ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 346
คนของหมู่บ้านเหรินจยาออกไปก่อนแล้ว
เดิมทีพวกเขาไม่ได้อยากไป อยากรอพวกซ่งฝูเซิงกลับพร้อมกัน
เพราะสงสัยเรื่องราคาหนังเสือกับหนังหมีจริงๆ
เกี่ยวกับเรื่องเสือกับหมี สำหรับคนหมู่บ้านเหรินจยาแล้วนั้น เรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอีก
ก่อนหน้านี้ใช่ว่าคนในหมู่บ้านจะไม่เคยถกกันเรื่องนี้
ถึงขนาดที่มีชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า “พวกเราออกเนื้อออกผัก ออกข้าวออกแป้ง แม้แต่เกลือซีอิ๊วก็พวกเราออกให้ แล้วมีสิทธิ์อะไรเอาเสือกับหมีที่กลุ่มล่าหมาป่าล่ามาได้ไปให้คนพวกนั้น แถมยังให้หมูป่าตัวใหญ่กับพวกเขาถึงสามตัว ได้ยินว่ามีอยู่ตัวหนึ่งน้ำหนักเกือบพันจิน”
คนในหมู่บ้านที่คิดได้ พอได้ยินประโยคนี้ก็เลี่ยงเดินหนีไปไกล แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เจ้าว่ามีสิทธิ์อะไรน่ะเหรอ
แล้วกลุ่มล่าหมาป่ามีสิทธิ์อะไรเอาหมาป่าห้าสิบเกือบหกสิบตัวยกให้ทางหมู่บ้านล่ะ แถมยังให้หมูป่าตัวใหญ่มาอีกสี่ตัว เขาจะเอากลับไปหมดเลยก็ได้หรือเปล่า
พวกเราไม่สนพวกที่โลภมากคิดเอาแต่ได้ พวกเรารู้จักพอ ไม่ร่วมผสมโรงส่งเดช อีกทั้งพวกเราต้องเป็นมิตรกับคนพวกนั้นที่อยู่อีกฝั่ง วันหน้าจะได้อยู่กันอย่างสงบสุข
แต่ภายในหมู่บ้านใหญ่มันก็มักจะมีพวกที่คิดไม่ได้อยู่เสมอ คอยอาละวาดหาเรื่องโวยวาย คิดเอาแต่ได้
คนแบบนี้จะคิดว่า ถ้าหนังหมี หนังเสือก็ตกเป็นของทางหมู่บ้าน แต่ละบ้านก็จะได้เงินส่วนแบ่งที่มากขึ้น ถ้าหมูป่าสามตัวใหญ่พวกนั้นก็ให้พวกเขา แต่ละบ้านก็จะได้ส่วนแบ่งเนื้อมากขึ้นด้วยเหมือนกัน
หลังจากพวกเกิ่งเหลียงไป เสียงบ่นนี้ก็ค่อยๆ เริ่มดังขึ้น เริ่มแผ่ขยายจากบ้านตัวเอง พูดกันไปสามบ้านแปดบ้าน กลายเป็นพูดกันไปทั้งหมู่บ้าน
ตอนที่หัวหน้าตระกูลเหรินได้ยินครั้งแรกก็อยากไปเอาเรื่องบ้านเหรินกงซิ่น
เขาคิดว่าเป็นฝีมือของเหรินกงซิ่นที่ยุยง
แต่หลังจากที่สืบมา ได้ยินว่าครั้งนี้เหรินกงซิ่นป่วยค่อนข้างหนัก เหรินจื่อจิ่วลูกชายคนรองของเขาก็เอาแต่นอนตลอดเวลา หลังจากที่รองผู้บัญชาการเกิ่งพาทหารเข้ามาในหมู่บ้าน ดูเหมือนจะใช้คนไปส่งจดหมายให้เหรินจื่อเซิงอีกแล้ว ไม่ได้ออกจากบ้าน ส่วนเหรินจื่อเฮ่าลูกชายคนที่สามไม่ได้อยู่บ้านเลย
ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าเหรินกงซิ่นกับเหรินจื่อจิ่วเป็นคนยุยงก็ตกไป
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนี้ หัวหน้าตระกูลเหรินก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาชั่วขณะ
นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่า คำพูดมากมายที่เขาพูดกับพวกชาวบ้านไปก่อนหน้านี้ ว่าพวกเราต้องอยู่อย่างมีน้ำใจ ไม่ได้มีประโยชน์เลยกับคนบางคน
บางคนเอาแต่นึกถึงของนิดหน่อยพวกนั้นที่อยู่ตรงหน้า
เขาผิดหวังเหลือเกิน
หลังจากผิดหวัง หัวหน้าตระกูลเหรินก็เลือกที่จะข่มอารมณ์ อีกทั้งตักเตือนคนพวกนั้น
ถ้าไม่ตักเตือน กลัวคนพวกนั้นจะไม่ฉลาดพอ
ตอนนั้นเหรินโหยวจินมีสามคำถาม
ถามพวกชาวบ้าน คำถามแรก ยังจำขุนนางใหญ่รูปงามที่ปรากฏริมแม่น้ำคนนั้นได้ไหม
คนที่เขาหมายถึงก็คือลู่พั่น
คำถามที่สอง รู้กันหรือไม่ว่า ข้ารู้ได้อย่างไรว่าทางเมืองเฟิ่งเทียนจะส่งทหารมาล่าหมาป่า
เขาบอกว่าซ่งฝูเซิงรู้ข่าวเป็นคนแรก
คำถามที่สาม กลุ่มล่าหมาป่านำโดยรองผู้บัญชาการเกิ่ง ก่อนใต้เท้ารองผู้บัญชาการไปได้แบ่งให้เสร็จแล้วว่าเอาหมาป่าให้ใคร เอาเสือให้ใคร ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะมาสงสัยและโลภมากได้รึ
สะใภ้สี่ที่อยู่ด้านล่างแอบบ่นกับสามีตัวเอง “ยังจะคิดว่าคนพวกนั้นเป็นคนธรรมดาอีก แต่ละคนไม่มีสมองกันเลย ข้าเคยบอกแล้ว วันหน้าคนพวกนั้นจะเจริญยิ่งกว่านี้ สอบจอหงวนได้เลยล่ะ”
สามีของนาง “เจ้าอย่าพูดส่งเดช มีจอหงวนที่ไหนกัน”
“น้องฝูกุ้ยบอกว่า ตอนนี้ไม่มีจอหงวน ต่อไปจะไม่มีด้วยรึ”
พวกป้าอ้วนที่อยู่ด้านล่างก็ซุบซิบกับพวกยายๆ
“ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าคนพวกนั้นมีเงิน พวกเขาได้กินดีกันสินะ พวกเจ้ายังจะไม่เชื่อ ข้าจะได้กลิ่นผิดรึ…
…คราวนี้ท่านอาหลี่เจิ้งเข้าใจหรือยังล่ะ กลุ่มล่าหมาป่ามาเมื่อไร คนพวกนั้นยังเก่งกว่าท่านอาหลี่เจิ้งอีก รู้ข่าวได้ก่อน…
…เขารู้จักขุนนางใหญ่เชียวนะ ขุนนางใหญ่คนนั้นท่าทางการแต่งตัว ไอ๊หยา ข้ามสะพานไป อยู่ที่นั่นตั้งครึ่งค่อนวัน กลิ่นหอมโชยมาถึงที่เรานี่แน่ะ”
หลังจากเหรินโหยวจินพูดแบบนี้ออกไป คนในหมู่บ้านบางคนที่โลภมากถึงได้เลิกคิดเรื่องเสือเรื่องหมี
และก็ได้รู้ว่า อย่าไปหาเรื่องพวกซ่งฝูเซิง พวกเขาไม่ธรรมดา มีคนหนุนหลัง
