ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 331
ตอนนี้อักษรที่ซ่งฝูหลิงเขียนเป็นมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
นางนั่งเขียนตั้งแต่ฟ้าสว่างไปจนกระทั่งฟ้ามืด ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน
ระหว่างนั้นได้ยินเสียงพ่อของนางพูดขณะพาหมี่โซ่วไปทำอาหารให้เสี่ยวหงด้วยกัน ทั้งสองคนพากันออกไปให้อาหารเสี่ยวหงด้วยกันอีกแล้ว
ได้ยินเสียงแม่ตัวเองกลับมาต้มน้ำสาลี่
หมี่โซ่วไม่ชอบกินน้ำสาลี่
บ่ายของทุกวัน เฉียนเพ่ยอิงจะต้มน้ำสาลี่ให้หมี่โซ่วดื่ม
ต่อมาซ่งฝูหลิงก็ได้ยินเสียงจากลานบ้าน เริ่มมีคนส่งเสียงทักทาย “กลับมาแล้วเหรอ”
คนที่กลับมาก่อนคือท่านยายฉีกับท่านยายกัวที่ไปเมืองถงเหยา “กลับมาแล้ว”
“วันนี้ขายเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีนะ ลูกค้าเก่ารีบมาเอาขนม พวกเขาขนไปครึ่งหนึ่ง”
ครึ่งชั่วยามต่อมา ท่านยายหวังกับสะใภ้ใหญ่บ้านท่านลุงซ่งก็กลับมาเหมือนกัน
สะใภ้ใหญ่บ้านลุงซ่งทักทายด้วยเสียงขึ้นจมูก “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว ซู่ตุนจื่อล่ะ” พอกลับมาก็อยากระบายกับคู่ชีวิต
ท่านลุงซ่งยังไม่บอกว่าลูกชายคนโตอยู่ที่ไหน แต่ขมวดคิ้วมองสะใภ้ใหญ่ก่อน
ดูจากสภาพเหมือนนางร้องไห้มา
“เป็นอะไร ถูกใครกลั่นแกล้งมาหรือไง”
ท่านยายหวังเอารถเข็นไปจอดให้ดี ชี้ขนมเค้กเสียๆ บนรถที่เอากลับมา ชิงพูดขึ้น “ระหว่างทางที่พวกเราเข็นไปเกิดสะดุด ขนมเละไปหกก้อน เอียงกระเท่เร่ รถก็เป๋ ทำยังไงก็เอาไม่อยู่ เลยล้มคว่ำลงมาหลายก้อน”
พอเจอท่านลุงซ่ง ท่านยายหวังที่เป็นย่าคน พอพูดจบก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไปชั่วขณะ
ทำไมคนที่สะดุดถึงไม่ใช่นางนะ สะดุดขนมคว่ำทำไม เงินชดใช้ก็ไม่พอ เท่ากับช่วงหลายวันมานี้พวกนางสองคนลงแรงสูญเปล่า
“คนล่ะ ไม่ได้สะดุดล้มใช่ไหม กระดูกหักตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่มี”
“อ๋า งั้นก็เป็นแค่เรื่องกำไรมากน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไร”
ท่านลุงซ่งคิดแล้วพูดขึ้น
“ตอนนี้พวกผู้หญิงที่เข้าไปหัดทำขนมชุดหลังยังทำไม่เก่งนัก พอไม่มีเอ้อร์ยาก็ไม่รอด พั่งยาก็ต้องคอยสอนพวกนางอยู่เรื่อยๆ…
…จะให้เด็กๆ พวกนั้นตามพวกเจ้าไปข้างนอกด้วยกันทุกวันก็ไม่ได้…
…ลองดูไปอีกสองเดือนแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็ติดตั้งเตาอบที่ร้านนั้น ให้พวกผู้หญิงที่เข้าไปหัดทำขนมทีหลังแบ่งกลุ่มกัน พอถึงเวลาพวกนางเป็นงานแล้วก็ให้ตามพวกเจ้าไปอบขนมที่นั่น อบมันสดๆ ตรงนั้น…
…ครั้งนี้ถ้าต้องชดใช้ก็ชดใช้ ไม่มีอะไรหรอก ปลงเสียเถอะ…
…พวกเจ้าก็คิดดูแล้วกัน ถ้าขนมไม่เละเทะแบบนี้ ก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเจ้าที่บาดเจ็บไปแล้วไม่มากก็น้อย”
สะใภ้ใหญ่ของท่านลุงซ่งพยักหน้าพร้อมกับท่านยายหวัง
ซ่งฝูหลิงที่ฟังอยู่ในบ้านถึงได้โล่งอก
เดิมทีนางก็ยังอยากเข้าไปปลอบอยู่
แต่อีกสักพักท่านย่าหม่าก็กลับมา
ท่านลุงซ่งไม่เป็นห่วงท่านย่าหม่า จึงไม่ได้ถามมาก หันตัวเดินออกไป
ประการแรกคือ นางมีเกวียนสองเล่ม กลุ่มนี้จำนวนคนก็เยอะ
