “เข้าใจแล้ว สถานที่นั้นชอบพูดกันว่า ได้หรือไม่ ข้ามีชื่อว่าซ่งพั่งยา ดูเหมือนว่าหญิงสาวบ้านซ่งจะถูกเรียกว่า ‘ยา’ ทั้งหมด ต้ายา เอ้อร์ยา ซานยา ข้าอายุน้อยสุดจึงกลายเป็นพั่งยา”
“สาวน้อยของข้าฉลาดหลักแหลมเสียจริง พิจารณาได้ถูกต้อง ก่อนหน้าเจ้า มีต้ายากับเอ้อร์ยา ทั้งสองคนเป็นบุตรสาวของลุงรอง ตั้งแต่เล็กมาสุขภาพของเจ้าไม่ค่อยดี ผอมมาก ด้วยหวังว่าเจ้าจะอ้วนขึ้นจึงเรียกเจ้าว่าพั่งยา”
“เอ๊ะ ท่านพ่อ ถ้างั้นท่านแม่ของข้าชื่ออะไร?”
เหล่าซ่งได้ยินบุตรสาวถาม เขาหันหน้าไปมองภรรยาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่ของเจ้า แม่ของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแซ่ ยังแซ่เฉียน ตระกูลเฉียน ครานี้แม่ของเจ้าคงเบิกบานใจขึ้นไม่น้อย”
“ท่านพ่อ ช่างบังเอิญจริง นี่คงไม่ใช่อดีตของพวกเราหรอกนะ? หรือพวกเราย้อนมิติมาอยู่ในร่างบรรพบุรุษตัวเอง?”
พ่อซ่งทอดถอนใจ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่อยู่ในยุคโบราณ
เล่าต่อ
“ที่บังเอิญก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคปัจจุบันหรืออยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องให้เงินบ้านตระกูลซ่ง ให้ยืมเงินไปจนหมด…
…เหมือนท่านตาของเจ้าเมื่อก่อน ที่ถ่ายทอดฝีมือการทำอาหารให้ข้าและมอบเงินที่สั่งสมมาเกือบค่อนชีวิตเพื่อให้ยืมมาทำทุน บ้านเราเปิดร้านขายของชำเล็กๆ รวมถึงการทำไอศกรีม ค่อยๆ สะสมเงินทีละเล็กทีละน้อย ภายหลังถึงได้เปิดโรงงาน…
…ท่านตาของเจ้าสุขภาพไม่ดี เฮ้อ เสียชีวิตตามท่านยายของเจ้าไปก่อน แม้แต่ปู่ของเจ้าที่ว่าลำเอียง ก็ยังได้รับการตอบแทนพระคุณจากข้า…
…ปู่ของเจ้านอนติดเตียงอยู่สองปี ข้าต้องคอยดูแลการกิน การขับถ่ายของเขา ค่าใช้จ่ายอยู่โรงพยาบาลข้าก็เป็นคนออก ตอนท่านใกล้ตายก็ร้องจะไปอยู่บ้านลุงใหญ่ของเจ้าให้ได้…
…เพราะอะไร ฝูหลิง? ปู่ของเจ้าจึงอยากไปตายที่บ้านลุงใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้น คนที่คอยรับเงินคนที่มาร่วมงาน ก็คือลูกชายคนโตของเขาไง บอกว่าตัวเองเลอะเลือน แต่ตอนหลังยังเขียนพินัยกรรมยกบ้านที่อยู่ในชนบทให้ มีใครที่ไหนอยากจะได้…
…เขาไม่ได้ทิ้งความทรงจำดีๆ ไว้ให้แม้แต่น้อย จิตใจลำเอียงกับลูกขนาดนั้น น้อยคนนักที่จะมี ข้ายังนึกสงสัยตัวเองว่าถูกเก็บมาเลี้ยงรึเปล่า…
…ถึงจะเป็นแบบนั้น ปู่ของเจ้าก็ยังได้จัดงานศพอย่างใหญ่โต แต่ท่านตาของเจ้ากลับไม่มีแม้แต่โอกาสให้ข้าได้ดูแล นอนหลับสิ้นลมไปเฉยๆ ทั้งชีวิตของเขาเป็นผู้ให้ทั้งกับข้าและแม่ของเจ้ามาตลอด”
เฉียนเพ่ยอิงอดทนไม่ไหวแล้ว
สามีอยากให้นางคิดถึงพ่อแม่หรืออย่างไรกัน แต่เดิมก็กระวนกระวายใจจะแย่อยู่แล้ว
“พวกเราต่างทะลุมิติมาที่นี่แล้ว เจ้ายังจะพูดถึงเรื่องอดีตทำไมกัน พูดไปไม่สบายใจกันเปล่าๆ ไม่พูดถึงจุดสำคัญเสียที นี่ต้องการจะพูดถึงท่านปู่ยุคโบราณของฝูหลิงใช่ไหม?”
