ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 312 ใครๆ ก็ชื่นชม / ตอนที่ 313 เขาร้อนเงินเหรอ
ตอนที่ 312 ใครๆ ก็ชื่นชม
ซ่งฝูเซิงเดาได้แล้วว่าฉีหมิงมาทำไม
เขาเข้าบ้านถอดเสื้อกันหนาวกับกางเกงตัวเก่าที่ใส่ทำงานออก แล้วเปลี่ยนเป็นชุดตัวยาว แต่งตัวเหมือนผู้มีการศึกษาเล่าเรียน
หวีผมให้เรียบร้อย ม้วนเป็นมวยแล้วเอาผ้ามัดไว้
ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่านลุงซ่งกับเกาถูฮูก็เข้ามา
สองคนนี้ถามด้วยความเป็นห่วง “ทำไมต้องพาตัวเจ้าไปด้วย”
ซ่งฝูเซิงถามลุงซ่ง “ท่านลุงอยากเป็นหลี่เจิ้งไหม”
ท่านลุงซ่งตะลึง ถลึงตามองใบหน้าที่มีรอยยิ้มของซ่งฝูเซิง ผ่านไปสักพักถึงได้สติกลับมา
ท่านลุงซ่งรู้สึกตื่นเต้น
แต่เขากลับส่ายหน้าพลางพูด “ไม่เอา ข้าไม่เป็นดีกว่า”
“แล้วจะไม่เสียใจแน่นะ หมู่บ้านนี้ใหญ่กว่าหมู่บ้านพวกเราเมื่อก่อนอีกนะ”
“ไม่เสียใจ แค่พวกเจ้าไม่กี่คนก็ไม่เชื่อฟังแล้ว” ลุงซ่งพูดจบก็เบ้ปากแล้วเดินออกไป
เกาถูฮูมองตามหลังท่านลุงซ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางพูด “ใครไม่เชื่อฟังเขากัน นี่ไม่เท่ากับพูดเหลวไหลรึ”
ซ่งฝูหลิงยืนอยู่ริมน้ำ กลั้นขำไม่อยู่ ยิ้มจนดวงตาโค้งมน
เพราะท่านพ่อของนางขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล หลังจากขึ้นสะพาน มือปราบฉีก็ตะโกน “ไป” ท่านพ่อของนางกอดเอวแน่นตั้งแต่ขึ้นสะพานแล้ว
“มา เด็กๆ มาเล่นลื่นน้ำแข็งกับข้าดีกว่า”
…
ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองถงเหยา
ซ่งฝูเซิงมาครั้งแรก
มองอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด
ถึงแม้ในความทรงจำจะมีตอนไปพบนายอำเภอที่ที่ว่าการอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ ‘ตัวเขาเอง’ นี่ต่างหากที่เขามาเป็นครั้งแรกไม่ใช่เหรอ
ทว่าในสายตาของคนนอก ซ่งฝูเซิงคนผู้นี้ หลังจากเข้าไปในที่ว่าการอำเภอก็ไม่ได้สอดส่องไปทั่ว สุภาพ มีการศึกษา วางตัวได้เหมาะสม
ผู้ช่วยนายอำเภอเดินเลี้ยวมา มือลูบเคราพลางคิดในใจ เป็นไปตามที่คิด ท่าทางสุขุม มิน่าถึงเข้าตาคนใหญ่คนโต
“ซ่งจื่อเจิน”
“ข้าน้อยคารวะใต้เท้า”
ใต้เท้าไม่มีถือตัวแม้แต่น้อย
ในสายตาของซ่งฝูเซิง ผู้ช่วยนายอำเภอก็เท่ากับรองนายอำเภอหรือหัวหน้าฝ่ายในยุคสมัยปัจจุบัน อยู่ในระบบศักดินา กลับเข้ามาทำท่าจะประคองเขา บอกให้เขานั่งลง
อีกทั้งผู้ช่วยนายอำเภอยังนั่งเสมอกันอยู่อีกด้านของโต๊ะน้ำชา ไม่ได้กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ทั้งยังเรียกเขาว่าจื่อเจิน ให้ความสนิทสนมเป็นกันเอง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ซ่งฝูเซิงออกจากที่ว่าการอำเภอ
