ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 31 อาหาร 50 กิโลกรัมต่อหนึ่งวัน
เฉียนเพ่ยอิงจับแขนบุตรสาวเอ่ยถาม “ทำไมถึงลงมาล่ะ”
ซ่งฝูหลิงยังไม่ทันได้ตอบ ท่านย่าหม่าก็เปิดผ้าม่านออกมาสั่งงาน “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง เอาตะกร้าเข็มกับด้ายของพวกเจ้าขึ้นมาบนรถให้ข้า แล้วก็นําเชือกป่านมาด้วย ลูกสอง มีห่อผ้าสีฟ้าวางอยู่บนรถของเจ้า เจ้าส่งมันมาให้ข้าที แล้วก็เอาบุ้งกี๋มาให้ข้าด้วย”
แล้วนางก็เรียกหลานคนโต “ต้าหลัง เจ้ากับป้าไปที่รถคันด้านหลัง ข้าวางตะกร้าข้าวโพดไว้อยู่ด้านบน พวกเจ้าไปเอามาให้ข้าที”
เฉียนเพ่ยอิงก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อจะไปช่วย ซ่งฝูหลิงรีบดึงนางไว้
“เจ้าดึงข้าทำไม ย่าของเจ้าไม่รู้ว่าป้าอยู่ตรงไหน นางอยู่บนหลังรถ กำลังเย็บถุงมือให้ทุกคนอยู่น่ะ…
…เจ้าเห็นแม่สามีของป้าหรือยัง? อยู่ไกลออกไปตรงโน้น นางอายุก็เยอะแล้วยังต้องเดินเท้า…
…นางให้พื้นที่นี้กับป้าของเจ้า ให้นางรีบทำถุงมือหลายคู่ออกมาเพื่อที่จะให้คนที่เข็นรถ มือของพวกเขาที่ถูกเสียดสีจนพอง มือของพ่อเจ้าก็เหมือนกัน ข้าจะไปช่วยต้าหลังเก็บข้าวโพด”
“ท่านแม่ ท่านก็อย่าไปช่วย อยู่ห่างจากข้าวโพดหน่อย อย่าให้ย่าของข้าเห็นท่านได้ ไม่งั้นท่านจะต้องขึ้นรถไปนั่งถูเม็ดข้าวโพดแน่ๆ”
ซ่งฝูหลิงผู้น่าสงสารยื่นมือออกไปให้เฉียนเพ่ยอิงดู “ท่านดูมือทั้งสองข้างของข้าสิ”
เฉียนหมี่โซ่วได้ยิน ก็รีบผลักเฉียนเพ่ยอิง “ท่านป้า ท่านรีบไปหลบอยู่ด้านหลังข้า อย่าให้คนอื่นเห็น”
เฉียนเพ่ยอิงแทบจะยิ้มไม่ออก นางมองความสูงของเจ้าตัวเล็ก ที่สูงแค่เอวของนาง ซ่งฝูเซิงเดินมาได้ยินคำพูดนี้พอดี เขาดึงมือบุตรสาวมาดูก็รู้สึกสงสารจับใจ นี่มันมือที่ไหนกัน บวมเป่งจนจะเป็นขาหมูแล้ว
ลูกถูเม็ดข้าวโพดเป็นที่ไหนเล่า ทุ่งนาก็ไม่เคยไป แม้แต่ข้าวเปลือก ข้าวสาลีกับหญ้าทั่วไปก็ยังแยกไม่ออก
ซ่งฝูเซิงรู้ดีว่าตอนไหนควรพูดกับนาง ตอนนี้คงไม่สามารถตามใจได้อีกแล้ว
เหมือนกับในยุคปัจจุบันเช่นกัน ชีวิตคนยังอีกยาวไกล มีเงินก็กินดี ไม่มีเงินจะเรื่องมากไปทำไมกัน
แต่เขาควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขามีแค่บุตรสาวเพียงคนเดียว ไม่มีโอกาสก็ต้องสร้างตัวทำให้ลูกลำบากน้อยที่สุด บุตรสาวของเขากับเด็กคนอื่นไม่เหมือนกัน
“ท่านแม่ จะถูข้าวโพดทำไม? พวกนั้นยังไม่ได้ตากเลย ถูออกมาแล้วจะไม่ขึ้นราหมดหรอกหรือ ท่านดูมือซ่งฝูหลิงสิ นางถูจนมือด้านแล้ว!”
