ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 347 ชีวิตคนเราต้องมองโลกในแง่ดี
ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน
พวกกัวคนโตคึกคักกันใหญ่ “เถ้าแก่สุยรวยพอตัวเลยนะ ดูกระท่อมของเขาสิ เห็นเล็กๆ แบบนั้น แต่การแต่งตัว ของกินของใช้ เขาก็ประหยัด แถมยังซื้อถ่านราคาถูกด้วยนะ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนรวย เข้าร้านรับฝากเงินที ขนเงินออกมาเป็นกำ”
“นั่นสิ นี่ก็เหมือนที่อาสามบอกหรือเปล่าว่าคนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้”
ซ่งฝูเซิงส่ายหน้า
“ไม่ใช่แค่คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้…
…ค้าขายทำกันได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน ต้องประหยัดอดออม ต้องมีเงินไว้หมุน…
…ถ้าไม่มีเงินหมุน จะรับซื้อหนังสัตว์ดีๆ ได้อย่างไร…
…พอไม่มีหนังสัตว์ดีๆ ไว้ขาย ใครยังจะมาซื้ออีก กิจการก็จะซบเซาลงเรื่อยๆ…
…การค้าของเขาจำเป็นต้องใช้เงิน…
…เอาแค่พวกกระท่อมเก่าๆ ที่อยู่แถวนั้น ร้านขายหนังสัตว์พวกนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเงินหมุนอยู่ในมือสองสามร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นการค้าไม่เดิน”
เกาเถี่ยโถวกับหลานชายคนโตของลุงซ่งเริ่มเก็บคำพูดของซ่งฝูเซิงมาคิดอีกแล้ว จดจำคำพูดพวกนี้ไว้ในใจ
เด็กๆ อย่างพวกเขาทำกันจนชินแล้ว ไม่ต้องสนว่าซ่งฝูเซิงพูดอะไร พวกเขาก็เก็บเอาไปคิดหมด อันไหนที่ไม่เข้าใจก็ท่องจำ
ต้าหลังที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอด ทันใดนั้นได้ถามขึ้น “อาสาม รวมกับเงินขายหนังสัตว์ ครั้งนี้เงินพอสร้างบ้านของพวกเราหรือยัง”
ซ่งฝูเซิงส่ายหน้าอีกครั้ง “ยังอีกไกล อย่าเห็นว่ามีอยู่สามร้อยตำลึงแล้วสิ”
“หา เท่าไหร่นะ” ซ่งฝูกุ้ยเบิกตาโพลง “สะ สามร้อยตำลึง หัวใจข้าจะหลุดออกมา ข้าฟังผิดหรือเปล่า”
กัวคนโตกับเถียนสี่ฟาก็หยุดลากแคร่เลื่อน หยุดเดินอยู่ข้างหน้า ทั้งสองคนหันกลับมาถามพร้อมกัน “สามร้อยตำลึง มีเงินเยอะขนาดนั้นแล้วเหรอ”
พี่ใหญ่ของหวังจงอวี้ หวังจงอวี้ยังรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ช่วงนี้พี่ใหญ่ของเขาจึงมาคอยติดตามซ่งฝูเซิง เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางตะโกน “โอ้ ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้!”
ซ่งฝูเซิงหมดคำจะพูด
แต่ละคน ไม่ได้ยินเหรอที่เขาบอกว่ายังขาดเงินสร้างบ้านอยู่อีก
“สามร้อยตำลึงจะไปพอทำอะไร”
พอซ่งฝูเซิงพูดจบ คนอื่นๆ ก็เถียงกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน “สามร้อยตำลึงยังไม่พอทำอะไรอีกเหรอ!” สีหน้าประมาณว่า แล้วท่านจะทำอะไรล่ะ
ซ่งฝูเซิงจนปัญญา
“เอาล่ะ ช่วงเดินกลับอยู่ว่างๆ กัน เช่นนั้นข้าจะคำนวณให้ฟังนะ สามร้อยตำลึงไม่พอจริงๆ คำนวณเสร็จพวกเจ้าก็จะเข้าใจ”
ซ่งฝูเซิงพูด
“พวกเรามีที่ดินหนึ่งร้อยยี่สิบสี่หมู่…
…ที่ดินสิบกว่าหมู่ อย่างน้อยก็ต้องมีวัวสีน้ำตาลหนึ่งตัวช่วยทำงานใช่ไหมล่ะ…