ฉีหมิงเข้าไปหา “ยินดีกับพี่ซ่งด้วย นี่ไม่ใช่แค่ความต้องการของผู้ช่วยนายอำเภอเท่านั้น ข้าเดาว่าก็เป็นความต้องการของนายอำเภอด้วยเช่นกัน”
“ยินดีอะไรกัน ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
“เพราะเหตุใด”
ซ่งฝูเซิงโม้ไปหนึ่งยก
วางมาดแบบ งานอะไรก็ไม่มีเกียรติเท่าการได้เป็นบัณฑิตรับราชการ
เขาบอกว่า ที่เขาไม่อยากเป็นหลี่เจิ้งเพราะหลังจากที่ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย เขาก็ต้องมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ จะมาเสียสมาธิไม่ได้
ในบรรดาพวกเขา มีท่านลุงซ่งที่เคยเป็นหลี่เจิ้งมาก่อน รู้จักงานด้านนี้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่ได้เสนอตัว
เพราะอย่างไรเสีย พวกเราก็มาทีหลัง ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่ ไม่ต้องพูดอื่นไกล เอาแค่ว่าคนพวกนั้นชื่ออะไรบ้าง พวกเราก็จำไม่ได้
ซ่งฝูเซิงยิ้มอย่างถ่อมตัว ยังพูดอีกว่า
อันที่จริงในอนาคต หากมีความสามารถแบบนั้นจริง ต่อให้ไม่เป็นหลี่เจิ้งก็ยังสามารถช่วยทำอะไรให้หมู่บ้านได้เหมือนกัน
ทำเพื่อหมู่บ้าน เพื่อชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไรก็ทำได้ ทุกคนทำได้เหมือนกันหมด ขอเพียงแต่มีความสามารถ ขอเพียงแต่เราอยากทำ
ดังนั้น ตอนผู้ช่วยนายอำเภอถาม คนที่เขาเสนอไปก็คือ หัวหน้าตระกูลเริ่นที่เขามองว่าเป็นคนทำงานจริง
พอซ่งฝูเซิงพูดจบ
ฉีหมิงยิ่งรู้สึกนับถือในตัวซ่งฝูเซิงมากกว่าเมื่อก่อน
ซ่งฝูเซิงในสายตาของฉีหมิง ทั้งมีความสูงส่งแบบผู้มีการศึกษา ทั้งยังมีความจริงใจแบบคนซื่อและอยู่กับความเป็นจริง และสิ่งที่พบเจอได้ยากที่สุดก็คือ น้ำใจ มิน่าล่ะ
“พี่ซ่ง ข้าขอนับถือ”
“อ่าย” ซ่งฝูเซิงส่ายมือ วางมาดถ่อมตน
ทั้งที่จริงๆ แล้วในใจคิดว่า
โวะ เขาปฏิเสธตำแหน่งหลี่เจิ้งไปแล้ว ทำไมอีกสองวันคณะต่อกรกับหมาป่าจะมาล่ะ ทั้งยังเป็นทหารจากกรมกลาโหม จะไปพักที่พวกเขาด้วย? แถมบอกว่าพวกเราต้องให้ความร่วมมือ
ภารกิจแบบนี้ทำไมไม่เข้าไปพักในหมู่บ้านล่ะ ในหมู่บ้านมีงบส่วนรวม
เฮ้อ หาอาหารให้พวกทหารกินต้องใช้เงินอีกเท่าไรเนี่ย
ตอนที่ 313 เขาร้อนเงินเหรอ
กว่าซ่งฝูเซิงจะได้มาเมืองถงเหยาไม่ใช่ง่ายๆ ดังนั้นไม่มีทางที่พอเสร็จธุระก็กลับ
เขายังต้องจัดการธุระอื่นอีก
บอกลาฉีหมิงที่พยายามจะไปส่งเขาให้ได้
ซ่งฝูเซิงเข้าไปในร้านขายยา
เขาคิดว่า หากในบ้านมีผู้ป่วยติดเตียง คนที่ยอมเสียเงินซื้อหนังหมาป่าไปปูรองนอนให้ได้ แสดงว่าปกติก็ต้องไปซื้อยาที่ร้านขายยาให้คนแก่บ่อยเหมือนกัน