ไม่อย่างนั้นเมื่อเช้า อาเจ็ดไม่มีทางเป็นฝ่ายเรียกให้เอาหนังสัตว์มาวางบนรถ ให้ขึ้นมาเบียดด้วยกัน
นั่นก็เพราะอาเจ็ดกำลังแสดงท่าทีเป็นมิตร อยากผูกสัมพันธ์กับซ่งฝูเซิง
แต่ก็ติดที่เรื่องความอาวุโส จะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเกินไปก็ไม่ได้ เขาชอบวางมาด
เหมือนกับลูกชายคนโตของบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ ที่คิดแบบเดียวกัน
ครอบครัวเศรษฐีที่ดินมักถูกมองอย่างสูงส่งเสมอในหมู่บ้าน หัวหน้าตระกูลเหรินยังต้องให้เกียรติ เขาแค่หวังว่าพวกซ่งฝูเซิงจะเป็นฝ่ายคุยกับพวกเขาก่อน ที่มองซ่งฝูเซิงตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ได้จงใจเหยียดหยาม แต่ทำตัวหยิ่งจนชินแล้ว เลยชอบมองคนเหยียดๆ แบบนั้น
ที่กล่าวมานี้ก็คือ คนในหมู่บ้านไม่มีทางติดใจเรื่องหนังสัตว์ที่พวกซ่งฝูเซิงได้ไปอีก แต่มนุษย์น่ะ ย่อมอยากรู้ว่าคนอื่นได้เงินเท่าไร สงสัยจนควบคุมไม่อยู่
แต่เถ้าแก่สุยเป็นใคร ปิดประตูกระท่อม พาพวกคนจากหมู่บ้านเหรินจยาไปถอนเงินที่ร้านรับฝากเงิน ยิ้มพลางพูดที่หน้าร้านว่า เขาจะไปกินข้าวกับน้องชาย พวกเจ้าล่ะ
คนในหมู่บ้านที่มาล้วนมีหน้ามีตา ไม่มีใครไร้ยางอายตามไปกินข้าวด้วย
จึงพูดกับซ่งฝูเซิงด้วยความเกรงใจ “งั้นพวกเรากลับก่อนนะ”
พอคนจากหมู่บ้านเหรินจยาไปกันแล้ว เถ้าแก่สุยก็จะไปหาข้าวกินจริงๆ แต่ให้ตายสิ ซ่งฝูเซิงก็ไม่ตอบตกลง พวกเขาจึงกลับไปที่กระท่อมกันอีกรอบ
เถ้าแก่สุยไม่เสแสร้งต่อหน้าซ่งฝูเซิง สีหน้าดีใจ รับซื้อหนังหมาป่ามาผืนละสามตำลึงกับอีกหนึ่งเหรียญเงิน รับซื้อไว้เป็นสิบผืน เขาได้กำไรตั้งเท่าไร ไม่ดีใจได้เหรอ
ยื่นเงินส่วนต่างที่คราวก่อนขายหนังหมาป่าสิบเอ็ดผืนให้ซ่งฝูเซิง “ช่วยเจ้าขายได้ผืนละเจ็ดตำลึง นี่เป็นเงินที่เหลือ”
“ท่านเก็บเอาไว้เถอะ”
“ไม่เอา แต่ว่านะน้องชาย หนังสัตว์ของพวกเจ้าครั้งนี้ ข้าต้องขอกำไรเพิ่มหน่อย นี่พูดกันตรงๆ เลย”
ซ่งฝูเซิงยิ้ม “ได้แน่นอน”
ซ่งฝูเซิงยินดีทำการค้ากับเถ้าแก่สุยก็เพราะแบบนี้ มีอะไรก็บอกกันตรงๆ
อย่างเช่น
ในเมื่อพูดแล้วว่าเป็นเพื่อนกัน ข้าก็ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยว่าท่านจะมาหลอกข้าหรือเปล่า ท่านก็อย่าทำตบตาข้า เหมือนที่ตอบพวกคนจากหมู่บ้านเหรินจยา
