ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 334 อุดมสมบูรณ์อีกแล้ว
วันต่อมา อาหารที่ซ่งฝูเซิงเตรียมไว้ให้คนที่ต้องขึ้นเขาในที่สุดก็มีพริก
ไม่ใช่เพราะเขางก
แต่จำเป็นต้องให้ต้นพริกได้พักบ้าง และก็ต้องให้เขาทำใจบ้าง
เฮ้อ เสียดาย
ถึงแม้หลังจากที่ต้นพริกออกผล แต่ละวันพอเก็บได้บ้าง
แต่คนเยอะขนาดนี้ ต่อให้ทำน้ำพริกก็ยังต้องใช้พริกหลายจิน
ในที่สุดเขาก็รวบรวมได้หนึ่งตะกร้าใหญ่ เก็บเกี่ยวมาได้สิบกว่าจิน จากนั้นเขาให้เฉียนเพ่ยอิงสอนพวกผู้หญิงทำน้ำพริก
พวกผู้หญิงออกมาจากห้องครัว แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ ร้องไห้กันมา
ร้องกันอย่างหน้าชื่นตาบาน มันแสบตาน่ะ
โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่สับพริก ตอนออกมากระพริบตาถี่ๆ จมูกก็สูดซี้ดซ้าด
ไม่กล้าใช้มือขยี้ เอามือไปจับอะไรก็แสบร้อนตรงนั้น
น้ำพริกหนึ่งไห
เกิ่งเหลียงรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร
แต่พวกทหารไม่รู้ เห็นเป็นน้ำๆ แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
แต่เมื่อเดินไปถึงไหล่เขา หยุดพักเที่ยง นั่งลงบนพื้นหิมะ ดื่มน้ำในกระเป๋าน้ำที่เย็นเฉียบ ขณะกินขนมปังถึงได้รู้ว่าน้ำพริกมันยอดเยี่ยมขนาดไหน
น้ำพริกคำใหญ่ลงท้อง ภายในท้องก็ร้อนขึ้นมาทันที
บางคนเผ็ดจนหน้าแดง บางคนสำลัก
เอาจริงๆ น้ำพริกคำโตสามารถทำให้ยัดขนมปังลงไปได้มาก
ความรู้สึกของเกิ่งเหลียงหลังกินเสร็จคือ มิน่าท่าน แม่ทัพถึงอยากปลูก มันเด็ดดวงยิ่งกว่าพริกไทยเสียอีก นี่แค่เอามาจิ้มกิน แล้วถ้ากินเปล่าๆ ล่ะ จะยิ่งเด็ดกว่านี้ไหม
พวกทหาร ไอ๊หยาแม่จ๋า นี่มันอะไรกันเนี่ย
ต้องยอมรับเลยว่า คนที่ขึ้นเขามามีจำนวนไม่น้อย แต่พวกทหารชอบคุยกับซ่งฝูกุ้ยที่สุด
เพราะเขาเล่าเรื่องเก่งที่สุด ทั้งยังชอบตะโกนเสียงดัง
ถูกกับนิสัยของพวกทหาร
ซ่งฝูกุ้ยกินปัวปัวแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเพ้อเจ้อ “นี่เป็นพริกที่ถูกปลูกทีละเล็กละน้อยด้วยหยาดเหงื่อของพวกเรา เมล็ดพันธุ์พกเอามาระหว่างลี้ภัย เอาจริงๆ นะ พวกเราทิ้งชีวิตได้แต่ห้ามทำมันหาย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าของสิ่งนี้หายากขนาดไหน”
หรือต้องการบอกทุกคนอีกอย่างว่า ดูเอาแล้วกัน ของหายากแบบนี้พวกเรายังยอมเด็ดมาให้พวกเจ้ากินได้
“เอาเมล็ดพันธุ์มาจากไหน พวกเจ้าผลิตกันเองรึ ไม่เคยได้ยินเลย”
“ชิ พวกเราทำได้ที่ไหนกัน” จากนั้นซ่งฝูกุ้ยก็แต่งเรื่องที่พิสดารยิ่งกว่าตอนซ่งฝูเซิงเล่าในตอนนั้น บอกว่าพวกเขาคนในถุนหลี่ไม่มีใครไม่นับถือท่านตาเฉียน ท่านตาเฉียนในเรื่อง ถูกเขาเล่าเสียจนวิเศษเลิศเลอ มีน้ำใจ ใช้วิชาตัวเบาเป็น