ไปถามที่นั่นดูแล้วกัน
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีจริง ร้านขายยามีช่องทางขายมัน
ดูแค่ท่าทางของคนจัดยาก็รู้แล้วว่าเขาเดาไม่ผิด
“เจ้ามีกี่ผืน เป็นแบบเต็มผืนหรือไม่ มีจมูกกับตาด้วยหรือเปล่า”
“มีเก้าผืน มีจมูกกับตา”
“ให้ผืนละครึ่งพวงเงิน[1]”
ซ่งฝูเซิงส่ายมือ รีบไปดีกว่า เห็นเขาเป็นคนโง่รึ คิดว่าเขาร้อนเงินหรือยังไง
คนทำบัญชียืนตะโกนอยู่ตรงประตู “ถ้าเจ้าจัดการตัดแต่งเรียบร้อยแล้ว ให้ผืนละหนึ่งตำลึง ให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นี่เป็นราคาที่คุ้มค่าสุดๆ แล้ว”
พอเห็นซ่งฝูเซิงไม่มีเค้าลางว่าจะหยุดเดิน คนจัดยาจึงกัดฟัน พูดตะโกนไล่หลัง
“ผืนละตำลึงครึ่ง เจ้าไปร้านอื่นก็ไม่มีทางให้ราคานี้หรอก”
…
“พี่สุย”
เถ้าแก่สุยร้านขายเครื่องหนังเปิดหน้าต่างกระท่อมไม้ชะโงกหน้าออกไป “ไอ๊หยาน้องชาย ไม่มานานแค่ไหนแล้ว รีบเข้ามาๆ”
เถ้าแก่สุยรีบเขี่ยฟืนเพื่อให้ฟืนที่กำลังจะดับติดไฟขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปได้สวยเหมือนกันนะพี่ ทำกระท่อมไม้เปิดร้านขายของด้วย ข้าเห็นข้างๆ ก็แบบเดียวกัน ทำไมหรือ กระท่อมแบบนี้ทางการทำให้แบบเดียวกันหมดหรือ”
เถ้าแก่สุยทำเสียงชิ
“สวยตายแหละ
อนุญาตให้เปิดร้านในกระท่อมได้แค่ในฤดูหนาว
ใครก็ตามที่เปิดร้านในกระท่อมจะต้องจ่ายส่วยเพิ่มอีกครึ่งพวงเงิน บอกว่าพวกเรากินพื้นที่เยอะ
จ่ายเพิ่มก็จ่ายเพิ่มสิ ไม่อยู่ในกระท่อมไม่ไหวหรอก ใช่ไหมล่ะน้องชาย
จะปล่อยให้ลูกค้าแม้แต่มือก็ยังยื่นออกมาไม่ได้ พอเอาออกมาก็แข็งสนิท แบบนั้นยังจะขายอะไรอีก”
เถ้าแก่สุยพูดพลางเอาน้ำที่ต้มอยู่ในหม้อดินบนเตามาเทใส่ชามเล็กแล้วยื่นให้ซ่งฝูเซิง “ดื่มสิ จะได้รู้สึกอุ่น”
ซ่งฝูเซิงรับมาถือไว้ “แบบนี้ในหนึ่งวัน ท่านพี่ก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยสิ”
เถ้าแก่สุยพยักหน้า ถึงแม้ขายได้ทีนึงกำไรจะอยู่ได้สิบวันถึงครึ่งเดือน แต่บางครั้งก็ไม่ได้ดวงดีขายได้เงินเยอะเสมอไป
“ก็ใช่น่ะสิ วันๆ อุดอู้อยู่แต่ในร้าน รอแล้วรอเล่า แทบอยากจะพอลืมตาก็จุดธูปไหว้พระขอลูกค้าทุกวัน…
…น้องชาย เจ้าอย่าหัวเราะไป ข้าพูดจากใจเลยจริงๆ…
…ไม่เชื่อจะคำนวณให้ดู ยังไม่ต้องพูดเรื่องส่วยของแต่ละวัน เจ้าดูถ่านที่ข้าใช้…
…ถ่านที่ราคาถูกที่สุด ยังต้องหกเหวินต่อจิน หนึ่งจินมีแค่ไม่กี่ก้อน แค่ชั่วพริบตาก็ใช้หมดแล้ว…
…กระท่อมไม่ใช่บ้านเรือนปกติ ถ้าเจ้าไม่ก่อไฟ อีกเดี๋ยวได้หนาวตาย…
…หน้าหนาวคนขายถ่านก็ไม่มา อีกอย่าง เจ้าดูร้านของข้า พื้นที่แค่นี้ไม่มีที่ให้วางถ่านหรอก ถ้าจะเพิ่มขนาดร้าน ทางการก็จะมาเก็บส่วยเพิ่ม…