เกิดวันไหนเจอพวกรนหาที่ตาย กลุ่มที่ไปเมืองเฟิ่งเทียนพวกนี้แค่ใช้มือก็ข่วน คนร้ายก็เละเป็นโจ๊กได้ อีกทั้งในรถก็ยังมีพวกมีดขนาดใหญ่ โจรไม่กลัวจนฉี่แตกก็ดีมากแล้ว
ประการที่สอง ดูสีหน้าพวกนางสิ ทั้งร้องทั้งเต้น วันนี้กลับมาเร็วก็เดาได้ว่าขายหมดอีกแล้ว ไม่แน่มีคนสั่งจองมาอีกด้วยซ้ำ
แล้วดูพวกเด็กๆ ตามหลังเกวียนมา แทบอยากจะปีนขึ้นไปบนเกวียน “ท่านย่าหม่า ท่านย่าหม่า”
ท่านย่าหม่าไม่เป็นที่ชื่นชอบได้รึ
นางเล่นแบกถังหูลู[1]กลับมาทั้งเสา
เหมาพ่อค้าถังหูลูมาหมด
นางบอกว่านางเหมาหมด แต่ต้องให้เสาเสียบนางมาด้วย
“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ กินข้าวก่อน พอมืดก็ค่อยเอาไปคนละไม้นะ เอาไปนั่งกินในผ้าห่ม”
จากนั้นก็เรียกทั้งสองกลุ่มที่กลับมาก่อนแล้วไปตรวจบัญชีเงินที่ขายได้ในวันนี้
และก็ได้ฟังเรื่องของพวกท่านยายหวัง
ท่านย่าหม่ามีความเห็นว่า “วันหน้า ต่อให้คนทำขนมไปอบขนมที่ร้านพวกเจ้า แต่ร้านมันเล็ก อัดเข้าไปไม่ไหว ร้านของพวกเจ้าเล็กที่สุด หากติดตั้งเตาอบในร้าน คนซื้อมองเข้าไปจะดูไม่งาม จะเป็นบ้านก็ไม่ใช่ ร้านก็ไม่เชิง พวกเจ้าก็ยังต้องไป-กลับกันอยู่ดี ข้าว่านะ อำเภอจยาก็ใช่ว่าจะอยู่ใกล้ พวกเจ้าซื้อวัวเถอะ”
ท่านยายหวัง “หา?”
“เงินที่พวกเจ้าหาได้น่ะพอซื้อ ไม่อย่างนั้น ให้ข้าจ่ายเงินค่าแรงของพวกเจ้าไปก่อน หรือไม่ก็ให้ข้าออกค่าวัวไปก่อน ไว้ถึงเวลาค่อยมาคิดเงินพร้อมทุกคน ให้ฝูสี่ทำห้องบรรทุกใหญ่หน่อยให้พวกเจ้า พอมีรถ คนก็สบายไปด้วย ดูสองมือของพวกเจ้าที่แข็งจนแตกสิ เวลายื่นมือออกไปหยิบขนม จำไว้นะว่าต้องใส่ถุงมือ มันไม่งาม”
“ใส่อยู่ ไม่ลืม ใส่ตลอด”
สะใภ้ใหญ่ของลุงซ่งก้มหน้ามองมือตัวเอง กัดฟันพูด “ได้ ข้าจะไปปรึกษาตาแก่ของข้าดู”
ท่านยายหวังทำเสียงจึ๊ ยุ่งยาก ยังจะต้องปรึกษาคนอื่นอีก
ดูอย่างนางที่ไม่มีสามี ก็ดีออก “ข้าไม่ติดขัดอะไร ซื้อเลย”
ท่านยายกัวกับท่านยายฉีก็เริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว
ทั้งสามกลุ่มนั่งอยู่บนเตียงเตา คุยกันอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงเก่อเอ้อร์นิว
ร้านของกลุ่มเก่อเอ้อร์นิวกับท่านยายรองซ่งก็ใช้ได้เลยทีเดียว ระยะทางก็ใกล้ อีกทั้งระหว่างทางก็มีคนสัญจรไปมา ทางเรียบมาก ไม่เหมือนกลุ่มท่านยายหวังที่ระหว่างทางแทบไม่มีคนเดิน
สรุปได้ว่า อำเภออวิ๋นจงดีทุกอย่าง ก็แค่ขายไม่ดี
เอาสินค้าไปน้อยกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งยังเก็บร้านช้าสุดทุกวัน
แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่ารายได้ของร้านที่อำเภออวิ๋นจง น่าจะเฉยๆ มากเมื่อเทียบกับแต่ละร้าน
แต่ดีอยู่หน่อย ที่นั่นมีขายน้ำตาล ขายพุทราแดง อะไรก็ถูกไปหมด
“กลับมาแล้วเหรอ”
เก่อเอ้อร์นิวถอดผ้าปิดปากที่มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ จากนั้นก็ถอดถุงมือ
นิ้วมือกลับยังคงยืดไม่ได้ หนาวจนแข็งนานแล้ว
หนาวแข็งจนต้องกระทืบเท้าเรื่อยๆ กระทืบไปก็ปลดถุงเงินที่ผูกไว้ตรงเอวไป “อ่ะ น้องสะใภ้ นี่ของวันนี้ ไม่ไหวแล้ว ขอข้าไปผิงไฟก่อน”
ท่านย่าหม่าเงยหน้ามองท่านยายรองซ่งที่อยู่กลุ่มเดียวกับเก่อเอ้อร์นิว