เถียนสี่ฟาทำหน้ารำคาญ ส่ายมือพลางพูด “เลิกเพ้อเจ้อสักที เจ้าพูดมั่วแล้ว” แล้วหันไปพูดกับพวกทหาร “แต่ว่าเรื่องที่เขาเล่าก็มีส่วนที่เป็นเรื่องจริงอยู่บ้างนะ”
เดิมทีพวกทหารยังรู้สึกว่าซ่งฝูกุ้ยพูดโม้ กำลังจะหัวเราะเยาะเขา แต่พอถูกเถียนสี่ฟาขัดจังหวะขึ้นมาแบบนี้ อีกทั้งเถียนสี่ฟายังมีสีหน้าซื่อๆ คราวนี้ยิ่งเชื่อแล้ว
วันแรก หมาป่าถูกพวกเขาจัดการไปจนเกือบหมดแล้ว
วันนี้ปีนกันไปถึงยอดเขา ถึงพบฝูงหมาป่าฝูงเล็กๆ มีกันอยู่สิบหกตัว
ไม่ได้ยิงปืนใหญ่ ไม่ได้ใช้ดินประสิว ไม่ต้องแยก รวมกลุ่มล้อมกันเข้าไป
นอกจากนี้ วันนี้ล่าเสือตงเป่ยได้อีกสามตัว สิ่งที่น่าเสียดายคือไม่เจอหมีสีน้ำตาลอีก
หมีจะซ่อนตัวในฤดูหนาว พบเจอได้ยาก
ซื่อจ้วงยังตาไว เห็นหมาจิ้งจอกตัวใหญ่สามตัว ตัวเล็กสี่ตัว เขายกคันธนูขึ้น คิดอยู่สักพักแล้วเอาลง ปล่อยพวกมันไปวิ่งเล่นแล้วกัน
หมาจิ้งจอกที่เป็นจ่าฝูง วิ่งหนีพลางหันกลับมามองซื่อจ้วง
มีตำนานเล่าว่า เพียงพอนเหลืองเวลาจะขอบคุณมนุษย์ สามารถทำท่าคารวะได้เลยทีเดียว
ส่วนหมาจิ้งจอก เวลาขอบคุณมนุษย์ก็คือการหันกลับมามอง
ขอบคุณนะน้องชาย ขอบคุณที่ไม่ฆ่าพวกเรา
เดิมทีพวกทหารคิดว่า เมื่อบรรทุกจนเต็มพิกัดแล้ว ควรลงเขากันดีกว่า แต่กลับเจอหมูป่าเจ็ดตัวก่อนลงจากเขา
อีกทั้งขนาดของหมูป่าพวกนี้แตกต่างจากฝูงหมูป่าคราวก่อนที่พวกซ่งฝูเซิงวิ่งไล่
เรียกได้ว่ากลุ่มนี้น่ากลัวเป็นพิเศษ
หมูป่าตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงมีน้ำหนักเกือบหนึ่งพันจินได้
ยืนอยู่ตรงนั้น เขี้ยวใหญ่ๆ ของมัน ดูจากรูปร่างก็รู้ว่าพลังโจมตีสุดแข็งแกร่ง
หมูป่าตัวอื่นๆ ที่อยู่ข้างกันก็มีน้ำหนักเจ็ดแปดร้อยจินได้ เอาหัวพุ่งชนที คนกระเด็นไปไกลได้เลยทีเดียว
ทางเหนือมีคำพูดที่ว่า หนึ่งหมู สองหมี สามเสือ[1] แสดงให้เห็นว่าพลังต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อพบหมูป่าที่มีรูปร่างขนาดมหึมาแบบนี้ภายในป่าดึกดำบรรพ์ บางครั้งยังอันตรายกว่าเจอหมีกับเสือ
ซื่อจ้วงลนลาน สติหลุดไปชั่วขณะ
เกิ่งเหลียงตั้งสติได้เร็วที่สุด เขาพูดขึ้น
“เตรียมปืน”
“ยิง”
ฝูงหมูป่าตกใจเสียงปืนใหญ่วิ่งเตลิด ขณะที่พวกมันวิ่ง รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของภูเขา
ซ่งฝูกุ้ยหลบอยู่ด้านหลังสุด พอเห็นข้างหน้ามีหมูป่าตัวหนึ่งถูกยิงจนล้มลงก็ยกคราดพุ่งเข้าไปทันที นั่นมันเนื้อเน้นๆ เลยนะ เนื้อ
เห็นเพียงคนจำนวนร้อยกว่าทั้งยิงปืน ทั้งใช้ดินประสิว ใช้ดาบใช้ธนู ไล่ล่าเข้าไปหาพวกหมูป่าทันที
เกิ่งเหลียงรู้ดีแก่ใจ ปล่อยพวกมันรอดไม่ได้เด็ดขาด
เจ้าพวกนี้ดุร้ายยิ่งกว่าหมาป่า