…เพื่อเป็นการประหยัด พอเลยช่วงสายไป พวกคนหาซื้อของเข้าบ้านเจ้านายน่าจะไปกันหมดแล้ว แน่ใจว่าวันนี้คงขายไม่ได้อะไรมากอีก ข้าก็จะดับถ่าน…
…ปิดประตูอย่างไม่เสียดาย ข้าก็นั่งกอดเข่าทนหนาวอยู่ในนี้…
…เมื่อใดที่จุดถ่าน เงินหลายเหวินของข้าก็จะหายไป พออุ่น เงินก็หายไปหลายเหวิน”
ซ่งฝูเซิงพูดเตือน “ถึงแม้หน้าหนาวจะเสียค่าถ่านมากหน่อย แต่ก็ยังขายดีกว่าฤดูอื่น เป็นช่วงที่คนกำลังต้องการหนังสัตว์ ไม่ต้องพูดถึงพวกคนรวยตระกูลใหญ่ เอาแค่คนที่ปกติมีฐานะดีหน่อยก็ต้องซื้อให้คนในบ้าน พี่สุยจะมาปล่อยให้ตัวเองลำบากทำไม เกิดเจ็บป่วยเรื้อรังขึ้นมามันจะไม่คุ้มกัน ฟังน้องชายคนนี้ จุดๆ ไปเถอะ จริงสิ ทำไมถ่านถึงได้ราคาแพงแบบนี้ ถ่านไม้หรือ”
“ถ่านไม้ อย่างดีที่สุด”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ “ไม่มีทางเป็นของดีที่สุด ถ่านไม้บ้านข้าต่างหากที่ดีที่สุด”
“บ้านเจ้าก็ซื้อถ่านรึ น้องชาย อยู่ติดเขาทำไมไม่ตัดฟืน เจ้าจะซื้อถ่านทำไม ทำไมไม่รู้จักประหยัดเงิน”
“ไม่ใช่ พี่ชาย พวกข้าเผาถ่านกันเอง”
“ว่าไงนะ”
ผ่านไปไม่นาน เถ้าแก่สุยก็ออกไปข้างนอก เรียกเถ้าแก่ร้านอื่นๆ มา ตรงเขามีร้านขายหนังสัตว์อยู่เจ็ดร้าน
ต้องพูดเลยว่า เถ้าแก่สุยรู้จักวางตัว หากเป็นคนอื่นพอเห็นขายเหมือนกันก็จะตั้งแง่ แต่เขากับเถ้าแก่ร้านอื่นให้เกียรติกัน
เรียกเข้ามาคุยเรื่องถ่าน
เถ้าแก่สุยพูดหลอกล่อเก่ง บอกว่าบ้านน้องชายของเขาเปิดเป็นโรงเผาถ่าน ไม่ใหญ่ อยู่ในช่วงเริ่มต้น
ซ่งฝูเซิงรีบห้าม กลัวว่าโม้มากกว่านี้จะเอาไม่อยู่ “พี่ชายทุกท่าน ถ่านของบ้านข้าเป็นแบบที่เผากันเอง พอจุดใช้ รับรองว่าแบบนี้สู้ไม่…”
ซ่งฝูเซิงเหลือบมองเตาเผาของเถ้าแก่สุย เวลานี้ไฟติดขึ้นมาแล้ว กำลังมีควันสีดำลอยออกมา
เอามือเปิดหน้าต่างพลางแก้คำพูด “น่าจะไม่ต่างจากถ่านแบบนี้มาก พอใช้แทนกันได้”
“ขายกี่เหวินล่ะ” คนพวกนี้ห่วงเรื่องราคา
“พี่สุยอยู่ตรงนี้ก็เห็นแก่พี่สุย ข้าจะหลอกใครแต่จะหลอกพวกท่านไม่ได้ พวกท่านซื้อถ่านแบบนี้หกเหวิน ถ่านที่พวกข้าทำกันเองไม่ต้องหกเหวินหรอก จินละสามเหวิน มีไม่เท่าไรหรอก ขายหมดก็จบกัน”
ไอ๊หยา จริงใจ
มีคนหนึ่งพูดขึ้นทันที “พี่ชายคนรองของข้าเปิดร้านบะหมี่อยู่ในอำเภอนี้ เจ้าเอามาเยอะหน่อย เดี๋ยวข้าลองถามเขาดู ไม่แน่เขาอาจเอาด้วย”
เถ้าแก่สุยก็พูดด้วย “พี่หวัง พี่ชอบซื้อซาลาเปา เดี๋ยวลองไปถามร้านซาลาเปาดูนะว่าเอาไหม”
สมัยโบราณไม่มีเครื่องทำความอุ่น ทำกำแพงไฟขนาดใหญ่ก็กินพื้นที่เยอะ