อะไร มือใคร ใครถูจนมือด้าน?
ท่านย่าหม่าไม่เข้าใจ ลูกสามของเธอเปิดม่านเข้ามาก็อารมณ์ไม่ดีใส่นาง แต่นางได้ยินแค่ว่าไม่ให้ถูข้าวโพดแล้ว นางจึงถามพรวดไปทีเดียวสี่คำถาม “ไม่ให้ทำแล้วจะให้ตากที่ไหน ไม่ให้ทำแล้ววางไว้มันจะไม่กินเนื้อที่หรือไง ไม่ทำแบบนี้จะทำแป้งได้อย่างไร ไม่ทำแล้วจะต้มโจ๊กอย่างไร ”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว “ต้มโจ๊กอะไร พวกเรามีกันยี่สิบเอ็ดคน หนึ่งวันกินข้าวสามมื้อ ถ้าหนึ่งคนกินสี่ฝัก หนึ่งวันต้องใช้สองร้อยห้าสิบกว่าฝัก วันหนึ่งสามารถทำอาหารได้ห้าสิบกิโลกรัม พวกเราก็ไม่ได้เก็บข้าวโพดมาเยอะขนาดนั้น เอามาต้มกินสองวันก็หมดแล้ว”
คิดคำนวณรวดเร็ว คำนวณเสียจนท่านย่าหม่าปวดใจขึ้นมาทันที
แต่เดิม นางคิดว่าอาหารยังพอกิน นี่ยังไม่รวมวันก่อนที่เก็บเกี่ยวข้าวสาลีกับข้าวเปลือกมาด้วย ข้าวพวกนั้นที่ตากแดดมาแล้วจนสามารถเก็บไว้ได้นาน ข้างหลังยังมีรถบรรทุกข้าวโพดที่สามารถยืดเวลาไปได้อีก แต่กลายเป็นว่าลูกสามของนาง กลับบอกว่าเสบียงเหล่านี้สามารถกินได้แค่สองวันเท่านั้น
“กินอย่างนั้นได้อย่างไร กินแบบนั้นไม่ได้นะลูกสาม บ้านเรามีเงินเท่าไรก็ไม่พอ พวกเราเคยต้มโจ๊กดื่มก็ต้องกินแบบนี้ต่อไปสิ”
“พวกเราต้องรีบเดินทางนะ! ยังจะให้คนที่อดหลับอดนอนกินโจ๊กอีกหรือ หิวจนจะตาลายแล้ว ระหว่างทางถ้าทนไม่ไหวก็คงมีเป็นลมล้มลงไปคนสองคนเป็นแน่ ท่านแม่ ท่านคำนวณตัวเลขเป็นไหมเนี่ย”
ตอนนี้เองที่หัวหน้าขบวนเกวียนวัวควายสามคันของครอบครัวตระกูลเกาที่มีอาชีพขายเนื้อสัตว์ ได้หยุดเดินและตะโกนบอกด้านหลัง “พักสักหน่อยเถอะ สัตว์พวกนี้จะทนไม่ไหวแล้ว!”
น้ำเสียงนี้ ทำให้ทุกคนถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
แต่เดิมพวกเขาก็อยากจะหยุดพักแล้ว แต่ไม่อยากโดนไว้ทิ้งท้ายขบวน พวกเขาคิดว่าการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มน่าจะมีความปลอดภัยมากกว่า จึงไม่อยากโดนทิ้งไว้เพียงเพราะหยุดพัก