เหล่าซ่งเถียงจนคอแข็ง เกิดความไม่พอใจขึ้น เขาต้องการพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาต้องการพูด จึงเล่าด้วยน้ำเสียงเร็ว
“อย่าว่าแต่ทะลุมิติมายุคเก่า ต่อให้ข้ากลายเป็นคนโง่ ข้าก็จะพูด ไม่ว่าไปที่ไหนข้าก็เป็นคนมีเหตุผล…
…พ่อตาของข้าดีต่อข้ามาก ครั้งนี้ไม่สามารถทำความสะอาดสุสานของเขาได้แล้ว แต่พ่อบังเกิดเกล้าของข้าที่ไม่เคยดีกับข้าเลย ข้ายังต้องคอยดูแลรับใช้เขาตลอด…
…ครั้งนี้คงสมใจท่านปู่แล้ว พวกเราสามคนจากไป เหมือนทิ้งเบื้องหลังไว้ ไม่ใช่สิ เฉียนเพ่ยอิงทำไมใจเจ้ากว้างอย่างนี้? โรงงาน บ้าน รถ เงินเก็บสะสมกลายเป็นของพี่ชายใหญ่ข้าหมดแล้ว พี่สะใภ้คงจะยิ้มหน้าบาน เดินตัวปลิวเลย…
…แค่คิดข้าก็คับแค้นใจ พวกเราทุ่มเททำงานมาทั้งชีวิต เก็บเงินสะสมมาเกือบค่อนชีวิตเลยนะ!”
เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาใส่สามี “พอเถอะ นี่มันเรื่องที่ผ่านมากี่ปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่ปล่อยวางอีก เดี๋ยวก็ทำให้ตัวเองโมโหอีก เมื่อครู่ยังปลอบใจพวกเราไม่ให้คิดมากเพราะกลับไปไม่ได้แล้ว ต้องเผชิญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อน ตอนนี้เจ้าก็จะมาทำตัวงอแงอีก”
ซ่งฝูหลิงรีบลูบหลังพ่อเป็นการปลอบใจ
“ใช่ท่านพ่อ สงบสติอารมณ์ก่อน ท่านแม่ไม่เข้าใจท่าน แต่ข้าเข้าใจท่านนะ…
…เพราะว่าเหตุการณ์แปรเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้แล้ว เป็นใครก็รับไม่ได้ พวกเราเรียกว่า ข้ามมิติเรื้อรัง อย่าไปคิดมาก…
…เช่น พวกเราอย่าไปคิดถึงเรื่องการงานในยุคปัจจุบัน…
…แค่คิดว่า ข้าสอบไปก็ไร้ความหมาย ท่านพ่อยุ่งมาทั้งชีวิตโดยไร้ประโยชน์ การผูกสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานของท่านแม่ต้องสูญเปล่า เงินช่วยงานมากมายที่ให้ไปไม่สามารถนำกลับมาได้แล้ว…
…ยังมีเพื่อนในยุคนั้นที่พวกเราคงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้ว แต่ละคนทั้งที่ดีและไม่ดีรวมทั้งลุงใหญ่ของข้า ตอนนี้ท่านอยากจะทะเลาะกับเขา แม้แต่เงาก็หาเขาไม่เจอ ไม่ยอมปล่อยวางก็ไม่มีประโยชน์…
…ส่วนเรื่องเงินทองยุคปัจจุบัน อืม ส่วนสำคัญคือเงิน เนื่องจากท่านแม่ของข้าเป็นคนเก็บหอมรอมริบ นางไม่ยอมให้ข้าใช้ ข้าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยนางก็บอกว่าข้าฟุ่มเฟือย ตอนนี้เป็นไง พวกเราไม่อยู่แล้ว เงินก็ไม่ได้ใช้แล้ว…
…ส่วนข้า อุตส่าห์เติบโตขึ้น แต่ตอนนี้กลายมาเป็นเด็กสาวอายุสิบสามปี ต้องกลับมาเริ่มเติบโตใหม่อีก ดูแข้ง ขา มือ เล็กๆ ของข้าสิ…
…ก่อนหน้าเป็นวัยรุ่นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเริ่มใหม่แบบนี้…
…ไหนจะที่ข้าเรียนหนังสือมายี่สิบกว่าปี ไม่ว่าจะเป็นสนามสอบใหญ่หรือเล็ก ก็ล้วนทรมานข้าจนปางตาย ตอนนี้กลับกลายเป็นคนไม่รู้ตัวหนังสือไปเสียแล้ว แล้วข้าจะรู้จักตัวอักษรโบราณได้อย่างไร…
…ยังมีอีก ที่นี่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ข้าไม่กล้าคิดเลย ต่อไปข้าคงไม่ได้ออกไปเที่ยวแล้ว เงินที่ได้จากการทำงานก็ไม่สามารถใช้จ่ายตามอำเภอใจได้ ไม่ได้ มีอะไรอีกมากที่ข้าคงทำไม่ได้”
ซ่งฝูหลิงยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเบาลง สองมือเท้าคางอยู่บนโต๊ะ เอ่ยเบาๆ “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากพูดแล้ว”
พ่อซ่ง “…”
นี่คือการโน้มน้าวใจคนของบุตรสาว? มีแต่จะทำให้ตนเองสติฟั่นเฟือนไปเสียก่อนกระมั้ง