อีกทั้งท่านก็อย่าไม่เอากำไร กำไรที่ควรได้ก็ต้องได้ หากท่านไม่เอากำไร ข้าจะรู้สึกว่าเอาเปรียบท่าน มันตะขิดตะขวงใจ
อย่างไรเสีย คนเราต้องกินข้าว นี่เป็นเรื่องปกติ
ขอแค่ท่านให้ราคามิตรภาพ คุ้มกว่าคนอื่นหน่อยก็พอ ข้าอุ่นใจแล้ว
ความสัมพันธ์ฉันมิตรแบบนี้มั่นคงที่สุด
เมื่อก่อนเขาก็เป็นคนค้าขาย เข้าใจดี
สุดท้าย หนังเสือห้าผืน เถ้าแก่สุยให้ซ่งฝูเซิงผืนละยี่สิบห้าตำลึง
ซ่งฝูเซิงรู้ดีแก่ใจ ราคาขายในใจเถ้าแก่สุยน่าจะอยู่ที่สามสิบตำลึงขึ้นไป
แต่ก็ยังยืนยันคำเดิม อย่ามองว่าเถ้าแก่สุยได้กำไรอย่างน้อยห้าตำลึงต่อผืน แต่ต้องมองว่ากว่าเขาจะเจอคนที่เหมาะสมมาซื้อก็เหนื่อยมาก แถมเงินยังจม ใช่ว่าวันไหนจะขายได้
ซ่งฝูเซิงพยักหน้าอย่างพอใจ ปิดการขาย
เถียนสี่ฟาที่ตามมาด้วยพอได้ฟังก็ปวดใจ
ตอนนั้นเขาเอาหนังเสือเพียงผืนเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้ขายออกไปได้แค่สิบกว่าตำลึง ดูท่าทางจะขาดทุนแล้ว แต่ตอนนั้นเขากลับรู้สึกว่าตัวเองขายราคาสูงแล้ว คิดในใจ นี่เป็นผลจากการที่ขาดความรู้
ซ่งฝูกุ้ยที่อยู่ข้างกันฟังแล้วก็เหงื่อแตก พวกเขามีหนังเสือห้าผืน ขายผืนละยี่สิบห้าตำลึง นั่นเป็นเงินตั้งเท่าไร
พวกเกาเถี่ยโถวได้ยินราคาหนังหมีก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่งเสียงหัวเราะออกมา
ส่วนหนังหมีที่คุยกันต่อมา เป็นราคาที่เถ้าแก่สุยกัดฟันให้จริงๆ เพราะหนังสัตว์ชนิดนี้หาคนซื้อได้ยากยิ่งกว่า
หนังหมีที่ได้มายาก ข้อเสียก็คือมันเลือกคนสวมใส่
หนุ่มสาวไม่มีทางสวมใส่
รูปทรงเทอะทะ ขนหนาและหนัก เหมาะกับแค่คนแก่ใส่เท่านั้น
คนแก่ ครอบครัวก็ต้องทั้งเชื่อในสิ่งนี้ คิดว่าใส่หนังหมีดีกว่าใส่หนังจิ้งจอก อีกทั้งทางบ้านต้องร่ำรวยด้วย
ดังนั้นถ้าเถ้าแก่สุยรับซื้อไว้ มีผลลัพธ์อยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่กำไรเป็นกอบเป็นกำก็ขาดทุนย่อยยับ “หนังหมีผืนนี้สี่สิบตำลึง จริงๆ เลยนะ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะขายออกไหม ดีไม่ดีเจ้าสิ่งนี้อาจจะได้กลายเป็นของล้ำค่าสืบทอดของสกุลสุยของข้าก็ได้”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ “อย่าพูดเป็นลางแบบนั้น ไม่แน่อาจขายได้ผืนละร้อยตำลึงก็ได้นะ พี่สุยกำไรเป็นกอบเป็นกำ”
“ฮ่าๆ สมพรปาก ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าเสียใจล่ะ”
“ข้าไม่อิจฉาหรอก”