…ส่วนที่ดินรกร้าง ทำกินยาก พวกเรายังต้องแบ่งคนไปขุดแปลงเพาะปลูกใต้ดินอีก…
…หากซื้อวัวสีน้ำตาลสิบตัว เงินร้อยห้าสิบกว่าตำลึงก็หมดไปแล้ว…
…ส่วนหินก้อนใหญ่ที่พวกเราสะสมไว้พวกนั้น พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ใช่จะเอามาสร้างบ้านให้พวกเราอยู่ แต่จะต้องเอาไปสร้างเล้าหมูก่อน…
…เลี้ยงหมู เดือนสี่ก็ต้องเลี้ยงแล้ว แบบนี้พอถึงช่วงจงชิว[1] ถึงจะฆ่าได้พอดี…
…ซื้อลูกหมูหย่านมหนักตัวละยี่สิบจิน ข้าถามมาแล้ว ตัวหนึ่ง ราคาอย่างน้อยๆ ก็สามร้อยหกสิบเหวิน พวกเราจะเลี้ยงลูกหมูร้อยตัว อย่างน้อยก็ใช้เงินสี่สิบตำลึงไปแล้ว…
…บ้านพวกเรา เกลือ น้ำมัน ก็ใกล้หมดเต็มที…
…ทำงานใช้แรงงานต้องพึ่งการกิน เดี๋ยวพวกเจ้าลองไปถามลุงซ่งดูว่า วันๆ หนึ่งพวกเรากินข้าวเท่าไหร่ ใช้น้ำมัน เกลือ ผัก เท่าไหร่ มื้อหนึ่งแค่ผัดผักกาดขาว ก็หมดไปหลายสิบจินแล้ว…
…ของพวกนี้ต้องซื้อหรือเปล่า…
…เครื่องปรุงต่างๆ จำเป็นต้องใช้ ของจำเป็นทั้งนั้น รวมๆ กันก็ปาเข้าไปสองร้อยตำลึงแล้วไหม”
คนอื่นๆ “แต่พวกเรามีสามร้อยตำลึงนะ”
“ได้ อีกหนึ่งร้อยตำลึงที่เหลือ ข้าจะคำนวณให้พวกเจ้าฟังต่อ…
…ถ้าฤดูหนาวปีหน้าต้องการปลูกพริก ก็จำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า…
…ถึงแม้จะพูดไว้ว่า เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะเอาบ้านเก่าๆ ที่พวกเราอาศัยตอนนี้แบ่งออกมาทำโรงเพาะปลูก แต่กระดาษที่คลุมด้านบนล่ะ กระดาษแบบนั้นแพงมาก…
…ตอนนี้เหรินกงซิ่นไม่ทำงานแล้ว จวนเซี่ยไม่มีทางให้กระดาษพวกเราโดยไม่คิดเงินอีก…
…ฤดูหนาวปีหน้า ถ้าพวกเราอยากสร้างโรงเพาะปลูกทีเดียวยี่สิบกว่าหลัง พวกเจ้าลองคำนวณดู แค่ซื้อกระดาษพวกนั้นเป็นเงินเท่าไร…
…เอาแค่นี้ก่อน นี่ข้ายังไม่ได้รวมค่าคันไถให้พวกเจ้าเลยนะ…
…พวกเครื่องมือเพาะปลูก จำเป็นต้องหามาเพิ่มอีก ที่มีอยู่ไม่พอใช้…
…และก็ยังไม่ได้รวม ตอนนี้ทุกคนกินกันอย่างอิ่มท้อง อาหารพวกนั้นที่มีอยู่ในบ้าน ไม่ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิก็หมดแล้ว…
…ต้องซื้อไหมอาหาร นี่ข้ายังไม่พูดเรื่องผัก เรื่องเครื่องปรุงอีกหลายเดือนหลังจากนี้…
…ที่ข้าร่ายยาวมาพวกนี้ อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แบ่งเงินค่าแรงให้พวกเจ้าด้วยนะ…
…แต่จะไม่แบ่งเงินได้ไหมล่ะ…
…ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกเราสิบห้าครอบครัว ต่อให้ไม่ซื้ออะไรเพิ่มเข้าบ้าน ก็ต้องแบ่งเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเจ้าไว้ซื้อของจิปาถะอยู่ดี”
คนอื่นๆ ฟังจบก็ใจเย็นลง
ก็จริง อันที่จริงก็ไม่ต้องคำนวณละเอียดขนาดนี้ก็น่าจะรู้ได้
คิดอย่างโง่ๆ เงินสามร้อยตำลึง แบ่งสิบห้าครอบครัว แต่ละบ้านจะสักได้เท่าไหร่กันเชียว
พอแบ่งมาถึงมือ ยกตัวอย่างเช่น ต่อให้แต่ละบ้านต่างคนต่างอยู่ ก็ต้องซื้อสัตว์ไว้ใช้แรงงานอยู่ดี
ต่อให้ไม่ซื้อสัตว์ไว้ช่วยเพาะปลูก ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ต้องซื้อข้าว ซื้อเครื่องปรุง ซื้อผัก ซื้ออุปกรณ์เพาะปลูกอยู่ดี