ไม่เหมือนหมู่บ้านชนบท สร้างให้เต็มที่ ในเมืองทำเลเงินทำเลทอง ร้านอาหารเล็กๆ แทบอยากจะกางโต๊ะรับลูกค้าให้เต็มร้าน
แต่พอถึงฤดูหนาว ข้างนอกอากาศหนาวเย็นพื้นเป็นน้ำแข็ง หากลูกค้าเข้ามาแล้วบอกว่าหนาว แต่ละร้านก็ต้องเตรียมอ่างฟืนเอาไว้บ้าง
ร้านอาหารเล็กๆ ก็ต้องเตรียมเหมือนกัน ให้ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาได้อุ่นมืออุ่นเท้า ค้าขายเล็กน้อยกำไรไม่มากก็ไม่มีทางที่จะใช้ถ่านอย่างดี
ซ่งฝูเซิงออกมาส่งบรรดาคนที่มาสั่งจองถ่าน ปะทะกับลมหนาว
แต่เขาไม่ได้มาขายถ่านสักหน่อย
“พี่สุย ข้ามาเพื่อถามท่านว่า ลูกค้าของท่านมีคนที่ต้องการหนังหมาป่าหรือไม่”
“ผืนเดียวรึ”
“เก้าผืน”
“เอามาจากไหน”
“ฆ่าหมาป่าที่ลงมาจากภูเขา”
“ฆะ ฆ่า ฆ่าตายเก้าตัวเชียวรึ ลงมาเป็นฝูงเลยเหรอ”
“ไม่ใช่ ฆ่าตายสิบเอ็ดตัว แต่ให้คนไปสองผืน”
เถ้าแก่สุย “…”
“ตัดแต่งหรือยัง”
“ทำแล้ว พี่เขยข้าทำ”
“คือว่านะน้องชาย ทำไมพวกเจ้าทำเป็นกันทุกอย่างเลยล่ะ”
ซ่งฝูเซิงยิ้มฮี่ๆ
เถ้าแก่สุยคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“เอามาที่ข้าหมดเลยแล้วกัน…
…ข้าจะบอกให้นะ ขายหนังชนิดนี้จะใจร้อนไม่ได้ ต้องรอจังหวะ…
…เจ้าขายให้พวกสำนักคุ้มภัย พวกเขาตระเวนขึ้นเหนือลงใต้…
…เจ้าพวกโง่ ไปหุบเขาเสี่ยงตายแทบตายเอาไปขายให้พวกเขา กลับขายราคาถูกมาก พวกเขาให้ราคาไม่ดีหรอก…
…ขายให้ร้านขายยา แบบนั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่ คนพวกนั้นเก่งแต่กดราคา…
…ไม่ได้กำไรเท่าไร…
…เราต้องหาพวกเศรษฐีที่เขาอยากได้ของพวกนี้…
…หนังหมาป่าไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นหนังเสือ พวกเขาให้ได้ถึงผืนละต่ำๆ ก็ยี่สิบตำลึงขึ้นไป มีคนเคยขายได้ห้าสิบหกสิบตำลึงด้วย พวกนี้มันต้องรอจังหวะทั้งนั้นเพื่อให้เจอลูกค้าที่ถูกใจ…
…ข้าว่านะ หนังหมาป่าของเราอย่างน้อยก็ต้องห้าหกตำลึง ขายได้ก็แสดงว่าดวงดีไม่เบา ถึงจะสู้หนังเสือไม่ได้ แต่ถ้าทำดีๆ สิบกว่าตำลึงก็น่าจะขายได้ เชื่อข้าไหมล่ะ”
ซ่งฝูเซิงพูด “พี่สุย พูดอะไรแบบนั้นเล่า”
เถ้าแก่สุยก็ยิ้มฮี่ๆ
“พี่ชายให้เจ้าไปก่อนห้าสิบตำลึง ไว้ขายหนังหมาป่าหมดเมื่อไรหรือขายได้หลายผืน ลูกค้าให้เงินมาข้าค่อยให้เจ้าเพิ่ม ขายได้น้อยเจ้าก็คืนเงินให้ข้า
เพียงแต่ห้ามรีบร้อน เก้าผืน ไม่ใช่เรื่องที่รีบได้นะ
จะว่าไปพวกเราต้องขายแพงหน่อย นี่เกือบต้องแลกด้วยชีวิตเชียวนะ ถ้าผืนหนึ่งขายสองสามตำลึง พวกเจ้าสู้กับหมาป่าหลายคน แบ่งเงินกันคงได้ไม่เท่าไร ไหนจะค่ายาที่ถูกหมาป่าทำร้ายอีก”
“พูดมีเหตุผล ขายถูกไม่สู้เก็บไว้เอง”
————————————–
[1] หนึ่งพวงเงินเท่ากับหนึ่งพันเหวิน