ท่านแม่ทัพให้พวกเขามาทำอะไร ก็เพื่อลดอันตรายให้ได้มากที่สุด
หากปล่อยให้หมูป่าตัวขนาดมหึมาพวกนี้หนีไปได้ จะต้องกลายเป็นตัวหายนะ ไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้น ต้องทำทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น “บุกเข้าไป”
ภายในป่า ประกายดาบคมมีดฉวัดเฉวียน พวกทหารเมื่อสู้อย่างเอาจริงขึ้นมา ความเป็นความตายล้วนกลายเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า
เสื้อคลุมสีขาวที่อยู่บนตัวพวกเกิ่งเหลียงเต็มไปด้วยคราบเลือด
ทหารหกเจ็ดคนที่ขี่อยู่บนหมูป่าตัวเมียตัวหนึ่ง ถูกความแข็งแกร่งของหมูป่าสะบัดใส่ พูดจาไม่เป็นคำแล้ว
หมูป่าตัวเมียสะบัดร่างกายราวกับบ้าคลั่ง และก็ไม่มองทาง โซเซพุ่งเข้าไปชนต้นไม้ พวกทหารที่ขี่กระโดกกระเดกอยู่บนหลังพากันร้องพร้อมกัน “ว้ากกก”
ซ่งฝูกุ้ยทิ้งคราด ก้มเก็บดาบที่ไม่รู้ใครทำตกไว้
เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงก้องกังวานยิ่งกว่าพวกคนที่อยู่บนหลังหมู ยกดาบขึ้นแล้ววิ่งเข้าไป “ย้าก!”
พรืด ลื่นไถลไปข้างหน้าไกลหลายเมตร
ซ่งฝูกุ้ย รองเท้าลื่นเกินไป ก็บอกแล้วว่ามันลื่น แย่แล้ว วันนี้เป็นวันตายของเขาแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่ควรทำอวดดี ลื่นไถลไปหยุดตรงหน้าหมูป่าพอดี สบตากับลูกตากลมดำของหมูป่า
ในขณะที่ซ่งฝูกุ้ยกำลังยอมรับชะตากรรมอยู่นั้น เถียนสี่ฟากับซื่อจ้วงก็ลงมือพร้อมกัน
เถียนสี่ฟายิงธนูไปถูกหัวหมู ซื่อจ้วงใช้ดาบแทงเข้าไปอย่างโหดเหี้ยม ดาบสะอาดแทงเข้าไป ถูกอาบจนเป็นสีแดง ชักอย่างไรก็ชักไม่ออก คิดดูแล้วกันว่าหมูป่าตัวเมียหนังหนาขนาดไหน เนื้อแน่นเพียงใด
ในขณะเดียวกัน ต้าหลังกับหลานชายคนโตของบ้านลุงซ่งก็ช่วยกันลากซ่งฝูกุ้ยออกมา
พอลากตัวออกมาได้ หมูตัวเมียก็ล้มลง
โชคดีที่ลากออกมาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น อาจไม่ถูกขวิดตายแต่จะถูกทับตายแทน
ไอ๊หยา ให้ตายเถอะ แต่ละคนเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว
คราวนี้กลับกลายเป็นปัญหาแล้ว
เมื่อรวมกับจำนวนสัตว์ก่อนหน้านี้ที่ล่าได้ จะลากเจ้าพวกนี้ไปอย่างไร
ห้ามบอกว่าไม่เอา ทิ้งไว้นี่ เป็นไปไม่ได้ เสียดาย
ซ่งฝูกุ้ยใช้แขนปาดเหงื่อบนศีรษะ “ข้ากับอีกสองสามคนจะลงไปเรียกคนมา”
…
“ย๊าก!” ซ่งฝูเซิงตะโกนสุดแรง ใช้สองไหล่ลากเชือก ด้านหลังเป็นแคร่เลื่อนที่บนนั้นมีซากหมาป่าแค่ไม่กี่ตัว แต่เขาก็ลากไม่ไป
ไอ๊หยา ลากไม่ไป
หันกลับไปมองทีมลากสัตว์ป่าที่ดูสบายๆ ประหนึ่งลำธารไหลริน เขาคิดในใจ ป่าดึกดำบรรพ์นี่มันดึกดำบรรพ์จริงๆ โชคดีที่ไม่มีใครบังคับเขาขึ้นเขา
——————————————-
[1] เรียงตามลำดับความแข็งแกร่ง