หลังปีใหม่อาหารยิ่งไม่พอกิน
เมื่อถึงตอนนั้นจะกินผัก แม้แต่ผักกาดขาวหรือหัวไชเท้าที่ราคาถูกก็ยังซื้อไม่ได้
เพราะคนส่วนใหญ่กินหมดกันตั้งแต่หน้าหนาว แต่ละคน สายตาจับจ้องไปที่การขุดหาผักป่า
กัวคนโต “ฝูเซิง งั้นพวกเรามีสามร้อยตำลึงก็ดีแล้วแหละเนอะ”
ดีเหรอ วกกลับมาอีกแล้ว
ซ่งฝูกุ้ย
“นั่นสิ ดีกว่านี้ไม่กล้าคิด นี่ข้าก็มีวันที่ร่ำรวยแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย สมกับที่ชื่อฝูกุ้ย[2]จริงๆ…
…มีสามร้อยตำลึง…
…ตอนนี้ในบ้านไม่ขาดแคลนอาหาร ในแปลงเพาะปลูกใต้ดินมีผัก ข้างนอกมีฟักทอง…
…เนียนปาของข้าได้กินนม ได้กินลูกกวาด…
…โดยเฉพาะข้า เมื่อก่อนในครอบครัว ข้าลำบากที่สุด จริงๆ นะ พวกเจ้าขำอะไร…
…แต่ตอนนี้ข้าได้กินเนื้อตั้งหลายมื้อ วันนั้นข้ายังกัดผลผิงของเนียนปาไปหนึ่งคำ…
…การได้กินผลผิงสักคำในหน้าหนาว…
…รสชาตินั้น กรอบหวาน ผลไม้ป่าในภูเขาสู้ผลผิงไม่ได้เลยนะ…
…เมื่อก่อนชีวิตข้าเป็นอย่างไร ขนาดหนูยังไม่อยากเข้าบ้านข้า”
เกาเถี่ยโถวพูดเตือน “อาสาม บ้านเรายังมีสัตว์ใช้งานนะ วัวนมพวกนั้นไง พวกมันจะเป็นของห้องทำขนมไหม ก็เป็นของพวกเราเหมือนกัน พวกเรายังมีเสี่ยวหง คราวก่อนพวกทหารบอกว่า มันมีค่ามากเลยนะ จะใช่ของหมี่โซ่วหรือเปล่า ก็เป็นของพวกเราเหมือนกัน”
มีคนพูดเสริมขึ้นมาอีก
“กระดาษกับพู่กันที่พวกเด็กๆ เขียนหนังสือก็มี…
…เมื่อก่อนไม่กล้าคิดว่าลูกชายข้าจะมีวันที่ได้จับพู่กัน วันนั้นถือพู่กันมาแกว่งต่อหน้าข้า ข้านี่หมั่นเขี้ยวแทบแย่ อุ้มขึ้นมาหอม เขาบอกว่าเลียนแบบหมี่โซ่ว…
…อันที่จริงข้าก็ไม่ได้หวังอะไรในตัวเขามาก แค่วันหน้าอย่าโง่เขลาเบาปัญญาก็พอ ดูอย่างท่านสิ ไปขายหนังสัตว์ก็ต้องเขียนหนังสือ เข้าร้านรับฝากเงินก็ยังต้องลงชื่อประทับนิ้วมือ…
…ฮี่ๆ วันหน้าหากพอมีเงินแล้ว เขาอย่าบอกว่าไม่ช่วยออกเงินก็แล้วกัน แบบนั้นจะยุ่งยากแล้ว…
…จริงสิ เมื่อไรจะให้พวกเขาไปนั่งเรียนหนังสือดีๆ เหรออาสาม”
ต้าหลัง “อาสาม แปลงเพาะปลูกใต้ดินของพวกเรายังมีกระเทียมเหลืองที่ปลูกใหม่ พริกก็โตขึ้นทุกวัน เงินอยู่ตรงหน้าเห็นๆ พริกของพวกเรา ขนาดแม่ทัพเล็กกินยังชม จะต้องขายดีแน่นอน”
“นั่นสิ วันเวลาดีๆ รอพวกเราอยู่นะ”
“รอวันหน้าอะไรล่ะ ตอนนี้ก็ไม่ได้แย่นะ…
…ตอนนี้ อยากได้บ่อน้ำมีบ่อน้ำ อยากได้เตียงเตามีเตียงเตา อยากได้ที่ดินมีที่ดิน ไหนจะเงินสามร้อยตำลึงอีก”
ทันใดนั้นซ่งฝูกุ้ยก็ตะโกนร้องเพลงขึ้นมา
“น้องสาว จงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า จงอย่าหวนกลับมา!”
ต่อมา บนเส้นทางเล็กๆ ในชนบทก็มีเสียงสะท้อนกึกก้อง สั่นสะเทือนหิมะที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ข้างทาง
เหล่าชายหนุ่มร้องเพลงกันอย่างพร้อมเพรียง
“น้องสาว จงหาญกล้าเดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า จงอย่าหวนกลับมา! เส้นทางกว้างใหญ่…”
————————-
[1] เทศกาลไหว้พระจันทร์
[2] แปลว่าร่ำรวย