คิดดูนะ กลับมาพร้อมกัน ระยะทางที่เดินก็ไกลเท่ากัน แต่ท่านยายรองซ่งกลับไม่หนาวจนมีสภาพแบบนั้น แค่ถอดรองเท้าแล้วขึ้นเตียงเตาไปถูเท้า
หมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าเสื้อกันหนาว กางเกงกันหนาว ถุงมือของท่านยายรองซ่งน่าจะอุ่นมาก คงเพราะใส่ดอกฝ้ายเข้าไปเยอะ
พี่สะใภ้ใหญ่ของนาง เฮ้อ เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้จะวิจารณ์คนผู้นี้อย่างไรดี
ชีวิตนี้ชอบคิดเล็กคิดน้อยกับทุกคน ชอบเอาเปรียบคนอื่นนิดๆ หน่อยๆ แต่อันที่จริงคิดเล็กคิดน้อยกับตัวเองที่สุด
เงินที่ประหยัดมาได้ยอมให้ลูกชาย ลูกสาว ให้สามีตัวเองใช้ แต่ตัวเองกลับเสียดายไม่ยอมใช้
เมื่อก่อนอยู่กันลำบากขนาดนั้น แต่ลุงใหญ่ของฝูเซิงก็ยังมีเหล้ากิน
กลับเป็นเก่อเอ้อร์นิวที่ใส่แต่เสื้อผ้าเก่าๆ เก็บเสื้อกันหนาวของคนรวยได้ตอนลี้ภัย นั่นเป็นเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในชีวิตของนางแล้ว แต่ท่านย่าหม่าสงสัยว่าเก่อเอ้อร์นิวจะต้องล้วงเอาดอกฝ้ายในเสื้อกันหนาวไปให้ชุ่ยหลาน ลูกสาวตัวเองอีกแล้วแน่นอน
ชุ่ยหลาน เจ้าเล่ห์เกียจคร้าน เจ้าอารมณ์เกินไป ท่านย่าหม่าไม่ชอบเอามากๆ
แม้ตอนนี้ท่านย่าหม่าจะใจกว้างขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ชอบชุ่ยหลาน หลานสาวคนนี้อยู่ดี
มีเด็กคนไหนบ้างที่นิสัยเจ้าเล่ห์ เกียจคร้านมาตั้งแต่เกิด เป็นเพราะเก้อเอ้อร์นิวบ่มเพาะมาทั้งนั้น
แต่ท่านย่าหม่าก็กลืนคำพูดที่ว่า ‘เจ้าหาเงินได้ไม่น้อยแล้ว ซื้อดอกฝ้ายสักหน่อยสิ’ ลงไป
ชีวิตใครชีวิตมัน
ใครยินดีจะใช้ชีวิตแบบจนตรอก นางก็ไม่ขอเปลืองคำพูด
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนทักทายอยู่ในลานบ้าน “หัวหน้าตระกูล เข้าไปในบ้านก่อนสิขอรับ”
หัวหน้าตระกูลเหรินแทบจะมาวันละแปดรอบ เป็นห่วงเป็นใย อยากมาดูอยู่ตลอด “พวกเขายังไม่ลงจากเขากันรึ”
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ทำไมยังไม่กลับมากัน
ยิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย น่าจะมองทางกันไม่เห็น
ซ่งฝูเซิงออกมาจากคอกม้า จะให้อาหารแค่เสี่ยวหงไม่ได้ ต้องให้อาหารม้าศึกพวกนี้ด้วย
ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด หูของเขาก็ผึ่งเหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ ว่า “น้องสาว จงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า จงอย่าหวนกลับมา!”
เวลานี้ซ่งฝูกุ้ยกำลังแบกคราด ยิ้มกว้างเห็นฟัน แหกปากร้องเพลง ‘น้องสาวจงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า’ ที่เมื่อก่อนซ่งฝูเซิงร้อง
อารมณ์ดีประหนึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มาก
ทั้งยังเล่าให้พวกทหารที่เดินมาด้วยกันฟัง “ตอนนั้นพวกเราเคยเดินผ่านสุสานไปเก็บเมล็ดสนก็ร้องเพลงนี้ให้ใจมันฮึกเหิม ข้าจะบอกให้นะ ที่นั่นศพเยอะ เข้าไปเห็นก็ตาลาย ห่อไว้วางเรียงติดๆ กัน”
เปิดประตูรั้วต้อนรับเหล่าผู้กล้ากลับมาอย่างภาคภูมิ
ภาคภูมิจริงๆ แม้แต่ซ่งฝูเซิงยังอ้าปากค้างครึ่งหนึ่งด้วยความตกใจ นี่ไปล่าสัตว์ป่ามาได้เท่าไรกันเนี่ย
—————————————–
[1] ผลไม้เสียบไม้เคลือบน้ำตาล นิยมกินในหน้าหนาว